ฟ้อน คือ การร่ายรำ, สาวไหม หมายถึง การดึงเส้นด้ายออกเป็นเส้น เพื่อนำไปทอเป็นเครื่องนุ่งห่มต่อไป คำว่า "ไหม" ในภาษาล้านนาหมายถึง เส้นด้าย เรียกด้ายสำหรับผูกข้อมือว่า "ด้ายไหมมือ" เรียกด้ายสำหรับเย็บผ้าว่า "ไหมหยิบผ้า" เรียกวัวที่มีสีขาวขุ่น คล้ายสีของด้ายดิบว่า "งัวไหม" กิจกรรมในวิถีชีวิตของชาวล้านนาส่วนใหญ่ผูกพันกับด้ายที่มาจากฝ้าย เพราะทำไร่ฝ้ายซึ่งเป็นพืชที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ มิได้มีอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเหมือนภาคอื่น ดังนั้น คำว่า สาวไหม จึงมิได้หมายถึง การสาวหรือดึงเส้นไหมที่เป็นเส้นใยของตัวไหมแต่ประการใด
ฟ้อนสาวไหม เป็นศิลปะการฟ้อนรำประเภทหนึ่งของชาวล้านนาที่มีพัฒนาการทางรูปแบบมาจากการเลียนแบบอากัปกิริยาการสาวไหม ผู้ฟ้อนที่เห็นส่วนใหญ่มักเป็นหญิงสาว ลีลาในการฟ้อนดูอ่อนช้อยและงดงามยิ่ง และลีลาอันน่าดูชมนี้เองเป็นผลมาจากมายาวิวัฒน์แห่งศิลปะการต่อสู้ของชายชาตรีในล้านนาประเทศตั้งแต่อดีต
ในบรรดาผู้ที่ฟ้อนเจิงเป็นทั้งหลาย น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักคำว่า "สาวไหม" ช่างฟ้อนเจิงหรือที่เรียกว่า "สล่าเจิง" ทราบกันดีว่า "สาวไหม" เป็นลายเจิง (ท่ารำ) ที่งดงาม มีความเข้มแข็งและอ่อนช้อยสลับกันไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยลีลาการหลอกล่อ รับและรุกอย่างเฉียบพลันเมื่อศัตรูชะล่าใจ
ปัจจุบันการฟ้อนสาวไหมที่เป็นลายเจิงยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยฟ้อนตอนสมัยหนุ่ม ๆ และมีการถ่ายทอดให้กับเยาวชนรุ่นใหม่บ้าง ในรูปแบบของ "ฟ้อนเจิง" เรียกว่า "เจิงสาวไหม"
ส่วนฟ้อนสาวไหมที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เป็นที่ทราบกันดีว่าต้นฉบับมาจากนางบัวเรียว รัตนมณีกรณ์ ช่างฟ้อนของวัดศรีทรายมูล ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวได้รับการปรับปรุง ดัดแปลงท่ารำจากเจิงสาวไหมที่บิดาคือ นายกุย สุภาวสิทธิ์ ถ่ายทอดให้จนพัฒนามาเป็นฟ้อนสาวไหมแบบฉบับของนาฏศิลป์ไทยปัจจุบัน
ฉะนั้นเราจึงสามารถแบ่งการฟ้อนสาวไหมออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. ฟ้อนสาวไหมแบบเก่าที่มีลีลาการต่อสู้ คือ เจิงสาวไหม
๒. ฟ้อนสาวไหมแบบนาฏศิลป์ ที่ได้รับการพัฒนาให้มีลีลาอ่อนช้อย นิ่มนวล
๑. การฟ้อนสาวไหมแบบเก่ามีมาแต่โบราณ ไม่มีหลักฐานปรากฏว่ามีเมื่อสมัยใด แต่คนที่ฟ้อนได้ยังมีชีวิตอยู่หลายคน เช่น
- นายคำ พรหมวงค์
๖๑ หมู่ ๗ ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
- นายกัญไชย กรมธนา
๗๒ หมู่ ๑ ตำบลนาปัง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน
- นายใจ๋ ต่อคำน้อย
๑๒๕ หมู่ ๔ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
ดนตรีที่ใช้ประกอบปัจจุบันฟ้อนได้กับดนตรีพื้นเมืองหลายชนิด เช่น วงสะล้อ - ซึง เต่งถิ้ง อุเจ่ มองเซิง สิ้งหม้อง เพลงประกอบเฉพาะวงสะล้อ - ซึงและเต่งถิ้ง เป็นเพลงบรรเลงพื้นเมือง เช่น ปราสาทไหว ฤาษีหลงถ้ำ แหย่ง แต่ในสมัยโบราณจากการสัมภาษณ์ผู้เคยเห็น พบว่าใช้เครื่องดนตรีอยู่สองประเภทคือ วงเต่งถิ้ง และวงตึ่งนง วงเต่งถิ้งนั้นใช้บรรเลงประกอบการฟ้อนสาวไหมโดยทั่วไป เพลงที่ใช้ก็เพลงพื้นเมือง เช่น ปราสาทไหว ฤาษีหลงถ้ำ แหย่ง ที่แน่นอนเพลงที่ใช้บรรเลงเป็นหลักจริง ๆ คือ "เพลงสาวไหม" และวงตึ่งนงที่ใช้แน บรรเลงก็ใช้เพลงสาวไหมนี้เช่นกัน
๒. การฟ้อนสาวไหมแบบนาฏศิลป์ ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าเป็นการฟ้อนที่ได้รับการปรับปรุง และดัดแปลงจากเจิงสาวไหมของนายกุย สุภาวสิทธิ์ และต่อไปนี้จะกล่าวถึงความเป็นมาพอสังเขป เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเชิงนัยประวัติต่อไป
จากการศึกษาถึงความเป็นมาของฟ้อนสาวไหมที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน ซึ่งผู้เขียนได้เคยกล่าวข้างต้นบ้างแล้วว่าเป็นฟ้อนที่ได้รับการปรับปรุง และดัดแปลงจากเจิงสาวไหมของนายกุย สุภาวสิทธิ์ และเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเชิงนัยประวัติ จะนำเอาเรื่องราวจากการศึกษามาเสนอพอสังเขปดังนี้
เมื่อประมาณ ๘๐ ปีที่ผ่านมา ศิลปะการป้องกันตัวที่เรียกว่า "เจิง" แบบล้านนาไม่วาจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือมีอาวุธเช่น ดาบ ไม้ค้อน (พลอง) ยังเป็นที่นิยมกันอยู่ ชายชาตรียังคงเสาะแสวงหาครูอาจารย์ที่มีฝีมือดีเพื่อรับการถ่ายทอดไว้เป็นวิชาติดตัว ที่หมู่บ้านร้องวัวแดง ตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ มีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งมีฝีมือในเชิงต่อสู้เป็นที่เลื่องลือ ชายผู้นั้นคือนายปวน คำมาแดง หลังจากลาสิกขาจากการบวชเป็นสามเณรแล้ว ด้วยความสนใจจึงได้ตระเวนศึกษาวิชาการต่อสู้จากครูอาจารย์หลายสำนัก ทั้งที่เป็นศิลปะลายเมือง (ล้านนา) ลายแข่ (จีน) ลายห้อ (จีนฮ่อ) ลายเงี้ยว (ไทยใหญ่) และลายยางแดง (กะเหรี่ยง) จนเชี่ยวชาญหาตัวจับได้ยาก จนได้รับฉายาว่า "ปวนเจิง"
อาชีพหลักของนายปวน คือทำนา ฐานะค่อนข้างจะยากจน หลังจากฤดูทำนาได้ออกหารายได้พิเศษ ออกไปสอนลายเจิงไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ โดยมีเพียง "ผ้าป๊กกับจ้อง" (ผ้าห่อเสื้อผ้าและร่ม) และดาบคู่มือ 1 เล่มติดตัวไป ถึงหมู่บ้านไหนก็สอบถามดูความประสงค์ว่าจะมีคนเรียนมากพอหรือไม่ ถ้ามีจำนวนพอสอนได้ ก็ตั้งสำนักชั่วคราวสอน โดยส่วนใหญ่จะใช้สถานที่สงัด เช่น วัด ป่าช้า สำหรับค่าสอนจะคิดเป็นเงินตามที่ตกลงกันว่าจะเรียนมากหรือน้อย หากใครไม่มีเงินก็ขอเป็นข้าวสาร ข้าวสารที่ได้ก็นำไปขายเป็นเงินอีกทีหนึ่ง
เงินค่าสอนที่สะสมตามจุดสอนต่าง ๆ ได้นำไปซื้อวัวกลับบ้าน การออกตระเวณสอนบางครั้งใช้ระยะเวลาเป็นแรมเดือน กลับบ้านครั้งหนึ่งก็ได้วัวกลับไปด้วยครั้งละ ๒ - ๓ ตัว
อาณาเขตที่เดินทางไปสอนขยายวงกว้างไปเรื่อย ๆ จำนวนศิษย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น ทุกคนเรียกด้วยความเคารพยกย่องว่า "พ่อครูปวน" เมื่อชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ก็เลิกอาชีพทำนาและยึดอาชีพเป็นพ่อครูสอนเจิงอย่างเดียว
หมู่บ้านแม่คือ ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านที่พ่อครูปวนได้มีโอกาสไปสอนศิษย์ ที่หมู่บ้านนี้มีผู้สมัครเป็นศิษย์ประมาณ ๑๐ คน และหนึ่งในจำนวนนั้นมี นายกุย สุภาวสิทธิ์ ด้วย
หลังจากได้รับการถ่ายทอดชั้นเชิงต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงฟ้อนเชิงสาวไหมด้วย นายกุยก็อพยพไปอยู่บ้านศรีทรายมูล จังหวัดเชียงราย และได้ถ่ายทอดให้แก่ผู้ที่สนใจอีกเป็นจำนวนมาก จนได้รับการยกย่องเป็น "พ่อครูกุย" ในเวลาต่อมา
ถึงตอนนี้ขอวกกลับไปที่บ้านแม่คืออีกครั้ง หลังจากที่พ่อครูปวนได้ถ่ายทอดแก่ศิษย์รุ่นแรกที่นั่นแล้ว ต่อมามีคนขอร้องให้ไปสอนอีก
ซึ่งพ่อครูก็มิได้ขัดข้องพ่อครูปวนขณะนั้นอายุ ๘๐ ปี ผู้ได้รับการถ่ายทอดมีประมาณ ๗ คน และหนึ่งในจำนวนนั้น คือ นายคำสุข ช่างสาร (หล้า) ผู้เขียนในฐานะเป็นศิษย์จึงขอใช้คำว่า "พ่อครู" นำหน้าชื่อด้วยความเคารพ
บทสรุปตอนนี้คือ ทั้งพ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์ และ พ่อครูคำสุข ช่างสาร ต่างก็เป็นศิษย์ของพ่อครูปวน คำมาแดง โดยพ่อครูกุย เป็น "ศิษย์ผู้พี่" พ่อครูคำสุข เป็น "ศิษย์ผู้น้อง"
สำหรับหลักฐานที่สนับสนุนบทสรุปนี้ ได้แก่
- คำเรียกคูร
- ขุมเชิง (ผังการเดินเท้า)
- แม่ลาย (ท่ารำ) โดยเฉพาะแม่ลายฟ้อนเจิงสาวไหม
พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์ และพ่อครูคำสุข ช่างสาร เป็นศิษย์ของพ่อครูปวน คำมาแดง โดยพ่อครูกุยเป็น "ศิษย์ผู้พี่" พ่อครูคำสุข เป็น "ศิษย์ผู้น้อง" หลักฐานที่สนับสนุนสรุปนี้ คือ
- คำเรียกครู
- ขุมเจิง (ผังการเดินเท้า)
- แม่ลาย (ท่ารำ) โดยเฉพาะแม่ลายฟ้อนเจิงสาวไหม
ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะหลักฐานดังกล่าวมีความสัมพันธ์กัน ด้านความเหมือนและคล้ายคลึง
คำเรียกครู
คำเรียกครูหรือบทเรียกครูเมื่อตรวจสอบจาก
๑. เอกสารประเภทพับสาเขียนด้วยอักษรธรรมล้านนาของนายปุก สุรวงศ์ (เสียชีวิต) ซึ่งเป็นศิษย์คนหนึ่งของพ่อครูปวน
๒. เอกสารบันทึกของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์
๓. ประสบการณ์ตรงของผู้เขียน หลังได้รับการถ่ายทอดวิชาจากพ่อครูคำสุข
เมื่อเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าค่อนข้างจะตรงกันในที่นี้จะขอนำเอาตัวอย่างบางส่วนมาแสดงประกอบดังนี้
คำเรียกครูต้นฉบับพับสา
คำเรียกครูนี้ปรากฏในเอกสารโบราณประเภทพับสา เดิมเป็นของนายปุก สุรวงศ์ เมื่อนายปุกเสียชีวิต บุตรชายคือ นายคำคง สุรวงศ์ เก็บรักษาไว้ ต่อมาผู้เขียนได้ฝากตัวเป็นศิษย์นายคำคง จึงได้รับการถ่ายทอดและขอนุญาตถ่ายเอกสารจากต้นฉบับไว้จากตัวอย่างปริวรรตเป็นอักษรไทยภาคกลางว่า "โอมพระกุมภ์ พระกัณฑ์ พระจิตพระจอด พระนารอทหื้อแก่กู พระพิสนู (พิษณุ) หื้อแก่กู มากินเหล้าแพ่งหนา มากินสุราแพ่งหน้อย ทังพ่อหมอหลวง มาปลงไว้หื้อแก่กู โอมทรงทรงกูเฮย โอมสามสิบพ่อหมอกูเป็นเคล้า เก้าสิบพ่อหมอเถ้าก็มาเป็นครูกู มีทังเชิงชายลายฅ้อนแลหอกดาบ หน้าไม้ปราบปืนไฟ ครูกูหื้อแก่กู โอมทรงทรงหื้อแก่กูไว"
คำเรียกครูจากเอกสารบันทึกของนางบัวเรียว
คำเรียกครูนี้ เดิมปรากฏในเอกสารประเภทพับสาของพ่อครูกุย เมื่อพ่อครูกุยเสียชีวิต น้องชายคือ นายใหม่ สุภาวสิทธิ์ เก็บรักษาไว้ ต่อมานางบัวเรียวได้ขอร้องให้นายใหม่อ่านให้ฟัง แล้วบันทึกเป็นอักษรไทยภาคกลาง ส่วนต้นฉบับเดิมได้สูญหายไปหลังจากที่นายใหม่เสียชีวิต
คำเรียกครูของพ่อครูคำสุข
คำเรียกครูของ ผู้เขียนที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อครูคำสุข เหมือนกันกับฉบับของนายปุกทุกประการ เพียงแต่เพิ่มบทสุดท้าย ที่มีส่วนคล้ายคลึงกับของนางบัวเรียวซึ่งสามารถปริวรรตเป็นภาษาไทยกลางคือ "หมอเฮย หมอเฮย ลงแท้ลงท่า ลงมาสอนตูข้า ค่าปั่นมนสนฅ้อน คูพ่าคูล่า ทังเหนอโห เส็งโขโมลั่น เพิงพ่อโมอ่อนย่อง หมอหลงหงฮ่าง หมู่แสนทางปิ้นอย่า พระเพ็งกำผา เมิงมัง เหกอังอ้อ ฟั่งฮ้างวังต่อได้ทังเพ็ง เพิงในเจ ๆ ช้อย เมนางไฮ่ว่า เข่วเอาไม้ปวยชว่า ปวยฅิงฅบพ่ายว่าย แท้เฮาเฮยหมอเฮย"
กล่าวมาถึงเฉพาะคำเรียกครูที่เป็นหลักฐานเบื้องต้น
เจิง" และ "แม่ลาย"
กล่าวถึงหลักฐานที่สนับสนุนข้อสรุปว่า พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์(บิดาของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์) และพ่อครูคำสุข ช่างสาร เป็นศิษย์ของพ่อครูปาน คำมาแดง นั้น ผู้เขียนได้นำเอา "คำเรียกครู" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทไหว้ครูมาเปรียบเทียบให้ดู
คำว่า "ขุม" หมายถึงหลุม "เจิง" คือชั้นเชิง คนโบราณเวลาถ่ายทอดชั้นเชิงการต่อสู้ จะขุดหน้าดินให้เป็นหลุมลึกพอให้เห็น เพื่อกำหนดจุดหรือตำแหน่งการวางเท้า และเมื่อจะย้ายเท้าให้มีชั้นเชิง ก็ต้องเพิ่มจำนวนขุมให้มากขึ้น ขุมที่มากขึ้นจะมีหลักกำหนดในการย้ายเท้าตามตำรา จึงเกิดผังการเดินเท้า เรียกว่า "ขุมเจิง" การย่างย้ายเท้าต้องถูกต้องทั้งเชิงรุก เชิงรับและเชิงถอย อีกทั้งต้องกะระยะจังหวะการเหยาะย่างให้ถูกกระบวนยุทธ ที่เรียกว่า "ย่างขุม" การได้ฝึกฝนให้เกิดทักษในการย่างขุม จะทำให้เกิดลักษณาการที่สง่างามในเชิง ยุทธลีลา ขุมเจิงที่พ่อครูทั้งสามใช้เป็นประจำมี ๓ ขุมเจิงได้ขุมสิบสอง ขุมสิบหกและขุมสิบเจ็ด
จากการที่ผู้เขียนได้ศึกษาเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ จากนายคำคง สุระวงศ์ (บุตรของนายปุก สุรวงศ์ ซึ่งเป็นศิษย์พ่อครูปวน) พ่อครูคำสุข ช่างสารและนางบัวเรียว รัตน-มณีภรณ์ ปรากฏว่าใช้หลักการตรงกัน แสดงว่ามาจากครูเดียวกัน
สำหรับแม่ลายนั้น เป็นสิ่งสำคัญควบคู่กับขุมเจิง กล่าวคือขุมเจิงเป็นทฤษฎีของการเดินเท้า ส่วนแม่ลายจะเป็นทฤษฎีของการเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนบน โดยเฉพาะลำแขนและมือ คำว่า "แม่" คือ แบบฉบับ "ลาย" คือลวดลายหรือลีลา (ชาวไทใหญ่เรียกการฟ้อนเจิงด้วยมือเปล่าว่า "ก้าลาย" ก้า หมายถึง ฟ้อน ลาย คือลวดลายหรือชั้นเชิง) แม่ลาย หมายถึง แบบฉบับของศิลปะ ใช้กับศิลปการฟ้อนเจิงโดยเฉพาะ และถ้าจะอนุมานเข้ากับภาษาไทยภาคกลางก็น่าจะหมายถึง "ท่ารำ"
แม่ลายของการฟ้อนเจิงสาวไหมที่มีส่วนคล้ายคลึงกันมากมี ๒ ฉบับ คือของพ่อครูกุยและของพ่อครูคำสุข ในที่นี้จะยกตัวอย่างที่เป็นลายมือของพ่อครูกุย เขียนด้วยอักษรล้านนา สามารถปริวรรตเป็นอักษรไทยกลาง ได้ว่า สางฟ้อน ยกขาซ้ายเข้าจิ ลางซ้าย ควักตาตีนซ้ายหงายอ้งทั่งออก ตบมือตบขนาบ กำสามติดหน้าผาก ฅิดก้อยลวาดตีนผม ปัดสันขาไว้แอว หย่อนซ้ายลงทืบพึด (อ่านตื้บปึ๊ด) ตบมืออุ่มอก ยกขาซ้ายผัด ไสเข้าตาศอก แป็บขาซ้ายย่ำลง ปัดสันขาไว้แอว ตบพึด ผายมือขึ้นทวยกันจื้ด ๆ ตบพึด ตบมืออุ่มอก ตีตาตีนซ้ายย่ำออกไป เหลียวซ้าย ยกขาขวา ไล่สันขาตาตีน ตบมือฮูดเข้าหาศอก ตีสันขาซ้ายแป็บ ๆ กำสามติดหน้าผาก ฅิดก้อยลวาดตีนผม ปัดสันขาไว้แอว ย่อตัวนั่งลง ยกขาขวาสันขาตาตีน ย่ำ…
ส่วนแม่ลายของพ่อครูคำสุข ที่ผู้เขียนได้รับการถ่ายทอด ขอยกตัวอย่างมาประกอบ ซึ่งปริวรรตเป็นอักษรกลาง ได้ว่า ตีนซ้ายเข้าจิ หยุด ลางซ้าย คัวดตาตีนซ้ายหงายอ้งทั่งออก ตบมือตบขนาบ ตีมะผาบวิดขึ้นฟ้อนยกขาขวา สันขาตาตีน ตบมือฮูดเข้าหาตาศอก ขาซ้ายไปแป็บ ปัดสันขาไว้แอว…
แม่ลายดังกล่าวเป็นลวดลายหรือท่วงท่าที่จะต้องสัมพันธ์กับขุมเจิงที่กล่าวถึงตอนต้น การที่จะออกลีลาในแง่นาฏศิลป์จะต้องศึกษาเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจนเกิดทักษะจนสามารถนำเสนอในเชิงศิลปะได้อย่างงดงาม และที่สำคัญการฟ้อนเจิงสาวไหมที่สง่างามนั้น มีข้อยืนยันที่อ้างมาว่า เป็นต้นแบบหรือที่มาของฟ้อนสาวไหมในปัจจุบัน
เรื่องราวของฟ้อนสาวไหมได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เห็นถึงที่มาว่ามาจากการฟ้อนเจิง และเพื่อให้เห็นชัดยิ่งขึ้นจะกล่าวถึงพัฒนาการซึ่งเป็นจุดต่อที่สำคัญ โดยจะย้อนไปที่พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์ย้ายที่อยู่จากเชียงใหม่ไปอยู่บ้านศรีทรายมูล จังหวัดเชียงราย และได้ตั้งรกรากอยู่ที่เชียงรายตลอดชีวิต
พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์ เป็นครูสอนฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง นอกจากจะสอนให้ศิษย์แล้วก็ได้สอนให้กับบุตรสาวคนสุดท้อง คือนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ซึ่งเริ่มฝึกฟ้อนเมื่ออายุ ๗ ขวบ เพลงที่ใช้ประกอบนั้นไม่แน่นอน เพราะฟ้อนกับวงดนตรีพื้นเมืองได้เกือบทุกเพลง โดยส่วนใหญ่ฟ้อนกับกลองสิ้งหม้อง ซึ่งเป็นกลองที่มีจังหวะง่าย ๆ ธรรมดา และมีอยู่ทั่วไป
ต่อมามีนักดนตรีและนาฏศิลป์ไทยชั้นครูอพยพจากเชียงใหม่ ไปอาศัยอยู่วัดศรีทรายมูล ชื่อนายโม ใจสม นายโมเดิมเป็นชาวมอญจากอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อมาอยู่ที่วัดศรีทรายมูล ก็ได้ช่วยฟื้นฟูดนตรีพื้นเมืองของวัด คือ "วงเต่งถิ้ง" ขึ้นใหม่โดยสอนคณะศรัทธาของวัด จนมีนักดนตรีฝีมือดีหลายคนขณะเดียวกันก็ได้สอนนาฏศิลป์ไทยด้วย
นางบัวเรียวได้มีโอกาสฝึกนาฏศิลป์กับนายโมด้วย เวลามีงานวัดที่ไหน ๆ เจ้าอาวาสและคณะศรัทธาวัดมักจะนำวงดนตรีพื้นเมืองและช่างฟ้อนไปช่วย นางบัวเรียวก็ได้ไปร่วมฟ้อนด้วยเช่นกัน และฟ้อนสาวไหมเป็นฟ้อนที่ถนัดอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นการฟ้อนที่ได้รับความนิยมมาก จึงมักจะได้ฟ้อนสาวไหมเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นฟ้อนสาวไหมจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปใน ๒ ลักษณะ คือ "ลีลา" และ "เพลงประกอบ"
โดยปกตินางบัวเรียว มีความสามารถในการปรับตัว โดยเฉพาะทางนาฏศิลป์และดนตรี ช่วงนี้จึงได้ดัดแปลงท่าฟ้อนให้ลีลาในการฟ้อนเหมาะสมกับบุคลิกของสุภาพสตรีคือ อ่อนช้อย งดงามและลงจังหวะดนตรีแบบนาฏศิลป์ไทย และในขณะเดียวกันดนตรีประกอบซึ่งแต่เดิมใช้ดนตรีพื้นเมืองประเภทไหนก็ได้ ก็เริ่มใช้วงเต่งถิ้งบรรเลงเพลงพื้นเมือง เช่นปราสาทไหว ฤาษีหลงถ้ำ ต่อมาเห็นว่าเพลงเหล่านั้นจังหวะช้าไม่กระชับ จึงใช้เพลงที่เรียกว่า "เพลงสาวไหม" ซึ่งเพลงนี้ผู้รู้บางท่านว่าคือ "เพลงลาวสมเด็จ" แต่บางท่านก็ว่าเป็นเพลงแต่งใหม่โดยนายโม เพื่อประกอบการฟ้อนสาวไหม โดยดัดแปลงจากเพลงลาวสมเด็จอีกทีหนึ่ง
การที่วัดศรีทรายมูลนำวงดนตรีและช่างฟ้อนไปช่วยงานวัดต่าง ๆ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องตามโอกาสและเทศกาลงานบุญของวัดนั้น ๆ ครั้งหนึ่งราวปี พ.ศ. ๒๕๐๓ วัดศรีทรายมูลได้ไปช่วยงานวัดถ้ำปุ่มถ้ำปลา อำเภอแม่สาย จ.เชียงราย นายอินหล่อ สรรพศรี นักดนตรีไทยชั้นครูของเชียงราย ได้ชมการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวจึงเกิดความประทับใจ แล้วเก็บไว้ในใจเนื่องจากไม่มีโอกาสทำความรู้จัก
ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๗ นายอินหล่อ ได้มีโอกาสชมอีกครั้งหนึ่งที่วัดพระแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เห็นว่ามีลีลาอ่อนช้อยนิ่มนวลละมุนละไม จึงได้ทำความรู้จักกับนางบัวเรียวและเชิญให้ไปพบภรรยาของนายอินหล่อ คือนางพลอยสี สรรพศรี ซึ่งเป็นช่างฟ้อนและผู้เล่นละครเก่าจากคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี
จากการได้พบกับนางพลอยสี นาฎการชั้นครูของเชียงราย การฟ้อนสาวไหมก็ได้รับการบูรณะท่าทางในการฟ้อนอีกครั้งหนึ่ง โดยนางพลอยศรีขอให้ฟ้อนให้ดูและขออนุญาตติชมพร้อมทั้งออกความคิดเห็นและช่วยกันปรับปรุงเสริมเติมส่วนที่ยังบกพร่องให้สมบูรณ์ขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของนาฎจริต
ดังที่กล่าวมาแต่ต้นในช่วงระยะเวลาประมาณ ๕๐ ปีที่ผ่านมา การฟ้อนสาวไหมมีความเป็นมาที่สรุปได้โดยสังเขปและอาจเขียนเป็นแผนภูมิโดยจะเลือกเอาบุคคลผู้เกี่ยวข้องที่ผู้เขียนกล่าวถึงได้ ดังนี้
การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งมีความเป็นไปเป็นของธรรมดา ในช่วงระยะ ๕๐ ปีนั้น ๒๐ ปีแรกการเปลี่ยนแปลงอาจมีไม่มาก แต่ระยะ ๓๐ ปีให้หลัง การฟ้อนสาวไหมเผยแพร่ขยายวงกว้างจนไปสู่ระดับชาติความแตกต่างของลีลาท่ารำย่อมมีมากขึ้น และในความแตกต่างนี้เองก็เริ่มเกิดความไข้วเขวด้านนัยประวัติท่ารำ รวมไปถึงเพลงประกอบด้วย
อย่างไรก็ตามหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปรับแต่งให้เหมาะสมก็คงไม่มีฟ้อนสาวไหมแบบที่เห็นให้ชม จนเป็นที่เชิดชูด้านศิลปวัฒนธรรมของล้านนาในยุคปัจจุบัน เพราะถ้าหากจะให้สตรีผู้มีบุคลิกนิ่มนวลชดช้อยไปฟ้อนในท่าทางรวดเร็ว หลอกล่อ และคึกคะนองแบบเชิงสาวไหมก็คงไม่น่าดูเท่าไรนัก
สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้างคือ ควรมีการศึกษาอย่างเป็นวิชาการโดยศึกษาทั้งความเป็นมาและความเป็นไป แยกแยะให้ออกว่าอะไรเก่าอะไรใหม่ อะไรมีอยู่ก่อนแล้ว อะไรเพิ่มเติมมาภายหลัง
โชคดีที่ยังมีแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาหลงเหลืออยู่ท่ารำของพ่อครูกุยยังมีให้เห็นอยู่ ซึ่งดูได้จากศิษย์ของ พ่อครูคำสุข ท่ารำที่ถูกดัดแปลงมาระดับหนึ่งดูได้จากแม่ครูบัวเรียวหรือทายาท และท่ารำที่กรมศิลปากรเข้าไปมีอิทธิพลก็ดูได้ที่วิทยาลัยนาฎศิลปะเชียงใหม่
ถ้าไม่มีอดีตก็ไม่มีปัจจุบัน และหากไม่มีปัจจุบันก็ไม่มีอนาคตเช่นกัน แม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ นับเป็นบุคคลสำคัญที่น่ายกย่อง ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อม อดีตกับปัจจุบันอย่างแนบเนียน โดยการนำเอาศิลปะการฟ้อนในชั้นเชิงของชายมาประยุกต์ดัดแปลงเป็นศิลปะการฟ้อนรำของสตรีผู้มีธรรมชาติอ่อนหวานและบุคคลที่ควรสรรเสริญได้แก่นาฏกรทุกท่านที่มีส่วนสร้างสรรค์ฟ้อนสาวไหมให้มีความงดงามประณีตบรรจงได้อย่างน่าชื่นชม จนกลายเป็นมรดกอันล้ำคค่ของชาติในปัจจุบัน.
ขอขอบคุณ อาจารย์ สนั่น ธรรมธิ
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ภาพประกอบโดยพิชัย แสงบุญและเสาวณีย์ คำวงค์ )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น