จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นาค - พญานาค ตามความเชื่อของล้านนา


นาค เป็นอมนุษย์ มีพละกำลังมหาศาล ทรงอานุภาพด้วยอิทธิฤทธิ์ อาศัยอยู่ใต้บาดาลที่เรียกว่า นาคพิภพ รูปร่างทั่วไปลักษณะคล้ายงู โดยปกตินาคสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่ก็มีข้อยกเว้น คือในเวลา เกิด ตาย นอนหลับ ร่วมเพศและเวลาลอกคราบ การแปลงกายของนาคมิใช่ว่าจะแปลงได้ทุกแห่ง เพราะนาคมี ๒ ประเภท คือนาคที่แปลงกายได้เฉพาะบนบก เรียกว่า ถลชะ และนาคที่แปลงกายได้เฉพาะในน้ำเรียกว่า ชลชะ

ในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงนาคโดยละเอียดไว้มากมาย ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึง แต่จะเชื่อมโยงบทบาททางความเชื่อของคนล้านนา ว่านาคนั้นมีบทบาทใดบ้าง ดังจะได้เสนอเป็นลำดับไป
นาคให้น้ำ

ชาวล้านนาเชื่อว่า ในแต่ละปีน้ำจะน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับจำนวนของนาคที่ขึ้นมาพ่นน้ำให้ฝนตก หากปีใดนาคมีจำนวนน้อย ปีนั้นน้ำจะมีมาก แต่ถ้าปีใดนาคมีจำนวนมากปีนั้นน้ำจะมีน้อย เพราะถ้ามีนาคหลายตัวจะเกี่ยงกันพ่นน้ำ และการจะดูว่าปีไหนนาคจะให้น้ำกี่ตัว ก็มีสูตรในการดูซึ่งมีอยู่หลายตำรา ที่ดูง่ายที่สุด คือดูจากปีนักษัตร อย่างเช่นที่ปรากฏในคัมภีร์พับสาของวัดศรีมงคล อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ได้ระบุจำนวนนาคในแต่ละปีไว้ดังนี้


ปีใจ้ (ชวด) ๘ ตัว
ปีเป้า (ฉลู) ๒ ตัว
ปียี (ขาล) ๕ ตัว
ปีเหม้า (เถาะ) ๔ ตัว
ปีสี (มะโรง) ๓ ตัว
ปีใส้ (มะเส็ง) ๗ ตัว
ปีสะง้า (มะเมีย) ๒ ตัว
ปีเม็ด (มะแม) ๗ ตัว
ปีสัน (วอก) ๔ ตัว
ปีเร้า (ระกา) ๖ ตัว
ปีเส็ด (จอ) ๙ ตัว
ปีใก๊ (กุน) ๓ ตัว

นาครักษา

ในแต่ละปีจะมีการพยากรณ์ในใบประกาศสงกรานต์ที่เรียก "หนังสือปีใหม่" นอกจากจะบอกจำนวนนาคให้น้ำแล้ว ยังปรากฏว่านาคมีหน้าที่รักษาปี รักษาป่า และรักษาน้ำ โดยดูจากตัวเลขเศษจากการนำเอาตัวเลขจุลศักราชหารด้วย ๑๒ หากเศษ ๓ หรือ ๕ นาคจะรักษาปี (บางตำราว่ารักษาป่า) เศษ ๔ หรือ ๙ นาครักษาน้ำ (บางตำราว่ารักษาป่า)

นาคพ่นพิษ

จากตำรา นาคผู่พิษ ของวัดกิตติวงศ์ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวถึงพญานาคตนหนึ่งลำตัวยาวใหญ่กระหวัดรัดโลกมนุษย์ไว้ พอถึงวันและเวลาตามกำหนดจะชูคอขึ้นพ่นพิษลงพื้นโลก ทำให้ผลร้ายบังเกิดแก่มนุษย์ที่ประกอบกิจกรรมในช่วงวันเวลานั้น ๆ เนื้อหาของตำราดังกล่าวพอสรุปได้ว่า

เดือนใดก็ตาม ในวันขึ้น ๔ ค่ำ และขึ้น ๑๐ ค่ำ พญานาคจะพ่นพิษในตอนกลางคืน ผู้ใดแต่งงาน จะเลิกร้างกันในที่สุด

เดือนใดก็ตาม ในวันขึ้น ๙ ค่ำ และขึ้น ๑๕ ค่ำ พญานาคจะพ่นพิษในตอนกลางวัน กระทำการมงคลใดจะกลับกลายเป็นอัปมงคลไปสิ้น

เดือนใดก็ตามในวันแรม ๓ - ๔ ค่ำ และวันเดือนดับ พญานาคจะพ่นพิษในตอนกลางวัน ไม่ควรสร้างบ้านใหม่ ไม่ควรออกเดินทางไปแสวงลาภ ไม่ควรแรกปลูกต้นไม้จะทำให้เกิดความเสียหายตามมา
นาคหันหัว
ในแต่ละเดือน นาคจะหันหัวไปในทิศต่าง ๆ ในการปลูกบ้านจะต้องดูทิศนาคหันหัวก่อน เพื่อเลือกขุดหลุม วางมูลดินและหันปลายเสาให้ถูกต้อง ทั้งนี้ตำราโบราณท่านระบุทิศหัวนาคท้องนาคและหลังนาคพร้อมทิศในการเลือกขุด หลุมเสาเล่มแรก การวางมูลดินและหันปลายเสาไว้ดังนี้
เดือน หัว ท้อง หลัง หลุมเสา มูลดิน ปลายเสา
๓ ๔ ๕ เหนือ ตะวันออก ตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต้ เหนือ ใต้
๖ ๗ ๘ ตะวันตก ใต้ เหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออก ตะวันตก
๙ ๑๐ ๑๑ ตะวันออก เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตก ตะวันออก
๑๒ ๑ ๒ เหนือ ตะวันตก ตะวันออก ตะวันออก ใต้ เหนือ

สมมุติว่าถ้าจะปลูกบ้านในเดือน ๓ ๔ ๕ ให้เลือกขุดหลุมเสาที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ก่อน มูลดินที่ขุดขึ้นมาให้วางไว้ปากหลุมทิศเหนือ วางเสาให้หันปลายเสาไปทางทิศใต้ หากกระทำการดังนี้ พญานาคจะพึงพอใจ และบันดาลให้เจ้าเรือนมีความสมบูรณ์พูนสุข

อนึ่ง การไถนาก็เช่นกัน จะต้องไม่ไถไปทางทิศที่นาคหันหัวไป เพราะถือว่าเป็นการ "เสาะเกล็ดนาค" คือไถย้อนเกล็ดนาค ซึ่งถือเป็นการฝืนหรือต้านอิทธิพลพญานาคผู้ดูแลผืนดิน ผลที่ตามมาคือมักมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เช่นไถหัก วัวควายตื่นกลัว คนไถได้รับอันตรายหรือข้าวกล้าเสียหาย เป็นต้น ส่วนทิศการหันหัวของนาคจะเป็นทิศเดียวกับทิศที่กล่าวข้างต้นหรือไม่ ยังไม่มีข้อสรุป เพราะมีตำรานาคหันหัวสำหรับการไถนาหลายฉบับ กล่าวตรงกันไว้ดังนี้
เดือน ๑ - ๓ หันหัวไปทิศใต้
เดือน ๔ - ๖ หันหัวไปทิศตะวันตก
เดือน ๗ - ๙ หันหัวไปทิศเหนือ
เดือน ๑๐ - ๑๒ หันหัวไปทิศตะวันออก

ขอที่ดินพญานาค
การปลูกเรือนสร้างบ้าน มีพิธีสำคัญอย่างหนึ่งคือการบูชาพญานาค เป็นการขอที่ดินจากพญานาคผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน พิธีนี้จะมีในวันยกเสาเอกหรือเสามงคล โดยเริ่มต้นด้วยการจัดเตรียมใบมะตูม ๗ ใบ ผ้าขาวยาว ๑ ศอก กระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำ ๗ กระบอก กระบอกไม้ไผ่บรรจุทราย ๗ กระบอก กระทงกาบกล้วย (สะตวง) กว้าง ๑ ศอก ภายในกระทงใสอาหารคาวหวาน ข้าว หมาก พลู บุหรี่ กล้วย อ้อย พริก เกลือ ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวตอกดอกไม้ เทียน ๔ เล่ม ตุง ๔ ตัว ช่อ(ธงสามเหลี่ยม) ๔ ผืน เฉพาะตุงและช่อให้สีตามเดือนซึ่งกำหนดไว้ดังนี้
เดือน ๑ - ๓ ใช้สีขาว
เดือน ๔ - ๖ ใช้สีเหลือง
เดือน ๗ - ๙ ใช้สีเขียว
เดือน ๑๐ - ๑๒ ใช้สีแดง

หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว ผู้ประกอบพิธีจะกล่าวคำโองการแล้วเอาผ้าขาวรองก้นหลุมเสามงคล เอาใบมะตูมวางบนผ้าขาวพร้อมเทน้ำและทรายลง ประพรมด้วยน้ำอบน้ำหอมน้ำส้มป่อย เอามูลดินเล็กน้อยใส่กระทงใบพลี ณ ทิศตะวันออก เป็นเสร็จพิธีขอที่ดินจากพญานาค

นาคเข้าบ้วงบาศ
นาคเข้าบ้วงบาศ หมายถึงบ่วงบาศที่เป็นงู เครื่องรางอย่างหนึ่งของชาวล้านนา ที่เชื่อว่าสามารถหายตัวได้คือ "นาคเข้าบ้วงบาศ" เวลาพบเห็นงูสองตัวกำลังกลืนหางกันอยู่มีลักษณะเป็นวงกลมโบราณท่านให้หาแผ่น ไม้หรือแผ่นหินที่มีน้ำหนักไปทับไว้ให้งูตาย แล้วปล่อยทิ้งไว้จนแห้งสนิท บ่วงงูที่กลืนหางกันนี้ หากนำมาสวมศีรษะแล้ว จะทำให้คนอื่นมองไม่เห็นตน

ยันต์รูปนาค
ด้วยความเชื่อและศรัทธาในอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของนาคจึงปรากฏรูปยันต์ที่ เป็นรูปนาคอยู่โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผ้ายันต์ ยันต์ที่ใช้สักบนร่างกาย หรือยันต์ที่ลงในแผ่นโลหะ เพื่อม้วนหรือคลึงเป็นตะกรุด ใช้เป็นเครื่องรางตามความเชื่อ

การอ้างนาคให้ช่วยนำกุศล
ในการทำบุญของชาวล้านนา มักมีการอ้างเอาพญานาคร่วมกับเทพองค์อื่น ๆ ช่วยนำพาเอาส่วนบุญไปส่งให้แก่ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ ในกรณีที่ไม่สามารถมารับได้ ดังปรากฏในคำให้พรของพระสงฆ์ที่ว่า "…แม้ว่าดวงวิญญาณของ….อยู่ที่กวงไกลมาบ่ได้ ขอฝากกับเทพไธ้มเหสิกขา พระญาอินทร์ พระญาพรหม พระญายมราช ครุฑนาคน้ำ ปรไมไอศวร…นำเอากุศลผลทานนี้ไปรอดไปเถิง…"

ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่านาคมีบทบาทสำคัญในเชิงวัฒนธรรมความเชื่อของชาว ล้านนาเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปรากฏรูปของนาคตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะศาสนสถานอันเป็นแหล่งรวมรูปสิ่งอันเนื่องมาจากพื้นฐานของศรัทธา ในเขตล้านนาโดยทั่วไป.


สนั่น ธรรมธิ
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

น้ำบ่อ - บ่อน้ำ ศาสตร์และความเชื่อของล้านนา



น้ำบ่อ หมายถึง บ่อน้ำสำหรับดื่มกินหรือใช้ และเนื่องจากน้ำมีความสำคัญต่อชีวิต ซึ่งมีวิธีปฏิบัติในการขุด การสร้าง การใช้ การรักษาตลอดจนพิธีกรรมตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย สำหรับทางล้านนาแต่ละท้องที่อาจมีวิธีปฏิบัติแตกต่างกันไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกันโดยทั่วไป ทั้งนี้ในเอกสารโบราณ พบว่ามีการเรียก น้ำบ่อ ว่า น้ำส้าง และ น้ำบ่อส้าง อีกด้วย

วิธีหาที่ขุด
เมื่อถึงเดือน ๘ เหนือ คือประมาณเดือนพฤษภาคม ถือว่าเป็นเดือนที่น้ำใต้ดินลดต่ำลงถึงที่สุดแล้ว เป็นเดือนที่เหมาะแก่การขุดบ่อ ทั้งนี้ หากขุดในบริเวณบ้านแล้ว มักจะขุดตรงบริเวณที่มีทิศทางตรงกับ “แขเรือน” (สันหลังคาที่ต่อจากตีนจั่วลงมาหาชายคา) ซึ่งมักกำหนดเอาทิศเหนือ ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จึงจะถือว่าเป็นมงคลตามตำราดังนี้

ขุดน้ำบ่อทิศตะวันออกเฉียงใต้ มักได้เป็นถ้อยคดีความ
ขุดน้ำบ่อทิศใต้ มักได้ทุกข์ยาก
ขุดน้ำบ่อทิศตะวันตก มักได้เสียของ
ขุดน้ำบ่อทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มักฉิบหาย
ขุดน้ำบ่อทิศเหนือ อยู่ดีมีสุข มีโชคลาภ
ขุดน้ำบ่อทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีโชคลาภและชื่อเสียงปรากฏ
ขุดน้ำบ่อทิศตะวันออก มีเกียรติยศชื่อเสียง

ขุดน้ำบ่อในที่ไรนาเรือกสวนก็มักกำหนดเอาทิศเหนือ ทิศตะวันออกหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือเช่นกัน

เมื่อกำหนดทิศแล้วก็ต้องหาที่ขุด มีวิธีเสี่ยงอย่างหนึ่งของโบราณคือการเสี่ยงเบี้ย โดยใช้เบี้ย (เปลือกหอยชนิดหนึ่งที่โบราณใช้ชื้อขายแทนเงินตรา) จำนวน ๑๔ ตัว เป็นสิ่งเสี่ยงทายเพื่อหาที่ขุด โดยมีวิธีคือหว่านเบี้ยลงบนพื้นดินที่คิดว่าจะมีน้ำจำนวน ๗ ตัว กลับเบี้ยที่คว่ำให้อยู่ในลักษณะหงายทั้งหมด แล้วหว่านลงไปอีก ๗ ตัว หากหงายกี่ตัวถือเป็นเศษ ซึ่งมีฝอยทำนายดังนี้

หงาย ๘ ตัว เศษ ๑ ทายว่า น้ำจะตื้นดีแต่เป็นน้ำที่มีสนิมปนมากที่เรียก “น้ำฮาก”
หงาย ๙ ตัว เศษ ๒ ทายว่า น้ำดีแต่ไม่พอใช้
หงาย ๑๐ ตัว เศษ ๓ ทายว่า น้ำมีฤดูฝน หน้าแล้งแห้งไป
หงาย ๑๑ ตัว เศษ ๔ ทายว่า น้ำจืด ไม่มีรส
หงาย ๑๒ ตัว เศษ ๕ ทายว่า น้ำดีมาก
หงาย ๑๓ ตัว เศษ ๖ ทายว่า น้ำตื้นเขินเร็ว ไม่ดี
หงาย ๑๔ ตัว เศษ ๗ ทายว่า เป็นกาลกิณี ไม่ดี

มีอีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย เป็นที่นิยมกันทั่วไปคือหากะลาหรือใบตองมาวางในลักษณะคว่ำลงตามบริเวณที่จะ ขุดวางทิ้งไว้สัก ๑-๒ คืน แล้วหงายดู กะลาหรือใบตองใบไหนมีไอน้ำเกาะอยู่ก็แสดงว่าบริเวณที่กะลาครอบหรือใบไม้ปก นั้นมี “ตาน้ำ” หรือ “สายน้ำ” อยู่ใต้ดิน เมื่อได้ตำแหน่งแล้วจะทำเครื่องหมายไว้รอหาวันดีและฤกษ์ดีต่อไป บ้างก็ใช้ซ้าหวดคือตะกร้าที่ใช้ซาวข้าวหม่า (ข้าวเหนียวแช่ก่อนนึ่ง) มาตักเอาขี้เถ้ากลางเตาไฟไปวางไว้เป็นจุด ๆ ตามบริเวณบ้านในตอนเย็น ครั้งรุ่งเช้าก็ไปสำรวจดู ถ้าขี้เถ้ากองใดชื้น ก็ถือว่าตรงจุดนั้นสายน้ำใต้ดินจะไม่อยู่ลึก คือเหมาะแก่การขุดบ่อ บางตำราว่าเบื้องล่างของจอมปลวกจะให้น้ำดี และบ้างก็สังเกตดูว่าที่ไหนมีหญ้าเขียวในขณะที่แหล่งอื่นแห้งไปแล้ว เบื้องล่างของจุดที่มีหญ้าเขียวนั้นจะให้น้ำได้ดี โดยมากถ้าเนื้อที่อำนวยแล้ว ชาวล้านนามักจะขุดบ่อไว้ถึงสองบ่อ เพื่อเป็นน้ำกินบ่อหนึ่งและเพื่อเป็นน้ำใช้หรือซักล้างอีกบ่อหนึ่ง และโดยนัยนี้ บ่อที่ขุดไว้หน้าบ้านจะเป็นแหล่งที่ชายเจ้าบ้านและชายสูงอายุจะใช้เป็นที่ อาบน้ำ และบ่อน้ำที่อยู่หลังบ้านจะให้สตรีในบ้านใช้เป็นแหล่งอาบน้ำ

การขอน้ำจากแม่ธรณีและพญานาค

เมื่อหาได้วันดี ฤกษ์ดีแล้ว จะทำพิธีขอน้ำจากแม่ธรณีและพญานาค ด้วยเชื่อว่าแม่ธรณีเป็นผู้รักษาดินและพญานาคเป็นผู้รักษาน้ำ พิธีกรรมคือเตรียมสะทวง (กระทงหยวก) กว้างประมาณ ๑ คืบ ใส่ข้าวปลาอาหาร ผลไม้ เมี่ยง หมาก พลู บุหรี่ อย่างละ ๔ เตรียมขันตั้ง (กำนล) ใส่กรวยดอกไม้ ๔ กรวย กรวยหมากพลู ๔ กรวย ข้าวเปลือก ๑ กระทง ข้าวสาร ๑ กระทง ผ้าขาว ผ้าแดงอย่างละชิ้น เทียนเล่มบาท ๑ คู่ เทียนเล่มเฟื้อง ๑ คู่ เทียนน้อย ๔ คู่ ข้าวตอกดอกไม้ใส่พองาม เตรียมน้ำอบ น้ำหอม น้ำส้มป่อย ๑ ขัน แล้วเริ่มพิธีตามขั้นตอนดังนี้

- แผ้วถาง ปัดกวาดบริเวณที่จะขุดให้สะอาด
- ขุดบริเวณที่จะเป็นใจกลางบ่อกว้าง ๑ คืบ ลึก ๑ คืบ
- ยกพานคำนับแล้วกล่าวคำขอน้ำ
- จุดธูปเทียนทำพิธีพลี แล้ววางสะทวงลงก้นหลุม
- ประพรมบริเวณนั้นด้วยน้ำอบ น้ำหอม น้ำส้มป่อย

วิธีขุด

ในการขุดนั้น ให้กะบริเวณกว้างพอประมาณ ส่วนใหญ่จะกว้างประมาณ ๑ วา ขุดเจาะแนวตรงทรงกลมลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบตาน้ำ ซึ่งหมายถึงสายน้ำใต้ดินที่จะมีน้ำให้หล่อเลี้ยงบ่อได้ตลอดไป

เมื่อเลือกได้จุดที่ควรขุดบ่อแล้ว นักขุดก็จะเริ่มขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบน้ำและไม่สามารถวิดน้ำออกได้ทันกับการไหลเข้าแล้วจึงจะหยุดการ ขุด ในช่วงที่ขุดบ่อนั้น ชาวบ้านมักจะช่วยกันขุดหลายคนแต่แบ่งเป็นชุด ๆ คนที่อยู่ก้นบ่อนั้นจะมีเพียงคนเดียวที่ขุดดินและโกยดินใส่ภาชนะให้พวกพ้อง ดึงขึ้นไปทิ้ง เมื่อเหนื่อยแล้วก็จะเปลี่ยนให้อีกคนหนึ่งลงไปขุดเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผลตามต้องการ การขึ้นหรือลงสู่ก้นบ่อนั้น อาจใช้ เกิน (อ่าน – เกิ๋น) คือพะองหรืออาจให้สาวเชือกเอาก็ได้ ความลึกของบ่อจะวัดเป็นถ้วมหรือท่วม ซึ่งวัดจากท่ายืนชูแขนสุดเหยียดของชายร่างปกติ บ่อนั้นลึกกี่ช่วงก็เรียกว่าลึกเท่านั้นเท่านี้ ถ้วม ถ้าขุดลึกลงไปมาก ๆ ยังไม่พบตาน้ำ จะใช้วิธีฅ่วง หรือฅ่วน คือเจาะก้นบ่อลงไปด้วยสว่านขนาดใหญ่ที่เรียก
เหล็กค่วง/เหล็กฅ่วน เพื่อหยั่งดูว่าอีกลึกขนาดไหนจะพบตาน้ำหรือสายน้ำ ถ้าพบตาน้ำหรือสายน้ำแล้วน้ำจะดันพลุ่งขึ้นมาก หากไม่พบเลยอาจเลิกล้มถมเสียแล้วหาที่ขุดใหม่โดยใช้วิธีหาที่ขุดดังเดิม

จากบทความ น้ำบ่อ [วันที่ 18 เมษายน 2548]
โดย สนั่น ธรรมธิ (ภาพประกอบโดย เสาวณีย์ คำวงค์)
ไทยนิวส์ -- มรดกล้านนา
----------------------

[2] : น้ำบ่อ

วิธีกันดินถล่มลงในบ่อ


เมื่อขุดบ่อเสร็จแล้วก็จะดำเนินการกันมิให้ดินถล่มลงไป วิธีการทำนั้นทำได้หลายวิธี เช่น ใช้ไม้ไผ่สานเป็นวงกลมไล่จากก้นบ่อขึ้นมาที่เรียกว่า “เสวียน” ใช้แผ่นไม้กระดานตีกั้นดิน หรือใช้ท่อนไม้ทับเรียงไล่จากก้นบ่อ แต่วิธีที่ใช้กันมากคือ การใช้ก้อนอิฐก่อเรียงจากก้นบ่อขึ้นมาจนเลยระดับพื้นดินโดยให้สูงประมาณ ระดับเอวซึ่งลักษณะของบ่ออาจเป็นรูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม หกเหลี่ยมและทรงกลม โดยที่บ่อทรงกลมเป็นที่นิยมมากที่สุด และเฉพาะทรงกลมนี้ก้อนอิฐที่ใช้ก่อจึงเป็นอิฐที่ทำขึ้นเพื่อการก่อบ่อน้ำโดย เฉพาะ คือขอบด้านนอกอิฐนั้นจะโค้งเข้าและขอบด้านในของก้อนอิฐจะโค้งรับกัน ขอบด้านข้างจะตัดเฉียงเข้าด้านใน ซึ่งอิฐดังกล่าวนี้จำนวนหนึ่งเมื่อเรียงต่อเนื่องกันแล้วจะโค้งเข้ารูปเป็น วงกลมได้ลงตัวพอดีและโดยเฉพาะอิฐที่อยู่ชั้นบนสุดนั้นจะทำให้เป็นสันนูนตรง กลางเพื่อกันมิให้คนนำของสิ่งใดไปวางไว้บนขอบน้ำบ่อนั้น ๆ ด้วย อนึ่ง การสออิฐหรือการที่ทำให้ก้อนอิฐทั้งหมดประสานกันได้นั้น ชาวบ้านจะสอด้วยดิน หรือขุดดินจากจอมปลวกมาเคล้าเข้ากับน้ำให้เป็นโคลนแล้วใช้โคลนนี้แทนปูนใน การประสานก้อนอิฐดังกล่าว ซึ่งผู้มีฐานะอาจใช้ปูนสอและโบกปูนกับอิฐในส่วนที่เลยจากผิวดินขึ้นมาแล้วก็ ย่อมทำได้ ในระยะหลัง เมื่อมีผู้ทำท่อซีเมนต์สำเร็จรูปขาย ชาวบ้านนิยมซื้อท่อซีเมนต์ดังกล่าวไปใช้แทนการกั้นดินถล่มโดยใช้วัสดุในท้อง ถิ่น เพื่อเป็นการเตือนความทรงจำ บางท่านเมื่อโบกปูนที่บ่อน้ำแล้ว ก็มักจะเขียนบอกวันเดือนปีในการสร้างบ่อน้ำนั้นไว้ด้วย

ทั้งนี้ ในการก่ออิฐดังกล่าว มีตำราแบบโบราณไว้ด้วย ว่าการก่ออิฐจะเริ่มก่อจากข้างล่าง แต่ก่อนที่จะก่อมักวางไม้รองอิฐเป็นรูปสี่เหลี่ยมไว้ก้นบ่อที่เรียกว่า แม่ชีไฟ (อ่าน – แม่จีไฟ) ซึ่งแต่ละด้านมักจะลงอาคมไว้และอาจมีหลายตำรา ตัวอย่างเช่นตำราของพ่อหนานเป็ง ไชยวงศ์ บ้านโป่งน้อย ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ให้ลงอาคมไว้สี่ด้าน ด้วยคาถา “ตุ๊สี่ต๋น” (พระสี่รูป) คือ

ทุ สะ นิ มะ
ทุ มะ สะ นิ
ทุ นิ มะ สะ
ทุ สะ มะ นิ

ซึ่งเขียนเป็นอักษรล้านนาได้ดังรูป



หลังจากนั้นจึงเริ่มก่ออิฐขึ้นโดยรอบเพื่อกันการพังทลายของดินรอบบ่อ การก่ออิฐโดยปกติจะก่อตามขนาดความกว้างของบ่อรวดเดียวถึงปากบ่อ แต่บางบ่อมีความลึกมากจึงต้องขยายความกว้างส่วนบนออกอีกขยักหนึ่ง โดยขยายออกประมาณ ๑ คืบ บ่อลักษณะนี้เรียก “น้ำบ่อสองตอน” เมื่อก่อเสร็จจะวาง
“ฅวักธรณี” คือกระทงใบตองใส่อาหาร ข้าวตอกดอกไม้ บอกกล่าวขอให้แม่พระธรณีเจ้าที่รักษาบ่ออย่าให้น้ำมีพิษมีภัย จากนั้นจึงตกแต่งบริเวณปากบ่อคือทำความสะอาด ลาดเทด้วยปูนที่เรียก สะทาย (อ่าน –
สะตาย) ให้เรียบร้อยเพื่อกันน้ำย้อนคืนลงบ่อ

เฉพาะบริเวณ ใกล้บ่อชาวบ้านมักจะทำลานที่ยกสูงขึ้นจากระดับดินเล็กน้อยไว้รอบ บ่อน้ำ เพื่อป้องกันมิให้น้ำจากพื้นดินไหลกลับลงไปในบ่อ ลานนั้นอาจเป็นลานดินอัดแน่น ลานที่ใช้อิฐเรียง หรือลานอิฐโปกปูนก็ได้ ซึ่งย่อมขึ้นกับสถานภาพทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และบนลานรอบน้ำบ่อนี้ อาจใช้เป็นที่ดำเนินกิจกรรมในบ้านได้หลายประการ เช่น ใช้เป็นที่ซักผ้า ใช้เป็นที่ล้างภาชนะจำนวนมากหลังจากงานบุญ ใช้เป็นที่อาบน้ำของเด็ก ๆ หรือพ่อเฒ่า แม่เฒ่า หรือใช้เป็นที่นั่งพักผ่อนก็ได้เช่นกัน

นอกจาก นี้เพื่อเป็นการป้องกันวัสดุต่าง ๆ มิให้ตกลงไปในบ่อน้ำ ชาวบ้านอาจทำฝาปิดด้วยวัสดุต่าง ๆ คือบ่อที่เป็นบ่อสาธารณะหรือบ่อน้ำในวัดนั้น ก็มักจะน้ำบ่อแบบมีหลังคาคลุม และมีหลุกคือกว้านสำหรับตักน้ำขึ้นมาจากบ่อ

ทำเป็นโรงคลุมบ่อน้ำนั้นไว้ บางแห่งอาจใช้ไม้กระดาษทำเป็นฝาปิดบ่อ หรือสานไม้ไผ่ขัดแตะปิดบ่อของตนตามกำลัง

วิธีการนำไปใช้

การนำน้ำขึ้นจากบ่อมาใช้โดยทั่วไปมี ๓ วิธี ได้แก่

๑. ใช้เชือก โดยผูกเชือกกับภาชนะตักน้ำจากบ่อที่เรียก “น้ำถุ้ง” ตักน้ำจากบ่อขึ้นมา
๒. ใช้หลุก คือใช้กว้านหรือล้อหมุนที่เรียก “หลุก” ปั่นเชือกที่ผูกน้ำถุ้งตักน้ำจากบ่อขึ้นมา
๓. ใช้แร้ว คือใช้คันโพง เบ็ดโพง หรือเบ็ดวง ซึ่งหมายถึงคันสำหรับถ่วงน้ำหนักเพื่อให้เบาแรงในการใช้น้ำถุ้ง (โพง) ตักน้ำจากบ่อ


การดูแลรักษา

บริเวณ รอบ ๆ น้ำบ่อ ต้องรักษาให้สะอาดเสมอ พร้อมทั้งคอยดูแลมิให้น้ำข้างบนไหลซึมลงบ่อ กรณีที่ยังไม่ใช้หรือเลิกใช้ต้องปิดปากบ่อด้วยฝาหรือแผ่นกระดานให้มิดชิด เพื่อกันธุลี ใบไม้ หรือสิ่งของที่จะตกลงไปในบ่อ ที่สำคัญจะต้องชักเอาน้ำและสิ่งตกค้างในบ่อหรือก้นบ่อออกอย่างน้อยหนึ่งปี หรือสองปีต่อครั้ง เพื่อให้บ่อสะอาดควรแก่การบริโภค การชักน้ำออกเพื่อทำความสะอาดนี้เรียกว่า “ลางน้ำบ่อ”

ความเชื่อเกี่ยวกับน้ำบ่อเก่า
๑. การถม
น้ำ บ่อที่ขุดใช้กันมานาน กรณีที่เลิกใช้ไม่ว่าจะเลิกใช้ทันทีหรือทิ้งให้ร้างมานานที่เรียกว่า “น้ำบ่อห่าง” จะถมโดยพลการไม่ได้ ด้วยมีความเชื่อว่าจะเกิดความอัปมงคลที่เรียกว่า “ขึด” เข้าข่ายในตำราขึดคือ “ถมสมุทร” ความอัปมงคลจะมีมานานาประการ และที่เชื่อกันทั่วไปคือจะทำให้ตาบอด ฉะนั้นจึงต้องมีพิธีกรรมแก้ขึดก่อนที่จะทำการถมต่อไป

พิธีกรรมดัง กล่าวคือการ “สูตรถอน” หมายถึงการนิมนต์พระมาทำการสวดมนต์เพื่อถอดถอนเอาบ่อคืนจากพญานาคและแม่พระ ธรณี อีกนัยหนึ่งก็เพื่อถอนเอาขึดทั้งมวลออกเสียก่อน โดยมีขั้นตอนดังนี้

๑. เตรียมเครื่องพลีกรรม ได้แก่
- ด้ายดิบ (สายสิญจน์)

- สะตวงใหญ่ (กระทงหยวก) กว้างประมาณ ๒ คืบ จำนวน ๑ กระทง ใส่ข้าวปลาอาหาร ผลไม้ เมี่ยง หมากพลู บุหรี่ อย่างละ ๑๒

- สะตวงเล็ก กว้างประมาณ ๑ คืบ จำนวน ๔ กระทง ใส่ข้าวปลาอาหาร ผลไม้ เมี่ยง หมากพลู บุหรี่ อย่างละ ๔

- เตรียมขันตั้ง (กำนล) ใส่กรวยดอกไม้ ๔ กรวย กรวยหมากพลู ๔ กรวย ข้าวเปลือก ๑ กระทง ข้าวสาร ๑ กระทง ผ้าขาวผ้าแดงอย่างละชิ้น เทียนเล่มบาท ๑ คู่ เทียนเล่มเฟื้อง ๑ คู่ เทียนน้อย ๔ คู่ ข้าวตอกดอกไม้

- น้ำส้มป่อย ๑ ขัน

๒. แผ้วถาง ปัดกวาดบริเวณให้สะอาด
๓. วางสะตวงใหญ่ใจกลางปากบ่อ โดยอาจใช้ไม้แผ่นพาดปากบ่อพอวางได้
๔. วางสะตวงเล็กบนพื้นดิน ๔ มุมของปากบ่อ
๕. ปักเสาล้อมรอบน้ำบ่อ ๔ ด้าน แล้วล้อมด้วยด้ายสายสิญจน์
๖. โยงสายสิญจน์จากสะตวงใหญ่ลงสู่กระทงเล็กทั้ง ๔
๗. นิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูปมาสวดถอน โดยมีพิธีคือ
- จุดเทียน ๑ เล่ม ธูป ๑ ดอก ทุกสะตวง
- พระสงฆ์ผู้เป็นประธานทำพิธี “โยงขันตั้ง” ระลึกถึงครูอาจารย์
- พระสงฆ์สวดมนต์ตามบนสูตรถอน แล้วดับเทียนธูปทั้ง ๔ ด้าน
- พระผู้เป็นประธานร่ายมนต์ถอนสะตวงใหญ่
- ยกสะตวงทั้งหมดออกจากบริเวณแล้วนำไปไว้นอกเขตรั้ว
- พระสงฆ์สวดชยันโตและมนต์อันเป็นมงคล ประพรมน้ำส้มป่อย
- ถวายปัจจัย พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นเสร็จพิธี
เมื่อกระทำการสูตรถอนแล้วจะถมทันทียังมิได้ ต้องคอยกวาดขยะมูลฝอยลงไปเรื่อย ๆ ทุกวันจนกว่าจะตื้นเขินและเต็มไปในที่สุด จึงจะพ้นขึด

๒. การล้าง

น้ำ บ่อเก่าที่เจ้าของไม่ใช้แล้วทิ้งไว้เป็น “น้ำบ่อห่าง” จะ ถมก็ไม่ถม ปล่อยให้ทิ้งไว้หมักหมมอยู่ ทำให้น้ำเน่าเสีย กรณีนี้เชื่อกันว่าหากมีการล้างให้สะอาดแล้วสถาปนาขึ้นใหม่ จะได้อานิสงส์หลายประการ เช่น หายขาดจากโรคภัย ได้โชคลาภ มีความเจริญทางด้านหน้าที่การงาน เป็นต้น การล้างน้ำบ่อในลักษณะนี้ต้องมีการสูตรถอนและทำบุญตามพิธีดังกล่าวข้างต้น เช่นกัน

๓. การปิดปากบ่อ

น้ำบ่อจะใช้อยู่หรือเลิกใช้ก็ตาม ต้องไม่ปิดปากบ่อถาวรโดยเด็ดขาด เพราะโบราณถือว่าเป็นการ
ปิดตาธรณี หากมีความจำเป็นต้องปิดก็ต้องเปิดช่องไว้สักแห่งหนึ่ง มิเช่นนั้นจะเกิดความอัปมงคลที่เรียกว่า ขึด

แหล่ง น้ำที่ขุดสร้างขึ้นเพื่อนำมาบริโภคใช้สอย เป็นของควบคู่กับวิถีชีวิตของมนุษย์มาแต่โบราณกาล ความผูกพันผนวกกับพื้นฐานทางวัฒนธรรมมักก่อให้เกิดเทคนิควิธี พิธีกรรมตามความเชื่อติดตามมา แม้กาลเวลาจะล่วงเลยไปอย่างไร สังคมจะแปรเปลี่ยนขนาดไหน สิ่งที่น่าสังเกตในปัจจุบัน แม้ความสำคัญของน้ำบ่ออาจลดน้อยลงเพราะมีการขุดเจาะน้ำบาดาลมาใช้หรือไม่ก็ ใช้เครื่องปั๊มน้ำดูดจากบ่อเดิมมาใช้ในระบบเดินท่อเปิดก๊อกก็ตาม การขุดเจาะหาแหล่งน้ำก็ยังพยายามให้อยู่ในทิศที่ถือว่าเป็นมงคล ยังมีการบนบานขอน้ำ มีการแก้บนเมื่อพบสายน้ำ การปิดปากบ่อเพื่อใช้ปั๊มน้ำยังต้องมีช่องระบาย (เพื่อมิให้ต้องขึด) การถมและล้างน้ำบ่อเก่ายังมีพิธีสูตรถอน ร่องรอยการปฏิบัติเช่นนี้ ถือเป็นสิ่งบ่งบอกความสำคัญของน้ำบ่อที่น่าจะมีต่อวิถีชีวิตของชาวล้านนาไป อีกนาน

 มรดกล้านนา โดย สนั่น ธรรมธิ (ภาพประกอบโดย เสาวณีย์ คำวงค์)

ยันต์เก้ากลุ่ม

ตะกรุด ประเภทหนึ่งของล้านนา ที่ไม่เหมือนกับที่อื่น ได้แก่ "ยันต์เก้ากลุ่ม"(ล้านนาเรียก ตะกรุด ว่า ยันต์) มีลักษณะเป็นตะกรุด ๘ ดอก ถักด้วยด้ายล้อมรอบดอกที่เก้า ซึ่งอยู่ตรงกลาง ด้านบนถักเป็นกระจุก ด้านล่างปล่อยด้ายออกเป็นพู่พองาม

ยันต์เก้ากลุ่ม เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่ามีอานุภาพทางป้องกันภูติผีปีศาจ โดยเฉพาะภูติผีที่ชอบเบียดเบียนเด็กและสตรี แต่จากการศึกษาของท่านพระครูปลัดพยุงศักดิ์ ธีรธัมโม วัดควรค่าม้า อำเภอเมืองเชียงใหม่ พบว่ามียันต์เก้ากลุ่มที่ทรงคุณทางเมตตามหานิยม การทำมาค้าขายตลอดจนแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงอีกด้วย ซึ่งความแตกต่างจะอยู่ที่อักขระที่ใช้จารลงในตะกรุด และเพื่อให้เห็นความแตกต่างจะนำเอาตัวอย่างที่เขียนด้วยลายมือของท่านพระครู มาให้ชมดังนี้

นอกจากนี้ยังปรากฏยันต์เก้ากลุ่มที่เพิ่มรายละเอียดขั้นอีก โดยเพิ่มตะกรุดเล็ก ที่ลงอักขระพุทธคุณทีละตัวในสายสำหรับคล้องคอตั้งแต่ อิ ติ ปิ โส ภะ คะ วา จนถึง ภะ คะ วา ติ เป็นจำนวน ๕๔ ตัวอักขระ จากนั้นลงอักขระถอยหลังตั้งแต่ ติ วา คะ ภะ จนถึง โส ปิ ติ อิ อีก ๕๔ ตัว รวม เป็น ๑๐๘ ตัวอักขระ อักขระดังกล่าวต้องจารด้วยอักษรธรรมล้านนา และเรียกชื่อตะกรุดนี้ว่า "ยันต์เก้ากลุ่มสังวาลย์เป๊ก (สังวาลย์เพชร)"

สำหรับภาพตัวอย่าง ภาพแรกเป็นยันต์เก้ากลุ่มสำหรับกันภูติผีภาพต่อมาเป็นชนิดมหานิยมและค้าขาย และแคล้วคลาด สุดท้ายเป็นยันต์เก้ากลุ่มสังวาลย์เป๊ก

ปัจจุบันยันต์เก้ากลุ่มปรากฏให้เห็นน้อยมาก อาจเป็นเพราะผู้คนหันไปนิยมพระเครื่องเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจเป็นเพราะขาดผู้รู้และผู้ชำนาญในการสร้าง อย่างไรก็ตาม ถ้ากล่าวถึงคุณค่า ถือได้ว่าเป็นสมบัติทางปัญญาที่เป็นมรดกของล้านนาอย่างแท้จริง

สนั่น ธรรมธิ
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่