พระเจ้าทิพย์ช้างสุลวะฤาไชยสงคราม ปฐมราชวงค์ ทิพยจักร์
เจ้าพระยาสุลวฤาไชยสงคราม หรือ พ่อเจ้าทิพย์ช้าง มีนามเดิมว่า “ทิพย์จักร” หรือ “หนานทิพย์ช้าง”
เกิดที่ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง
เป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีความสามารถและมีกำลังกายแข็งแรงได้สร้างวีรกรรมกอบกู้เอกราชนครลำปางจากพม่า
ปรากฏว่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ดังนี้ ระหว่างปี พ.ศ. 2272 – 2275 หัวเมืองลานนาทั้งหมดตกอยู่ในอำนาจของพม่า
ชาวเมืองระส่ำระสาย มีจลาจลวุ่นวาย พม่าส่งผู้ปกครองมาดูแลหัวเมืองลานนาทั้งหมด อาทิ เชียงใหม่ เชียงแสน
เชียงราย แพร่ น่าน ลำพูน ส่วนนครลำปางอิทธิพลพม่าแผ่เข้ามาแล้ว
แต่ยังมิได้ส่งผู้แทนมาปกครองเหมือนหัวเมืองอื่น ๆ ขณะนั้นกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองคือ เจ้าลิ้นก่าน ยังทรงพระเยาว์อยู่
ชาวนครลำปางจึงตั้งขุนนาง 4 คน เป็นผู้สำเร็จราชการ แทนเป็นการชั่วคราว
คือ แสนหนังสือ แสนเทพ แสนบุญเฮือน และจเรน้อย
ขณะนั้น มีพระภิกษุรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดนายางหรือวัดนายาบ (ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.แม่ทะ
จังหวัดลำปาง) มีวิทยาอาคม ประชาชนนับถือสมัครเป็นบริวารจำนวนมาก สมภารวัดสามขา
กับสมภารวัดบ้านฟ่อน(วัดนี้รู้จักดีเลย เหอๆ ไปเที่ยวมาบ่อยๆ สาวเยอะน่ะ )
ต่างก็สึกออกมาเป็นเสนาซ้ายขวา ตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่าขึ้น
เป็นเหตุให้พม่าไม่พอใจส่งท้าวมหายศผู้ครองเมืองลำพูนยกกองทัพมาปราบ
สมภารวัดนายาง ก็คุมสมัครพรรคพวกออกรบกองทัพพม่าที่ตำบลป่าตัน (แถวๆ ตำบลน้ำโจ้ อ.แม่ทะอ่ะ)
ต้านทานกองกำลังพม่าไม่ได้พ่ายหนีไปยังวัดพระธาตุลำปางหลวง พม่าตามไปล้อมไว้ พอตกกลางคืน
สมภารวัดนายางกับเสนาซ้ายขวา ก็พากันหนีออกจากวงล้อมทหารพม่า
แต่ก็หนีไม่พ้นถูกทหารพม่าใช้ปืนยิงถึงแก่ความตาย ทั้งสมภารวัดนายางและเสนาซ้ายขวา
กองทัพพม่าก็กลับมาตั้งมั่นที่วัดพระธาตุลำปางหลวงและทัพพม่าท้าวมหายศได้แต่งตั้งให้หาญฟ้าแมบ หาญฟ้าง้ำ หาญฟ้าฟื้น เข้าไปเจรจาความเมืองต่อขุนนางทั้ง 4 โดยที่ตัวแทนของพม่าทั้ง 3 ได้เหน็บอาวุธเข้าไปด้วย
พอได้โอกาสก็พากันฟันแทงขุนนางทั้ง 4 และ ยกกองกำลังหนุนเข้าไปปล้นเอาเมืองลำปางได้
แสนหนังสือ แสนเทพ และแสนบุญเฮือนถูกฆ่าตาย
ส่วนจเรน้อยและเจ้าลิ้นก่านพากันหนีไปที่ประตูผานครลำปางตกอยู่ในครอบครอง
ของท้าวมหายศ ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในเขตกำแพงวัดพระธาตุลำปางหลวง (เหตุที่ตั้งที่นี่เพราะเป็นเมืองหลวงเก่า)
ท้าวมหายศทารุณกดขี่ราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั่วไปมิมีผู้สามารถปราบกองทัพท้าวมหายศได้
เจ้าอธิการวัดพระแก้วหรือวัดชมภู (ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.เมืองลำปาง)
มีความรู้ทางโหราศาสตร์ประชาชนเลื่อมใสสมัครเข้าเป็นบริวารจำนวนมาก
ประสงค์จะหาผู้มีความสามารถกู้อิสรภาพคืนจากพม่า มีผู้แนะนำว่า
หนานทิพย์ช้างพรานป่าเป็นผู้มีความสามารถ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกำลังกายแข็งแรง
รู้จักและชำนาญในการใช้อาวุธ เจ้าอธิการวัดพระแก้วจึงไปขอร้องให้หนานทิพย์ช้างไปกอบกู้บ้านเมือง
ในครั้งนี้โดยมีข้อเสนอให้ เมื่อกอบกู้บ้านเมืองคืนมาได้
จะสถาปนาให้เป็นเจ้าครองเมืองลำปางต่อไป หนานทิพย์ช้างขันอาสาโดยได้นำไพร่พลไป 300 คน
ให้ซุ่มรออยู่ข้างนอกวัดพระธาตุลำปางหลวงหนานทิพย์ช้างได้ลอบเข้าไปในวัดทางท่อระบายน้ำ
โดยปลอมเป็นคนลำพูนเข้าไปส่งข่าวให้แก่ทัพพม่า เมื่อสามารถเข้าไปในวัดได้แล้วไปถามทหารว่าแม่ทัพเป็นคนไหน
แลบอกว่าตนมาจากลำพูนเพื่อมาส่งข่าว ทหารพม่าหลงเชื่อก็ชี้บอกแม่ทัพท้าวมหายศ
ซึ่งขณะนั้นนั่งเล่นหมากรุกอยู่ในศาลาหลวง
เมื่อหนานทิพย์ช้างรู้ว่าแม่ทัพพม่าคือคนไหนก็ใช้ปืนที่พกมายิงจนแม่ทัพพม่าเสียชีวิต
และชิงเปิดประตูวัด ให้ไพร่พลที่อยู่ข้างนอก เข้าไปจัดการไล่ทหารลำพูนออกไปจนหมดสิ้น
และสามารถยึดเมืองกลับคืนมาได้ พร้อมสถาปนาตนเป็น เจ้าทิพยจักรหลวง หรือ เจ้าสุลวฤาไชยสงคราม
(พ่อเจ้าทิพย์ช้าง) ปกครองเมืองลำปางตั้งแต่ พ.ศ. 2275 นาน 27 ปี พระองค์ได้พิราลัยในปี 2302 รวมอายุได้ 85 ปี
พ่อเจ้าทิพย์ช้างมีโอรสและพระธิดากับเจ้าแม่พิมพา รวม 6 องค์ คือ
เจ้าอ้าย (ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเยาว์) เจ้าชายแก้ว, เจ้านางคำ, เจ้านางคำปา, เจ้าคำปอเฮือน (ตายในสนามรบ)
และเจ้านางกม
พระโอรสองค์ที่2 คือ เจ้าฟ้าแก้ว ซึ่งเป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวที่เหลืออยู่
จึงได้ครองราชย์ต่อจากพ่อเจ้าทิพย์ช้าง เจ้าฟ้าแก้วมีโอรส 7 องค์ ธิดา 3 องค์ ได้แก่
เจ้ากาวิละ, เจ้าคำโสม, เจ้าน้อยธรรมลังกา, เจ้าดวงทิพย์, เจ้าศรีอโนชา, เจ้าศรีวรรณ (ถึงแก่กรรม) เจ้าหมู่หล้า,
เจ้าคำฝั้น, เจ้าศรีบุญตัน (ถึงแก่กรรม) และเจ้าบุญมา
ในช่วงที่เจ้าฟ้าแก้วครองเมืองลำปาง ช่วงนั้นพระองค์ได้ถูกเจ้าลิ้นก่าน
(โอรสของเจ้าเมืองลำปางที่เสียเมืองให้แก่ท้าวมหายศ) เข้ายึดอำนาจ เจ้าฟ้าแก้วได้หนีไปพึ่งเจ้าเมืองแพร่
เมืองลำปางที่อยู่ในการปกครองของเจ้าลิ้นก่าน ต่อมาปี พ.ศ.2304 พม่าก็ได้มีอำนาจอีก
ได้ส่งกองทัพมายึดหัวเมืองต่างๆ ในอาณาจักรลานนานไทย หัวเมืองต่าง ๆ
ยอมอ่อนน้อมและพม่าได้จัดการปกครองลำปางใหม่และให้เจ้าฟ้าแก้วขึ้นปกครองเมืองลำปาง
ทำให้เจ้าลิ้นก่านเกิดความไม่พอใจ พม่าจึงเข้ามาชำระความโดยการดำน้ำพิสูจน์
โดยให้เจ้าฟ้าแก้วและเจ้าลิ้นก่าน ดำน้ำแข่งกัน ปรากฏว่าท้าวลิ้นก่าน พ่ายแพ้ จึงถูกพม่าประหารชีวิต
พร้อมทั้งริบทรัพย์สินและครอบครัว สำหรับสถานที่ที่ดำน้ำชิงเมือง อยู่บริเวณหน้าวัดปงสนุก
ซึ่งแม่น้ำวังไหลผ่านในสมัยนั้นยังมีศาลท้าวลิ้นก่านปรากฏอยู่ตรงข้าง วัดปงสนุกมาจนกระทั่งทุกวันนี้
พม่าแต่งตั้งให้เจ้าชายแก้วเป็นที่ "เจ้าฟ้าหลวงไชยแก้ว" ครองเมืองนครลำปาง
แต่พม่า ยังปกครองชาวนครลำปางอย่างกดขี่ทารุณอยู่ หากผู้ใดขัดขืนก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก
นับตั้งแต่ การจองจำ ริบทรัพย์สมบัติ ลูกเมีย ไปจนถึงการประหารชีวิต
อันเป็นสภาวะที่ชาวนครลำปางสุดแสนจะทนทานต่อไปได้ ดังนั้นเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรี
ทรงมีบัญชาให้เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ (รัชกาลที่ 1)
และสมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยกกองทัพไปตีเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2314
เจ้ากาวิละ (โอรสของเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว) จึงพาอนุชาทั้งหกเข้าสวามิภักดิ์
แล้วนำทหารชาวนครลำปางเข้าสมทบยกขึ้นไปตีเชียงใหม่ พม่าได้จับเจ้าฟ้าหลวงชายแก้วไว้เป็นประกัน
เมื่อกองทัพไทยยกขึ้นไปเชียงใหม่ เจ้ากาวิละ จึงนำทหารชาวนครลำปางตีหักเข้าเมืองได้ก่อน
ช่วย พระบิดาออกจากที่คุมขังได้สำเร็จ แล้วนำกำลังสมทบกับกองทัพไทยใต้ตีพม่าแตกพ่ายไป
ความดีความชอบครั้งนี้ เจ้ากาวิละได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง "นครลำปาง"
พระเจ้ากาวิละ ผู้รวบรวมหัวเมืองฝ่ายเหนือจนรวมเข้าเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน
และต่อมาเลื่อนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ตามลำดับ ความสัมพันธ์ระหว่างนครลำปางกับกรุงเทพฯ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ความสัมพันธ์ระหว่างนครลำปางกับกรุงเทพฯ เป็นผลสืบเนื่องมาจากเจ้ากาวิละและ
พระอนุชา ได้นำเอาบ้านเมืองเข้าสวามิภักดิ์ต่อกองทัพไทยที่ยกขึ้นไปตีพม่าที่เชียงใหม่ ใน พ.ศ. 2314
หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เสด็จขึ้นครองราชสมบัติความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านครลำปางกับราชวงศ์จักรีมีความผูกพันกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เพราะเจ้านายฝ่ายเหนือต้องการสวามิภักดิ์ต่อคนไทยด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ
เนื่องจากสมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาทได้สู่ขอเจ้าศรีอโนชา
กนิษฐาของเจ้ากาวิละเป็นชายาทางกรุงเทพฯก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เมืองนครลำปางอย่างสม่ำเสมอด้วยดีตลอดมา
บรรดาเจ้านายฝ่ายเหนือได้รับยกย่องให้มีฐานะสูงขึ้น เป็นถึงเจ้าประเทศราช
อย่างไรก็ตามพม่าก็มิได้ลดละความพยายามที่จะกลับเข้ามามีอิทธิพลในลานนาไทยอีก
เพื่อใช้เป็นแหล่งสะสมผู้คนและเสบียงอาหาร เข้าโจมตีกรุงเทพ ฯ
หลังจากที่พระเจ้าปะดุงพ่ายแพ้แก่กองทัพไทยไปจากสงครามเก้าทัพ (พ.ศ. 2318)
และสงครามที่ท่าดินแดง (พ.ศ. 2329) แล้ว บรรดาหัวเมืองประเทศราชลื้อ เขิน ของพม่า
แถบเมืองเชียงตุง เชียงรุ้ง เมืองสาด เมืองปุก็พากันกระด้างกระเดื่องแข็งเมือง
พระเจ้าปะดุงจึงโปรดให้ยกกองทัพไป ปราบปรามใน พ.ศ. 2330 โดยมีหวุ่นยีมหาชัยสุระเป็นแม่ทัพใหญ่
คุมรี้พล 45,000 คน ลงมาทางหัวเมืองไทยใหญ่
ครั้นยกมาถึงเมืองนายได้แบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนออกปราบบรรดาหัวเมืองที่กระด้างกระเดื่อง
สำหรับกองทัพพม่าที่ยกเข้าทางหัวเมืองลานนาไทย จอข่องนรทาเป็นแม่ทัพคุมรี้พล 5,000 คน
ยกลงมายึดเมืองฝางไว้เป็นแหล่งชุมนุมพล และสะสมเสบียงอาหารไว้รอกำลังส่วนใหญ่เพื่อเตรียมเข้าตีนครลำปาง
ฝ่ายโปมะยุง่วนเจ้าเมืองเชียงใหม่ซึ่งหลบหนีกองทัพไทยไปอยู่เมืองเชียงแสนมีกำลังรักษาบ้านเมืองไม่มากนัก
เพราะกำลังส่วนหนึ่งถูกเกณฑ์ไปช่วยทำนาที่เมืองฝาง จึงทำให้พระยาแพร่ ชือมังชัย
และพระยายองเห็นเป็นโอกาสคุมกำลังเข้าโจมตีเมืองเชียงแสนโปมะยุง่วนสู้ไม่ได้หนีไปอาศัยอยู่กับพระยาเชียงราย
จึงถูกพระยาเชียงรายควบคุมตัวส่งแก่ พระยาแพร่ และพระยายอง
แล้วพระยาแพร่และพระยายองคุมตัวส่งแก่เจ้ากาวิละ
ที่นครลำปางเนื่องจากเห็นว่าโปมะยุง่วนเป็นบุคลสำคัญระดับเจ้าเมือง ทางนครลำปางจึงคุมตัวส่งลงไปถวายยังกรุงเทพฯ
การจับโปมะยุง่วนเป็นเชลยได้ กลายเป็นผลดีต่อฝ่ายไทยอย่างมาก เพราะได้นำตัวไปสอบสวนข้อราชการสงคราม
ทำให้ทราบข่าว แน่ชัดว่า พม่าเตรียมกองทัพเข้ามาตีนครลำปางในฤดูแล้ง เมื่อตีได้แล้วก็จะกลับไปตั้งมั่นอยู่ที่เชียงใหม่
อีกครั้งหนึ่ง(คำให้การของโปมะยุง่วนต่อมากลายเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่ง ที่เรียกว่า คำให้การของชาวอังวะ)
การที่พม่ามีนโยบายเข้ามายึดเชียงใหม่เป็นที่มั่น นับว่าเป็นอันตรายต่อบรรดาหัวเมืองเหนือทั้งปวง ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงคิดหาทางป้องกันไว้ก่อน โดยมีพระบรมราชโองการให้เจ้ากาวิละแบ่งครอบครัวจากนครลำปางส่วนหนึ่ง ขึ้นไปรักษาเมืองเชียงใหม่ ส่วนทางเมืองนครลำปางโปรดให้เจ้าคำโสมอนุชา เจ้ากาวิละเป็นเจ้าเมืองสืบแทน เนื่องจากมีกำลังน้อยเจ้ากาวิละเห็นว่าไม่เพียงพอที่จะรักษาเมืองเชียงใหม่ ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม เพราะเป็นเมืองร้างมาหลายปี ดังนั้นจึงอพยพครอบครัวไปตั้งที่ป่าซางก่อนเป็นการชั่วคราว โดยมีกองทหารจากเมืองสวรรคโลก และกำแพงเพชรยกขึ้นมาช่วยป้องกันบ้านเมือง
ในระหว่างนั้นได้รวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายบริเวณชายแดน มาไว้ในบ้านเมืองตามนโยบายที่เรียกว่า "เก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง" แต่ยังไม่ทันจะอพยพขึ้นไปตั้งมั่นที่เชียงใหม่ พม่าก็ได้ยกกองทัพมาโจมตีเสียก่อน ดังนั้นจึงตั้งมั่นอยู่ที่ป่าซางถึง 5 ปี เศษ ครั้นถึงฤดูแล้ง พ.ศ. 2330 กองทัพของหวุ่นยีมหาชัยสุระยกลงจากเชียงตุงเข้ายึดเชียงใหม่คืน ตีเชียงรายแล้วเข้าสมทบกับกองทัพของจอข้องนรทาที่ฝาง รวมรี้พลได้ ราว 30,000 คน ยกลงมาทางเมืองพะเยา เข้าตีนครลำปาง ส่วนทางป่าซางพระเจ้าปะดุงทรงมีรับสั่งให้ยีแข่งอุเมงคีโป คุมกำลัง 16,000 คน จากเมืองเมาะตะมะ เข้าโจมตีล้อมไว้ป้องกันมิให้ยกไปช่วยทางนครลำปาง
ฝ่ายกองทัพพม่าที่ล้อมนครลำปาง เจ้าคำโสมได้นำทัพชาวเมืองต่อสู้ป้องกันบ้านเมืองไว้อย่างเข้มแข็ง พม่าพยายามเข้าปล้น เมืองหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จจึงตั้งค่ายล้อมไว้ให้ขาดเสบียงอาหาร ขณะนั้นทางกรุงเทพฯ กำลังเตรียมกองทัพจะไปตีเมืองทวาย ครั้นทราบข่าวการศึกทางหัวเมืองเหนือ จึงโปรดให้พระอนุชาธิราช สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยกขึ้นมาช่วย พอยกขึ้นมาถึงนครลำปาง โปรดให้ตั้งค่ายโอบล้อม พม่าไว้อีกชั้นหนึ่ง เมื่อพร้อมแล้วก็ ส่งสัญญาณให้กองกำลังในเมืองตีกระหนาบออกมาพร้อมกัน พม่าสู้ไม่ได้จึงแตกพ่ายหนีกลับไปยัง เชียงแสน ส่วนที่ป่าซางกองทัพไทยก็ได้ยกขึ้นไปช่วยตีกระหนาบข้าศึกแตกพ่ายไป เช่นเดียวกัน ภายหลังเสร็จจากการศึกสงครามคราวนี้ เจ้ากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่และเจ้าคำโสม เจ้าเมืองนครลำปาง ได้พาพระอนุชา (เจ้าเจ็ดตน) เข้าเฝ้าสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท แล้วถวายพระพุทธสิหิงค์ให้นำไปประดิษฐาน ณ กรุงเทพ ฯ มาจนกระทั่งทุกวันนี้
ในปีจุลศักราช 1156 (พ.ศ. 2337) เจ้ากาวิละได้เรียกพระอนุชาทั้ง 6 เข้าเฝ้าแล้ว มีโอวาทคำสอน โดยมุ่งให้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งมีสาระสำคัญ ตอนหนึ่งว่า
"ตั้งแต่เจ้าเราทั้งหลายไปภายหน้าสืบไป ถึงชั่วลูก ชั่วหลาน เหลน หลีด หลี้ ตราบสิ้น ราชตระกูลแห่งเราทั้งหลาย แม้นว่าลูกหลาน เหลน หลีด หลี้ บุคคลใดยังมีใจใคร่กบฏ คิดสู้รบกับ พระมหากษัตริย์เจ้า แห่งราชวงศ์จักรี แล้วเอาตัวและบ้านเมืองไปพึ่งเป็น ข้าม่าน ข้าฮ่อ ข้ากูลา ข้าแก๋ว ข้าญวน ขอผู้นั้นให้วินาศฉิบหาย ตายวาย พลันฉิบหายเหมือนกอกล้วย พลันม้วยเหมือนกอเลา กอคา ตายไปแล้วก็ขอให้ตกนรกแสนมหากัปป์ อย่าได้เกิดได้งอก ผู้ใดยังอยู่ตามโอวาทคำสอนแห่งเรา อันเป็นเจ้าพี่ ก็ขอให้อยู่สุข วุฒิจำเริญ ขอให้มีเตชะฤทธีอนุภาพปราบชนะศัตรูมีฑีฆา อายุมั่นยืนยาว"
ภายหลังจากกองทัพพม่าพ่ายแพ้แก่กองทัพไทยไป เมื่อครั้งตีนครลำปางและป่าซาง ในปี พ.ศ. 2330 เจ้ากาวิละจึงได้อพยพผู้คนจากป่าซาง ขึ้นไปตั้งมั่นที่เชียงใหม่ ใน พ.ศ. 2339 ยังจัดราชการบ้านเมืองไม่เป็นที่เรียบร้อย พม่าก็ยกกองทัพเข้ามาโจมตี ใน พ.ศ. 2340 ทั้งนี้เพราะพระเจ้าปะดุงยังคิดเสียดายอาณาเขตในแคว้นลานนาไทยอยู่ จึงสั่งให้เนมะโยกยอดินสีหะสุระคุมกองทัพมาประชุมพลที่เมืองนาย รวมรี้พล 55,000 คน จัดเป็น 7 กองทัพ พม่าจัดวางกำลังล้อมเมืองเชียงใหม่ไว้อย่างแน่นหนาถึง 3 ชั้น ประสงค์จะตีหักเอาเมืองให้ได้ แต่เจ้ากาวิละก็สามารถคุมกำลัง ป้องกันเมืองไว้ได้
ทางกรุงเทพฯเ มื่อทราบข่าวศึกเมืองเชียงใหม่จึงโปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จยกกองทัพขึ้นมาช่วยเหลือ ประชุมทัพที่นครลำปาง ส่งกองทัพหน้าเข้าตีค่ายพม่าซึ่งสกัดอยู่ที่ลำพูน และป่าซางแตกพ่ายไป แล้วกองทหารชาวนครลำปางได้สมทบกับกองทัพหลวง รวม 40,000 คน ยกขึ้นไปตีกระหนาบพม่าที่ล้อมเชียงใหม่แตกพ่ายไปอย่างยับเยิน จับเชลยอาวุธ และช้างม้าพาหนะไว้ได้จำนวนมาก สงครามขับไล่พม่าออกจากเขตแดนลานนาไทย (พ.ศ. 2345 - 2347) ภายหลังจากกองทัพพม่าพ่ายแก่กองทัพไทยในสงครามพม่าตีเชียงใหม่แล้ว
ต่อมาในปี พ.ศ. 2344 เจ้ากาวิละได้เกณฑ์กำลังจากหัวเมืองเหนือไปโจมตีเมืองสาด หัวเมืองประเทศราชของพม่าเป็นการตอบแทนบ้าง จับได้เจ้าเมืองกับลูกชายรวมทั้งทูตพม่าซึ่งส่งไปเจริญสัมพันธไมตรีกับ ตังเกี๋ยลงไปถวายยังกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังกวาดต้อนครอบครัว ชาวเมืองสาดประมาณ 5,000 คน มาใส่บ้านเมือง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระเจ้าปะดุงขัดเคืองมาก จึงโปรดให้อินแซะหวุ่น คุมกองทัพ 40,000 คน มาตีเชียงใหม่ ใน พ.ศ. 2345 สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จยกกองทัพไทยขึ้นมาช่วยเหมือนครั้งก่อน ครั้นถึงเมืองเถินพระองค์ประชวรเป็นโรคนิ่ว ไม่สามารถ เสด็จต่อไปได้อีก จึงแต่ง กองทัพขึ้นมาสมทบกับกองทัพของนครลำปาง ขึ้นไปช่วยทางเชียงใหม่จนสามารถขับไล่พม่าแตกพ่ายไป
เมื่อเสร็จสงคราม เจ้ากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่ และเจ้าดวงทิพเจ้าเมืองนครลำปาง ได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระอนุชาธิราชที่เมืองเถิน ทรงมีรับสั่งให้ช่วยกันขับไล่พม่าออกจากเชียงแสนให้ได้ แล้วพระองค์เสด็จกลับถึงกรุงเทพ ฯ ได้ไม่นานก็ทิวงคต
พอถึงฤดูแล้งกองทัพหลวงมีเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์และเจ้าพระยายมราช พร้อมด้วยกองทัพของเชียงใหม่ นครลำปาง น่าน และเวียงจันทน์ ยกไปตีเชียงแสน ใน พ.ศ. 2347 แต่ปรากฏว่าการบังคับบัญชากองทัพไม่เด็ดขาด เนื่องจากมีหลายกองทัพ ส่วนกองทัพวังหลวงที่ยกขึ้นไปนั้นก็ ไม่ตั้งใจทำสงครามอย่างเต็มที่ เนื่องจากถูกปรับโทษจากการยกไปตีเชียงใหม่ล่าช้า ตั้งล้อมเชียงแสนอยู่ได้ 2 เดือน กองทัพชาวใต้ ได้เลิกทัพกลับเสีย ก่อนคงเหลือแต่กองทัพของลานนาไทย และ เวียงจันทน์ยังคงล้อมเชียงแสนต่อไป จนกระทั่งในที่สุดชาวเชียงแสนลักลอบเปิดประตูเมืองให้เนื่องจากเห็นว่าเป็นพวกเดียวกันจึงสามารถ ยึดเชียงแสนไว้ได้ เจ้ากาวิละสั่งให้รื้อกำแพงเมือง และทำลายเมืองเพื่อมิให้เป็นที่มั่นของข้าศึกอีกต่อไป แล้วอพยพครอบครัวชาวเชียงแสนลงมา ได้ครอบครัวประมาณ 20,000 คนแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ส่งลงไปกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ในปัจจุบัน ที่เหลือส่งไปเวียงจันทน์ น่าน เชียงใหม่และนครลำปาง ชาวเชียงแสนที่อพยพลงมาอยู่ที่นครลำปางอาศัยอยู่แถบบริเวณวัดปงสนุกสืบต่อลูกหลานกันมา จนถึงปัจจุบัน
ความดีความชอบในครั้งนี้เจ้ากาวิละได้รับบำเหน็จความชอบมาก โปรดให้สถาปนาเป็นพระเจ้าเชียงใหม่มีฐานะเป็นเจ้าประเทศราช หลังจากตีเมืองเชียงแสนได้กองทัพของลานนาไทยประกอบด้วย เชียงใหม่ นครลำปาง แพร่ เมืองเถิน น่าน รวมทั้งกองทัพของลานช้างได้แก่ หลวงพระบางและเวียงจันทน์ ร่วมกันยกขึ้นไปตีเมืองยอง เมืองลื้อ เมืองเขิน เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ้ง เมืองเชียงแขง ตลอดจนบรรดาหัวเมืองต่างๆ แถบไทยใหญ่ ลื้อ เขิน มาเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงเทพฯ ทำให้อาณาเขตของ ไทยแผ่ออกไปกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าครั้งใดๆ นับตั้งแต่นั้นมาบรรดาหัวเมืองลานนาไทย ทั้งปวงจึงปลอดภัยจากการรุกรานของพม่าข้าศึก
จังหวัดลำปางได้ประกาศจัดตั้งเป็นจังหวัด ในปี พ.ศ. 2435 (สมัยรัชกาลที่ 5) โดยขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพสมัยหนึ่ง (พ.ศ. 2443) ต่อมาแยกเป็นมณฑลมหาราษฎร์ ในปี พ.ศ. 2458 ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีประกาศยกเลิกมณฑลทั่งราชอาณาจักร ลำปางจึงมีฐานะเป็นจังหวัดลำปาง ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476

ทายาทในปัจจุบัน
บทสรุปตระกูลเจ้าเจ็ดตน
เจ้าพระยาสุรฤาไชยสงคราม มีโอรส 7องค์ ธิดา 3องค์ คือ
1.เจ้าอ้าย 2. เจ้าแก้ว ตอนหลังพม่าตั้งให้เป็น เจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว 3. เจ้าหญิงคำ 4.เจ้าหญิงคำปา 5. เจ้าพ่อเรือน 6. เจ้าหญิงกลม
โอรสที่2 คือ เจ้าฟ้าหลวงชายแก้วนี้แหละ ทีเป็นบิดา ของเจ้าเจ็ดตน คือ
1. เจ้ากาวิละ ครองนครลำปาง ภายหลังมาครองนครเชียงใหม่ เป็นพระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ
2. เจ้าคำสม เมือ่เจ้ากาวิละไปครองนครเชียงใหม่ เจ้าคำสม ก็ครองลำปางแทน
3.เจ้าธรรมลังกา ครองนครเชียงใหม่ต่อจาก เจ้ากาวิละ เมือ่เจ้ากาวิละ ทิวงคต
4.เจ้าดวงทิพย์ ครองนครลำปางต่อจาก เจ้าคำสม
5. เจ้าหมูหล้า เป็นเจ้าราชวงศ์ลำปาง
6. เจ้าคำฝั้น ครองนครลำพูน ภายหลังไปครองนครเชียงใหม่ เป็นองค์ที่3 ต่อจาก เจ้าธรรมลังกา
7. เจ้าบุญมา ครองนครลำพูน ต่อจากเจ้าคำฝั้น เมือ่เจ้าคำฝั้นไปครองเชียงใหม่
เจ้านายฝ่ายเหนือ ทั้งปวงล้วนสืบ เชื่อสายมาจาก เจ้าเจ็ดตน
ธิดาอีก3คนคือ
1. เจ้าหญิงศรีโนชา หรือ ศรีอโนชา ได้เป็นชายาเอก ของ เจ้าพระยาสุรสีห์ แต่คนวังหน้าเรียกท่านว่า เจ้าศิริรจจา บ้าง ศิริรจนาบ้าง
2.เจ้าหญิงศรีวรรณา
3.เจ้าหญิงศรีบุญตัน
เจ้าหญิงศรีอโนชาเคยเสด็จเยี่ยมเยือนพระบิดา และญาติพี่น้อง ณ นครลำปาง ราว พ.ศ. 2331 เวลานั้น เจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว ชราภาพมากแล้ว เจ้าพี่เจ้าน้องได้พบกันด้วยความปรีดา ว่าจะจบแค่นี้ แต่พูดถึงเจ้านายฝ่ายเหนือแล้ว ถ้าไม่พูดถึง พระราชชายาดารารัศมีก็ยังไงอยู่จึงขอต่อละกัน
เจ้าพี่เจ้าน้องผลัดกันครองนครเชียงใหม่ จนถึงจ้านครเชียงใหม่ องค์ที่6 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ องค์ที่6กลับมาเป็นโอรส เจ้ากาวิละ คือ เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์
เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ มีชายเอก คือ เจ้าแม่อุษามหาเทวี มีธิดา2ท่านคือ
1.เจ้าหญิงทิพเกษร หรือ ทิพไกรสร
2. เจ้าหญิงอุบลวรรณา
เจ้าหญิงทิพเกษร ได้เสกสมรสกับพระญาติ ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่7 คือ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เดิมชื่อ เจ้าน้อยอินทนนท์
พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ก็มีธิดากับเจ้าแม่ทิพเกษร มหาเทวีเพียง2องค์เช่นกัน คือ
1. เจ้าหญิง จันทร์โสภา สิ้นชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์
2. เจ้าหญิง ดารารัศมี คือพระราชชายาฯในรัชกาลที่5และมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว คือ พระองค์เจ้าหญิง วิมลนาคนพีสี แต่ก็สิ้นพระชนตั้งแต่พระชันษาเพียง4ขวบกว่า พระพุทธเจ้าหลวงตรัสเรียกพระธิดาพระองค์นี้ว่า - หญิงลาว
เจ้าดารารัศมี เข้ามาเป็นเจ้าจอม พระสนมเอก ตั้งแต่ ชันษา15 โปรดเกล้าฯสถาปนา เป็นพระมเหสีตำแหน่งที่ 5 หลังจากเป็นบาทบริจาริกามาได้ 21ปี
มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ เจ้า ดารารัศมี โสกัน ชันษา ราว11-12 พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง โปรดเกล้าฯให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งเสด็จมาจัดราชการเมืองเชียงใหม่ เชิญ พระกุณฑล ประดับเพชร มาพระราชทาน เป็นของขวัญ นัยว่าการพระราชทานพระกุณฑล ครั้งนั้น เหมือนเป็นการหมั้นหมาย ไว้
พระราชชายาฯ เข้ามารับราชการ เป็นเจ้าจอม พระสนมเอก เมือ่ตามพระบิดา ลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในงานพระราชพิธีลงสรง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อครั้งที่อังกฤษได้พม่าและเชียงตุงไว้ในครอบครองแล้ว ก็พยายามจะผนึกเชียงใหม่ เข้าไว้ในปกครองด้วย เจ้านายฝ่ายเหนือ แบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย พระบิดาพระราชชายาทรงมีหนังสือมาเล่าความถึงพระธิดา ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าจอมพระสนมเอก
พระราชชายาฯ ได้ทูลเกล้าถวายหนังสือฉบับนั้น และทรงปรึกษากับกรมหลวงพิชิต ปรีชากร ในที่สุดพระราชชายาฯทรงมีหนังสือทูลตอบพระเจ้าอินทวิชยานนท์ว่า หากเชียงใหม่ ยอมเซ็นสัญญาอยู่ใต้บังคับอังกฤษ ก็ให้พระบิดา เตรียมการรับศพลูกกลับไปเชียงใหม่
เพราะฉะนั้น เชียงใหม่จึงอยู่เป็นไทยมาตลอดจนทุกวันนี้
หลังจากเป็นบาทบริจาริกาแล้ว21ปี พระราชชายาฯกราบทูลาขึ้นไปเยี่ยมเยือนพระประยูรญาติ ณ เชียงใหม่ เวลานั้น พระเจ้าอินทวิชยานนท์ พระบิดา ทิวงคต แล้ว ผู้เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ คือ เจ้าอินทวโรรส สุริยวงศ์ เชษฐาต่างชนนีกับพระราชายาฯ
ครั้งนั้นเสด็จไปประทับเชียงใหม่ ราว 6 เดือนกว่า จึงเสด็จกลับกรุงเทพ
จนกระทั่งพระพุทธเจ้าหลวง เสด็จสววรคตแล้ว เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์สุดท้าย ผู้เป็นเชฐาต่างชนนี เช่นกัน ลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด้จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่6 พระราชชายาฯจึงกราบถวายบังคมลา ขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาต เสด็จคืนไปประทับเชียงใหม่ ขณะนั้นพระชันษา 41 ประทับอยู่เชียงใหม่ ถึงพ.ศ. 2476 ก็ประชวร ด้วยพระโรคปอด สิ้นพระชน สิริรวมพระชันษา 60ปี
ชั้น 1 องค์ปฐมวงศ์พระเจ้าทิพจักรสุลวฤๅไชยสงคราม, ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ครองนครเขลางค์ (ลำปาง) นครรัฐอิสระ (2275 - 2302)
[แก้] ชั้น 2 พระราชโอรส พระราชธิดา ใน "พระเจ้าทิพจักรสุลวฤๅไชยสงคราม"เจ้าฟ้าหลวงชายอ้าย
เจ้าฟ้าสิงหราชธานีหลวงชายแก้ว, พระเจ้าผู้ครองนครเขลางค์(ลำปาง) ประเทศราชของพม่า (2302 - 2317), ทรงเป็นพระราชบิดา ใน "พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ" ด้วยพระราชโอรสทั้ง 7 พระองค์ ทรงมีบทบาทสำคัญในการกอบกู้ราชอาณาจักรล้านนาจากพม่า และต่อมาเจ้านายบุตรหลานได้ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ จึงเป็นที่มาของราชสมัญญาว่า "เจ้าเจ็ดตน" หรือ "เจ้าเจ็ดองค์"
เจ้าฟ้านางหลวงคำทิพ
เจ้าฟ้าหลวงชายคำปา
เจ้าฟ้าหลวงชายปอเฮือน (พ่อเรือน), พระราชบิดาใน "เจ้าหลวงพุทธวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 4"
เจ้าฟ้านางหลวงกม
[แก้] เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ (2325 - 2482)ลำดับ พระนาม ปีที่ครองราชย์
1 พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ, พระเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 1 2325 - 2356 (31 ปี) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
2 พระเจ้าช้างเผือกธรรมลังกา, พระเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 2 2356 - 2365 (11 ปี)
3 เจ้าหลวงเศรษฐีคำฝั้น, เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 3 2366 - 2368 (2 ปี)
4 เจ้าหลวงพุทธวงศ์, เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 4 2369 - 2389 (20 ปี)
5 พระเจ้ามโหตรประเทศ, พระเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 5 2390 - 2397 (7 ปี)
6 พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์, พระเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 6 2399 - 2413 (14 ปี)
7 พระเจ้าอินทวิชยานนท์, พระเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 7 2416 - 2439 (23 ปี)
8 เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์, เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 8 2444 - 2452 (8 ปี)
9 พลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ, เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 9 2454 - 2482 (28 ปี)
[แก้] เจ้าผู้ครองนครลำปาง (2275 - 2465)ลำดับ พระนาม ปีที่ครองราชย์
1 พระเจ้าทิพจักรสุลวฤๅไชยสงคราม, กษัตริย์นครเขลางค์ (ลำปาง) พระองค์ที่ 1 2275 - 2306 (31 ปี) สมัยกรุงศรีอยุธยา
2 เจ้าฟ้าสิงหราชธานีหลวงชายแก้ว, กษัตริย์นครเขลางค์ (ลำปาง) พระองค์ที่ 2 2306 - 2317 (11 ปี) สมัยกรุงศรีอยุธยา
3 พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ, พระเจ้านครลำปาง พระองค์ที่ 3 2317 - 2325 (8 ปี) สมัยกรุงธนบุรี
4 พระเจ้าลครคำโสม, พระเจ้านครลำปาง พระองค์ที่ 4 2325 - 2337 (12 ปี) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
5 พระเจ้าหอคำดวงทิพย์, พระเจ้านครลำปาง พระองค์ที่ 5 2337 - 2349 (12 ปี)
6 เจ้าฟ้าหลวงมหาขนานไชยวงศ์, เจ้าผู้ครองนครลำปาง พระองค์ที่ 6 2349 - 2361 (12 ปี)
7 เจ้าฟ้าหลวงขัตติยะ, เจ้าผู้ครองนครลำปาง พระองค์ที่ 7 2361 - 2361 (6 เดือน)
8 เจ้าฟ้าหลวงน้อยอินทร์, เจ้าผู้ครองนครลำปาง พระองค์ที่ 8 2361 - 2372 (11 ปี)
9 เจ้าฟ้าหลวงวรญาณรังษี, เจ้าผู้ครองนครลำปาง พระองค์ที่ 9 2372 - 2378 (6 ปี)
10 พระเจ้าพรหมาภิพงศ์ธาดา, พระเจ้านครลำปาง พระองค์ที่ 10 2378 - 2430 (52 ปี)
11 เจ้าหลวงนรนันท์ไชยชวลิต, เจ้าผู้ครองนครลำปาง พระองค์ที่ 11 2430 - 2440 (10 ปี)
12 มหาอำมาตย์โท พลตรีเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต, เจ้าผู้ครองนครลำปาง พระองค์ที่ 12 2440 - 2465 (25 ปี)
13 เจ้าราชบุตร, เจ้าผู้ครองนครลำปาง องค์ที่ 13 2465 - 2468 (3 ปี) รั้งนคร
[แก้] เจ้าผู้ครองนครลำพูน (2348 - 2486)ลำดับ พระนาม ปีที่ครองราชย์
1 เจ้าหลวงเศรษฐีคำฝั้น, เจ้าผู้ครองนครลำพูน พระองค์ที่ 1 2348 - 2358 (10 ปี) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
2 พระเจ้าบุญมาเมือง, พระเจ้านครลำพูน พระองค์ที่ 2 2358 - 2370 (12 ปี)
3 เจ้าฟ้าหลวงน้อยอินทร์, เจ้าผู้ครองนครลำพูน พระองค์ที่ 3 2370 - 2380 (10 ปี)
4 เจ้าฟ้าหลวงคำตัน, เจ้าผู้ครองนครลำพูน พระองค์ที่ 4 2381 - 2384 (3 ปี)
5 เจ้าฟ้าหลวงธรรมลังกา, เจ้าผู้ครองนครลำพูน พระองค์ที่ 5 2384 - 2386 (2 ปี)
6 เจ้าหลวงไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ, เจ้าผู้ครองนครลำพูน พระองค์ที่ 6 2391 - 2414(23 ปี)
7 เจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์, เจ้าผู้ครองนครลำพูน พระองค์ที่ 7 2414 - 2431 (17 ปี)
8 เจ้าหลวงเหมพินธุ์ไพจิตร, เจ้าผู้ครองนครลำพูน พระองค์ที่ 8 2431 - 2438 (7 ปี)
9 เจ้าหลวงอินทยงยศโชติ, เจ้าผู้ครองนครลำพูน พระองค์ที่ 9 2438 - 2454 (16 ปี)
10 พลตรี มหาอำมาตย์โท เจ้าจักรคำขจรศักดิ์, เจ้าผู้ครองนครลำพูน พระองค์ที่ 10 2454 - 2486 (32 ปี)
ตราประทับตราประทับของเจ้าพ่อขุนอนุสารสุภกร วิรัตน์เกษม เป็นตราประทับประจำราชสกุล ณ ลำปาง ที่ได้สืบทอดจากเจ้าพ่อขุนอนุสารสุภกร วิรัตน์เกษม ซึ่งตราประทับทำด้วยงาช้าง เป็นตราประทับที่มีอายุ 100 กว่าปี และในตราประทับมีลักษณะเป็นรูปไก่ขาวยืนอยู่บนแท่น ห้อมล้อมด้วยบุปผาต่างๆ
พอดีผมเคยอบรมมัคคุเทศก์ภาคเหนือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่นที่ 5 ตั้งแต่สมัยหลายสิบปีมาแล้ว สมัยนั้นยังไม่มีข้อมูลละเอียดขนาดนี้เลยครับ แต่ขอบอกตรงๆว่าในข้อมูลของคุณนี้มีข้อสอบ ตอนสอบออกเพื่อเอาประกาศนียบัตร์น้ะครับ มีข้อสอบอยู่ในนี้สองสามข้อเลยครับ คนที่ไม่ได้อบรมไกด์ทางภาคเหนือจะไม่มีข้อมูลพวกนี้หรอก แต่ปัจจุบันนี้มีตำราขายอยู่ที่ ม.ช. และดีมากๆเลยหลายเล่มน้ะครับ อยากให้คุณเอ็มช่วยแจ้งชื่อตำราที่มาของประวัติศาสตร์ล้านนาสักสองสามเล่มอ้ะครับ ถึงผมจะอบรมไกด์จากทางภาคเหนือน้ะครับ แต่ผมเป็นคน กทม. และขึ้นๆลงเพื่อไปทำทัวร์ เผื่อว่างๆจะเข้าไปเดินดูห้างขายตำราที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ถ้าไม่รู้จักชื่อหนังสือก็จะหาไม่พบน้ะสิครับ ช่วยบอกชื่อตำราด้วยครับ อยากได้จริงๆ ผมว่าคุณเอ็มน่าจะเป็นมัคคุเทศก์อยู่ทางภาคเหนือใช่ไหมครับเพราะทราบเรื่องเกี่ยวกับล้านนาดีมากเลยน้ะครับ
ตอบลบ