จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟ้อนสาวไหม

ฟ้อน คือ การร่ายรำ, สาวไหม หมายถึง การดึงเส้นด้ายออกเป็นเส้น เพื่อนำไปทอเป็นเครื่องนุ่งห่มต่อไป คำว่า "ไหม" ในภาษาล้านนาหมายถึง เส้นด้าย เรียกด้ายสำหรับผูกข้อมือว่า "ด้ายไหมมือ" เรียกด้ายสำหรับเย็บผ้าว่า "ไหมหยิบผ้า" เรียกวัวที่มีสีขาวขุ่น คล้ายสีของด้ายดิบว่า "งัวไหม" กิจกรรมในวิถีชีวิตของชาวล้านนาส่วนใหญ่ผูกพันกับด้ายที่มาจากฝ้าย เพราะทำไร่ฝ้ายซึ่งเป็นพืชที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ มิได้มีอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเหมือนภาคอื่น ดังนั้น คำว่า สาวไหม จึงมิได้หมายถึง การสาวหรือดึงเส้นไหมที่เป็นเส้นใยของตัวไหมแต่ประการใด



ฟ้อนสาวไหม เป็นศิลปะการฟ้อนรำประเภทหนึ่งของชาวล้านนาที่มีพัฒนาการทางรูปแบบมาจากการเลียนแบบอากัปกิริยาการสาวไหม ผู้ฟ้อนที่เห็นส่วนใหญ่มักเป็นหญิงสาว ลีลาในการฟ้อนดูอ่อนช้อยและงดงามยิ่ง และลีลาอันน่าดูชมนี้เองเป็นผลมาจากมายาวิวัฒน์แห่งศิลปะการต่อสู้ของชายชาตรีในล้านนาประเทศตั้งแต่อดีต


ในบรรดาผู้ที่ฟ้อนเจิงเป็นทั้งหลาย น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักคำว่า "สาวไหม" ช่างฟ้อนเจิงหรือที่เรียกว่า "สล่าเจิง" ทราบกันดีว่า "สาวไหม" เป็นลายเจิง (ท่ารำ) ที่งดงาม มีความเข้มแข็งและอ่อนช้อยสลับกันไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยลีลาการหลอกล่อ รับและรุกอย่างเฉียบพลันเมื่อศัตรูชะล่าใจ


ปัจจุบันการฟ้อนสาวไหมที่เป็นลายเจิงยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยฟ้อนตอนสมัยหนุ่ม ๆ และมีการถ่ายทอดให้กับเยาวชนรุ่นใหม่บ้าง ในรูปแบบของ "ฟ้อนเจิง" เรียกว่า "เจิงสาวไหม"

ส่วนฟ้อนสาวไหมที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เป็นที่ทราบกันดีว่าต้นฉบับมาจากนางบัวเรียว รัตนมณีกรณ์ ช่างฟ้อนของวัดศรีทรายมูล ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวได้รับการปรับปรุง ดัดแปลงท่ารำจากเจิงสาวไหมที่บิดาคือ นายกุย สุภาวสิทธิ์ ถ่ายทอดให้จนพัฒนามาเป็นฟ้อนสาวไหมแบบฉบับของนาฏศิลป์ไทยปัจจุบัน


ฉะนั้นเราจึงสามารถแบ่งการฟ้อนสาวไหมออกเป็น ๒ ประเภท คือ

๑. ฟ้อนสาวไหมแบบเก่าที่มีลีลาการต่อสู้ คือ เจิงสาวไหม

๒. ฟ้อนสาวไหมแบบนาฏศิลป์ ที่ได้รับการพัฒนาให้มีลีลาอ่อนช้อย นิ่มนวล

๑. การฟ้อนสาวไหมแบบเก่ามีมาแต่โบราณ ไม่มีหลักฐานปรากฏว่ามีเมื่อสมัยใด แต่คนที่ฟ้อนได้ยังมีชีวิตอยู่หลายคน เช่น

- นายคำ พรหมวงค์

๖๑ หมู่ ๗ ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

- นายกัญไชย กรมธนา

๗๒ หมู่ ๑ ตำบลนาปัง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน

- นายใจ๋ ต่อคำน้อย

๑๒๕ หมู่ ๔ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่


ดนตรีที่ใช้ประกอบปัจจุบันฟ้อนได้กับดนตรีพื้นเมืองหลายชนิด เช่น วงสะล้อ - ซึง เต่งถิ้ง อุเจ่ มองเซิง สิ้งหม้อง เพลงประกอบเฉพาะวงสะล้อ - ซึงและเต่งถิ้ง เป็นเพลงบรรเลงพื้นเมือง เช่น ปราสาทไหว ฤาษีหลงถ้ำ แหย่ง แต่ในสมัยโบราณจากการสัมภาษณ์ผู้เคยเห็น พบว่าใช้เครื่องดนตรีอยู่สองประเภทคือ วงเต่งถิ้ง และวงตึ่งนง วงเต่งถิ้งนั้นใช้บรรเลงประกอบการฟ้อนสาวไหมโดยทั่วไป เพลงที่ใช้ก็เพลงพื้นเมือง เช่น ปราสาทไหว ฤาษีหลงถ้ำ แหย่ง ที่แน่นอนเพลงที่ใช้บรรเลงเป็นหลักจริง ๆ คือ "เพลงสาวไหม" และวงตึ่งนงที่ใช้แน บรรเลงก็ใช้เพลงสาวไหมนี้เช่นกัน



๒. การฟ้อนสาวไหมแบบนาฏศิลป์ ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าเป็นการฟ้อนที่ได้รับการปรับปรุง และดัดแปลงจากเจิงสาวไหมของนายกุย สุภาวสิทธิ์ และต่อไปนี้จะกล่าวถึงความเป็นมาพอสังเขป เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเชิงนัยประวัติต่อไป
จากการศึกษาถึงความเป็นมาของฟ้อนสาวไหมที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน ซึ่งผู้เขียนได้เคยกล่าวข้างต้นบ้างแล้วว่าเป็นฟ้อนที่ได้รับการปรับปรุง และดัดแปลงจากเจิงสาวไหมของนายกุย สุภาวสิทธิ์ และเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเชิงนัยประวัติ จะนำเอาเรื่องราวจากการศึกษามาเสนอพอสังเขปดังนี้



เมื่อประมาณ ๘๐ ปีที่ผ่านมา ศิลปะการป้องกันตัวที่เรียกว่า "เจิง" แบบล้านนาไม่วาจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือมีอาวุธเช่น ดาบ ไม้ค้อน (พลอง) ยังเป็นที่นิยมกันอยู่ ชายชาตรียังคงเสาะแสวงหาครูอาจารย์ที่มีฝีมือดีเพื่อรับการถ่ายทอดไว้เป็นวิชาติดตัว ที่หมู่บ้านร้องวัวแดง ตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ มีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งมีฝีมือในเชิงต่อสู้เป็นที่เลื่องลือ ชายผู้นั้นคือนายปวน คำมาแดง หลังจากลาสิกขาจากการบวชเป็นสามเณรแล้ว ด้วยความสนใจจึงได้ตระเวนศึกษาวิชาการต่อสู้จากครูอาจารย์หลายสำนัก ทั้งที่เป็นศิลปะลายเมือง (ล้านนา) ลายแข่ (จีน) ลายห้อ (จีนฮ่อ) ลายเงี้ยว (ไทยใหญ่) และลายยางแดง (กะเหรี่ยง) จนเชี่ยวชาญหาตัวจับได้ยาก จนได้รับฉายาว่า "ปวนเจิง"


อาชีพหลักของนายปวน คือทำนา ฐานะค่อนข้างจะยากจน หลังจากฤดูทำนาได้ออกหารายได้พิเศษ ออกไปสอนลายเจิงไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ โดยมีเพียง "ผ้าป๊กกับจ้อง" (ผ้าห่อเสื้อผ้าและร่ม) และดาบคู่มือ 1 เล่มติดตัวไป ถึงหมู่บ้านไหนก็สอบถามดูความประสงค์ว่าจะมีคนเรียนมากพอหรือไม่ ถ้ามีจำนวนพอสอนได้ ก็ตั้งสำนักชั่วคราวสอน โดยส่วนใหญ่จะใช้สถานที่สงัด เช่น วัด ป่าช้า สำหรับค่าสอนจะคิดเป็นเงินตามที่ตกลงกันว่าจะเรียนมากหรือน้อย หากใครไม่มีเงินก็ขอเป็นข้าวสาร ข้าวสารที่ได้ก็นำไปขายเป็นเงินอีกทีหนึ่ง


เงินค่าสอนที่สะสมตามจุดสอนต่าง ๆ ได้นำไปซื้อวัวกลับบ้าน การออกตระเวณสอนบางครั้งใช้ระยะเวลาเป็นแรมเดือน กลับบ้านครั้งหนึ่งก็ได้วัวกลับไปด้วยครั้งละ ๒ - ๓ ตัว


อาณาเขตที่เดินทางไปสอนขยายวงกว้างไปเรื่อย ๆ จำนวนศิษย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น ทุกคนเรียกด้วยความเคารพยกย่องว่า "พ่อครูปวน" เมื่อชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ก็เลิกอาชีพทำนาและยึดอาชีพเป็นพ่อครูสอนเจิงอย่างเดียว


หมู่บ้านแม่คือ ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านที่พ่อครูปวนได้มีโอกาสไปสอนศิษย์ ที่หมู่บ้านนี้มีผู้สมัครเป็นศิษย์ประมาณ ๑๐ คน และหนึ่งในจำนวนนั้นมี นายกุย สุภาวสิทธิ์ ด้วย


หลังจากได้รับการถ่ายทอดชั้นเชิงต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงฟ้อนเชิงสาวไหมด้วย นายกุยก็อพยพไปอยู่บ้านศรีทรายมูล จังหวัดเชียงราย และได้ถ่ายทอดให้แก่ผู้ที่สนใจอีกเป็นจำนวนมาก จนได้รับการยกย่องเป็น "พ่อครูกุย" ในเวลาต่อมา


ถึงตอนนี้ขอวกกลับไปที่บ้านแม่คืออีกครั้ง หลังจากที่พ่อครูปวนได้ถ่ายทอดแก่ศิษย์รุ่นแรกที่นั่นแล้ว ต่อมามีคนขอร้องให้ไปสอนอีก


ซึ่งพ่อครูก็มิได้ขัดข้องพ่อครูปวนขณะนั้นอายุ ๘๐ ปี ผู้ได้รับการถ่ายทอดมีประมาณ ๗ คน และหนึ่งในจำนวนนั้น คือ นายคำสุข ช่างสาร (หล้า) ผู้เขียนในฐานะเป็นศิษย์จึงขอใช้คำว่า "พ่อครู" นำหน้าชื่อด้วยความเคารพ


บทสรุปตอนนี้คือ ทั้งพ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์ และ พ่อครูคำสุข ช่างสาร ต่างก็เป็นศิษย์ของพ่อครูปวน คำมาแดง โดยพ่อครูกุย เป็น "ศิษย์ผู้พี่" พ่อครูคำสุข เป็น "ศิษย์ผู้น้อง"

สำหรับหลักฐานที่สนับสนุนบทสรุปนี้ ได้แก่

- คำเรียกคูร

- ขุมเชิง (ผังการเดินเท้า)

- แม่ลาย (ท่ารำ) โดยเฉพาะแม่ลายฟ้อนเจิงสาวไหม

พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์ และพ่อครูคำสุข ช่างสาร เป็นศิษย์ของพ่อครูปวน คำมาแดง โดยพ่อครูกุยเป็น "ศิษย์ผู้พี่" พ่อครูคำสุข เป็น "ศิษย์ผู้น้อง" หลักฐานที่สนับสนุนสรุปนี้ คือ




- คำเรียกครู

- ขุมเจิง (ผังการเดินเท้า)

- แม่ลาย (ท่ารำ) โดยเฉพาะแม่ลายฟ้อนเจิงสาวไหม

ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะหลักฐานดังกล่าวมีความสัมพันธ์กัน ด้านความเหมือนและคล้ายคลึง



คำเรียกครู

คำเรียกครูหรือบทเรียกครูเมื่อตรวจสอบจาก

๑. เอกสารประเภทพับสาเขียนด้วยอักษรธรรมล้านนาของนายปุก สุรวงศ์ (เสียชีวิต) ซึ่งเป็นศิษย์คนหนึ่งของพ่อครูปวน

๒. เอกสารบันทึกของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์

๓. ประสบการณ์ตรงของผู้เขียน หลังได้รับการถ่ายทอดวิชาจากพ่อครูคำสุข

เมื่อเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าค่อนข้างจะตรงกันในที่นี้จะขอนำเอาตัวอย่างบางส่วนมาแสดงประกอบดังนี้



คำเรียกครูต้นฉบับพับสา



คำเรียกครูนี้ปรากฏในเอกสารโบราณประเภทพับสา เดิมเป็นของนายปุก สุรวงศ์ เมื่อนายปุกเสียชีวิต บุตรชายคือ นายคำคง สุรวงศ์ เก็บรักษาไว้ ต่อมาผู้เขียนได้ฝากตัวเป็นศิษย์นายคำคง จึงได้รับการถ่ายทอดและขอนุญาตถ่ายเอกสารจากต้นฉบับไว้จากตัวอย่างปริวรรตเป็นอักษรไทยภาคกลางว่า "โอมพระกุมภ์ พระกัณฑ์ พระจิตพระจอด พระนารอทหื้อแก่กู พระพิสนู (พิษณุ) หื้อแก่กู มากินเหล้าแพ่งหนา มากินสุราแพ่งหน้อย ทังพ่อหมอหลวง มาปลงไว้หื้อแก่กู โอมทรงทรงกูเฮย โอมสามสิบพ่อหมอกูเป็นเคล้า เก้าสิบพ่อหมอเถ้าก็มาเป็นครูกู มีทังเชิงชายลายฅ้อนแลหอกดาบ หน้าไม้ปราบปืนไฟ ครูกูหื้อแก่กู โอมทรงทรงหื้อแก่กูไว"



คำเรียกครูจากเอกสารบันทึกของนางบัวเรียว



คำเรียกครูนี้ เดิมปรากฏในเอกสารประเภทพับสาของพ่อครูกุย เมื่อพ่อครูกุยเสียชีวิต น้องชายคือ นายใหม่ สุภาวสิทธิ์ เก็บรักษาไว้ ต่อมานางบัวเรียวได้ขอร้องให้นายใหม่อ่านให้ฟัง แล้วบันทึกเป็นอักษรไทยภาคกลาง ส่วนต้นฉบับเดิมได้สูญหายไปหลังจากที่นายใหม่เสียชีวิต



คำเรียกครูของพ่อครูคำสุข



คำเรียกครูของ ผู้เขียนที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อครูคำสุข เหมือนกันกับฉบับของนายปุกทุกประการ เพียงแต่เพิ่มบทสุดท้าย ที่มีส่วนคล้ายคลึงกับของนางบัวเรียวซึ่งสามารถปริวรรตเป็นภาษาไทยกลางคือ "หมอเฮย หมอเฮย ลงแท้ลงท่า ลงมาสอนตูข้า ค่าปั่นมนสนฅ้อน คูพ่าคูล่า ทังเหนอโห เส็งโขโมลั่น เพิงพ่อโมอ่อนย่อง หมอหลงหงฮ่าง หมู่แสนทางปิ้นอย่า พระเพ็งกำผา เมิงมัง เหกอังอ้อ ฟั่งฮ้างวังต่อได้ทังเพ็ง เพิงในเจ ๆ ช้อย เมนางไฮ่ว่า เข่วเอาไม้ปวยชว่า ปวยฅิงฅบพ่ายว่าย แท้เฮาเฮยหมอเฮย"



กล่าวมาถึงเฉพาะคำเรียกครูที่เป็นหลักฐานเบื้องต้น
เจิง" และ "แม่ลาย"
กล่าวถึงหลักฐานที่สนับสนุนข้อสรุปว่า พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์(บิดาของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์) และพ่อครูคำสุข ช่างสาร เป็นศิษย์ของพ่อครูปาน คำมาแดง นั้น ผู้เขียนได้นำเอา "คำเรียกครู" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทไหว้ครูมาเปรียบเทียบให้ดู

คำว่า "ขุม" หมายถึงหลุม "เจิง" คือชั้นเชิง คนโบราณเวลาถ่ายทอดชั้นเชิงการต่อสู้ จะขุดหน้าดินให้เป็นหลุมลึกพอให้เห็น เพื่อกำหนดจุดหรือตำแหน่งการวางเท้า และเมื่อจะย้ายเท้าให้มีชั้นเชิง ก็ต้องเพิ่มจำนวนขุมให้มากขึ้น ขุมที่มากขึ้นจะมีหลักกำหนดในการย้ายเท้าตามตำรา จึงเกิดผังการเดินเท้า เรียกว่า "ขุมเจิง" การย่างย้ายเท้าต้องถูกต้องทั้งเชิงรุก เชิงรับและเชิงถอย อีกทั้งต้องกะระยะจังหวะการเหยาะย่างให้ถูกกระบวนยุทธ ที่เรียกว่า "ย่างขุม" การได้ฝึกฝนให้เกิดทักษในการย่างขุม จะทำให้เกิดลักษณาการที่สง่างามในเชิง ยุทธลีลา ขุมเจิงที่พ่อครูทั้งสามใช้เป็นประจำมี ๓ ขุมเจิงได้ขุมสิบสอง ขุมสิบหกและขุมสิบเจ็ด



จากการที่ผู้เขียนได้ศึกษาเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ จากนายคำคง สุระวงศ์ (บุตรของนายปุก สุรวงศ์ ซึ่งเป็นศิษย์พ่อครูปวน) พ่อครูคำสุข ช่างสารและนางบัวเรียว รัตน-มณีภรณ์ ปรากฏว่าใช้หลักการตรงกัน แสดงว่ามาจากครูเดียวกัน



สำหรับแม่ลายนั้น เป็นสิ่งสำคัญควบคู่กับขุมเจิง กล่าวคือขุมเจิงเป็นทฤษฎีของการเดินเท้า ส่วนแม่ลายจะเป็นทฤษฎีของการเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนบน โดยเฉพาะลำแขนและมือ คำว่า "แม่" คือ แบบฉบับ "ลาย" คือลวดลายหรือลีลา (ชาวไทใหญ่เรียกการฟ้อนเจิงด้วยมือเปล่าว่า "ก้าลาย" ก้า หมายถึง ฟ้อน ลาย คือลวดลายหรือชั้นเชิง) แม่ลาย หมายถึง แบบฉบับของศิลปะ ใช้กับศิลปการฟ้อนเจิงโดยเฉพาะ และถ้าจะอนุมานเข้ากับภาษาไทยภาคกลางก็น่าจะหมายถึง "ท่ารำ"



แม่ลายของการฟ้อนเจิงสาวไหมที่มีส่วนคล้ายคลึงกันมากมี ๒ ฉบับ คือของพ่อครูกุยและของพ่อครูคำสุข ในที่นี้จะยกตัวอย่างที่เป็นลายมือของพ่อครูกุย เขียนด้วยอักษรล้านนา สามารถปริวรรตเป็นอักษรไทยกลาง ได้ว่า สางฟ้อน ยกขาซ้ายเข้าจิ ลางซ้าย ควักตาตีนซ้ายหงายอ้งทั่งออก ตบมือตบขนาบ กำสามติดหน้าผาก ฅิดก้อยลวาดตีนผม ปัดสันขาไว้แอว หย่อนซ้ายลงทืบพึด (อ่านตื้บปึ๊ด) ตบมืออุ่มอก ยกขาซ้ายผัด ไสเข้าตาศอก แป็บขาซ้ายย่ำลง ปัดสันขาไว้แอว ตบพึด ผายมือขึ้นทวยกันจื้ด ๆ ตบพึด ตบมืออุ่มอก ตีตาตีนซ้ายย่ำออกไป เหลียวซ้าย ยกขาขวา ไล่สันขาตาตีน ตบมือฮูดเข้าหาศอก ตีสันขาซ้ายแป็บ ๆ กำสามติดหน้าผาก ฅิดก้อยลวาดตีนผม ปัดสันขาไว้แอว ย่อตัวนั่งลง ยกขาขวาสันขาตาตีน ย่ำ…



ส่วนแม่ลายของพ่อครูคำสุข ที่ผู้เขียนได้รับการถ่ายทอด ขอยกตัวอย่างมาประกอบ ซึ่งปริวรรตเป็นอักษรกลาง ได้ว่า ตีนซ้ายเข้าจิ หยุด ลางซ้าย คัวดตาตีนซ้ายหงายอ้งทั่งออก ตบมือตบขนาบ ตีมะผาบวิดขึ้นฟ้อนยกขาขวา สันขาตาตีน ตบมือฮูดเข้าหาตาศอก ขาซ้ายไปแป็บ ปัดสันขาไว้แอว…



แม่ลายดังกล่าวเป็นลวดลายหรือท่วงท่าที่จะต้องสัมพันธ์กับขุมเจิงที่กล่าวถึงตอนต้น การที่จะออกลีลาในแง่นาฏศิลป์จะต้องศึกษาเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจนเกิดทักษะจนสามารถนำเสนอในเชิงศิลปะได้อย่างงดงาม และที่สำคัญการฟ้อนเจิงสาวไหมที่สง่างามนั้น มีข้อยืนยันที่อ้างมาว่า เป็นต้นแบบหรือที่มาของฟ้อนสาวไหมในปัจจุบัน


เรื่องราวของฟ้อนสาวไหมได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เห็นถึงที่มาว่ามาจากการฟ้อนเจิง และเพื่อให้เห็นชัดยิ่งขึ้นจะกล่าวถึงพัฒนาการซึ่งเป็นจุดต่อที่สำคัญ โดยจะย้อนไปที่พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์ย้ายที่อยู่จากเชียงใหม่ไปอยู่บ้านศรีทรายมูล จังหวัดเชียงราย และได้ตั้งรกรากอยู่ที่เชียงรายตลอดชีวิต




พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์ เป็นครูสอนฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง นอกจากจะสอนให้ศิษย์แล้วก็ได้สอนให้กับบุตรสาวคนสุดท้อง คือนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ซึ่งเริ่มฝึกฟ้อนเมื่ออายุ ๗ ขวบ เพลงที่ใช้ประกอบนั้นไม่แน่นอน เพราะฟ้อนกับวงดนตรีพื้นเมืองได้เกือบทุกเพลง โดยส่วนใหญ่ฟ้อนกับกลองสิ้งหม้อง ซึ่งเป็นกลองที่มีจังหวะง่าย ๆ ธรรมดา และมีอยู่ทั่วไป



ต่อมามีนักดนตรีและนาฏศิลป์ไทยชั้นครูอพยพจากเชียงใหม่ ไปอาศัยอยู่วัดศรีทรายมูล ชื่อนายโม ใจสม นายโมเดิมเป็นชาวมอญจากอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อมาอยู่ที่วัดศรีทรายมูล ก็ได้ช่วยฟื้นฟูดนตรีพื้นเมืองของวัด คือ "วงเต่งถิ้ง" ขึ้นใหม่โดยสอนคณะศรัทธาของวัด จนมีนักดนตรีฝีมือดีหลายคนขณะเดียวกันก็ได้สอนนาฏศิลป์ไทยด้วย



นางบัวเรียวได้มีโอกาสฝึกนาฏศิลป์กับนายโมด้วย เวลามีงานวัดที่ไหน ๆ เจ้าอาวาสและคณะศรัทธาวัดมักจะนำวงดนตรีพื้นเมืองและช่างฟ้อนไปช่วย นางบัวเรียวก็ได้ไปร่วมฟ้อนด้วยเช่นกัน และฟ้อนสาวไหมเป็นฟ้อนที่ถนัดอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นการฟ้อนที่ได้รับความนิยมมาก จึงมักจะได้ฟ้อนสาวไหมเป็นส่วนใหญ่



ดังนั้นฟ้อนสาวไหมจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปใน ๒ ลักษณะ คือ "ลีลา" และ "เพลงประกอบ"



โดยปกตินางบัวเรียว มีความสามารถในการปรับตัว โดยเฉพาะทางนาฏศิลป์และดนตรี ช่วงนี้จึงได้ดัดแปลงท่าฟ้อนให้ลีลาในการฟ้อนเหมาะสมกับบุคลิกของสุภาพสตรีคือ อ่อนช้อย งดงามและลงจังหวะดนตรีแบบนาฏศิลป์ไทย และในขณะเดียวกันดนตรีประกอบซึ่งแต่เดิมใช้ดนตรีพื้นเมืองประเภทไหนก็ได้ ก็เริ่มใช้วงเต่งถิ้งบรรเลงเพลงพื้นเมือง เช่นปราสาทไหว ฤาษีหลงถ้ำ ต่อมาเห็นว่าเพลงเหล่านั้นจังหวะช้าไม่กระชับ จึงใช้เพลงที่เรียกว่า "เพลงสาวไหม" ซึ่งเพลงนี้ผู้รู้บางท่านว่าคือ "เพลงลาวสมเด็จ" แต่บางท่านก็ว่าเป็นเพลงแต่งใหม่โดยนายโม เพื่อประกอบการฟ้อนสาวไหม โดยดัดแปลงจากเพลงลาวสมเด็จอีกทีหนึ่ง



การที่วัดศรีทรายมูลนำวงดนตรีและช่างฟ้อนไปช่วยงานวัดต่าง ๆ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องตามโอกาสและเทศกาลงานบุญของวัดนั้น ๆ ครั้งหนึ่งราวปี พ.ศ. ๒๕๐๓ วัดศรีทรายมูลได้ไปช่วยงานวัดถ้ำปุ่มถ้ำปลา อำเภอแม่สาย จ.เชียงราย นายอินหล่อ สรรพศรี นักดนตรีไทยชั้นครูของเชียงราย ได้ชมการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวจึงเกิดความประทับใจ แล้วเก็บไว้ในใจเนื่องจากไม่มีโอกาสทำความรู้จัก



ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๗ นายอินหล่อ ได้มีโอกาสชมอีกครั้งหนึ่งที่วัดพระแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เห็นว่ามีลีลาอ่อนช้อยนิ่มนวลละมุนละไม จึงได้ทำความรู้จักกับนางบัวเรียวและเชิญให้ไปพบภรรยาของนายอินหล่อ คือนางพลอยสี สรรพศรี ซึ่งเป็นช่างฟ้อนและผู้เล่นละครเก่าจากคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี



จากการได้พบกับนางพลอยสี นาฎการชั้นครูของเชียงราย การฟ้อนสาวไหมก็ได้รับการบูรณะท่าทางในการฟ้อนอีกครั้งหนึ่ง โดยนางพลอยศรีขอให้ฟ้อนให้ดูและขออนุญาตติชมพร้อมทั้งออกความคิดเห็นและช่วยกันปรับปรุงเสริมเติมส่วนที่ยังบกพร่องให้สมบูรณ์ขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของนาฎจริต



ดังที่กล่าวมาแต่ต้นในช่วงระยะเวลาประมาณ ๕๐ ปีที่ผ่านมา การฟ้อนสาวไหมมีความเป็นมาที่สรุปได้โดยสังเขปและอาจเขียนเป็นแผนภูมิโดยจะเลือกเอาบุคคลผู้เกี่ยวข้องที่ผู้เขียนกล่าวถึงได้ ดังนี้




การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งมีความเป็นไปเป็นของธรรมดา ในช่วงระยะ ๕๐ ปีนั้น ๒๐ ปีแรกการเปลี่ยนแปลงอาจมีไม่มาก แต่ระยะ ๓๐ ปีให้หลัง การฟ้อนสาวไหมเผยแพร่ขยายวงกว้างจนไปสู่ระดับชาติความแตกต่างของลีลาท่ารำย่อมมีมากขึ้น และในความแตกต่างนี้เองก็เริ่มเกิดความไข้วเขวด้านนัยประวัติท่ารำ รวมไปถึงเพลงประกอบด้วย



อย่างไรก็ตามหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปรับแต่งให้เหมาะสมก็คงไม่มีฟ้อนสาวไหมแบบที่เห็นให้ชม จนเป็นที่เชิดชูด้านศิลปวัฒนธรรมของล้านนาในยุคปัจจุบัน เพราะถ้าหากจะให้สตรีผู้มีบุคลิกนิ่มนวลชดช้อยไปฟ้อนในท่าทางรวดเร็ว หลอกล่อ และคึกคะนองแบบเชิงสาวไหมก็คงไม่น่าดูเท่าไรนัก



สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้างคือ ควรมีการศึกษาอย่างเป็นวิชาการโดยศึกษาทั้งความเป็นมาและความเป็นไป แยกแยะให้ออกว่าอะไรเก่าอะไรใหม่ อะไรมีอยู่ก่อนแล้ว อะไรเพิ่มเติมมาภายหลัง



โชคดีที่ยังมีแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาหลงเหลืออยู่ท่ารำของพ่อครูกุยยังมีให้เห็นอยู่ ซึ่งดูได้จากศิษย์ของ พ่อครูคำสุข ท่ารำที่ถูกดัดแปลงมาระดับหนึ่งดูได้จากแม่ครูบัวเรียวหรือทายาท และท่ารำที่กรมศิลปากรเข้าไปมีอิทธิพลก็ดูได้ที่วิทยาลัยนาฎศิลปะเชียงใหม่



ถ้าไม่มีอดีตก็ไม่มีปัจจุบัน และหากไม่มีปัจจุบันก็ไม่มีอนาคตเช่นกัน แม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ นับเป็นบุคคลสำคัญที่น่ายกย่อง ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อม อดีตกับปัจจุบันอย่างแนบเนียน โดยการนำเอาศิลปะการฟ้อนในชั้นเชิงของชายมาประยุกต์ดัดแปลงเป็นศิลปะการฟ้อนรำของสตรีผู้มีธรรมชาติอ่อนหวานและบุคคลที่ควรสรรเสริญได้แก่นาฏกรทุกท่านที่มีส่วนสร้างสรรค์ฟ้อนสาวไหมให้มีความงดงามประณีตบรรจงได้อย่างน่าชื่นชม จนกลายเป็นมรดกอันล้ำคค่ของชาติในปัจจุบัน.

              

 ขอขอบคุณ อาจารย์ สนั่น ธรรมธิ


สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


(ภาพประกอบโดยพิชัย แสงบุญและเสาวณีย์ คำวงค์ )





                                                 

“ดิอิมพอสสิเบิ้ลส์..ด้วยความชอบส่วนตัวครับ

ดิอิมพอสสิเบิ้ลส์ หนึ่งในตำนานเพลงไทย


“ถ้าฉันมีสิบหน้า อย่างทศกัณฐ์ สิบหน้านั้น ฉันจะหัน มายิ้มให้เธอ สิบลิ้น สิบปาก จะฝากคำพร่ำเพ้อ ว่ารักเธอ รักเธอ เป็นเสียงเดียว...”

เพลง “เป็นไปไม่ได้” : วง “ดิอิมพอสสิเบิ้ลส์”

สมัยเป็นเด็กฟังเพลงนี้จากเทป(คาสเส็ท)ของพี่ชาย ผมไม่รู้หรอกว่าเจ้ายักษ์ทศกัณฐ์คือผู้ใด รู้จักแต่เจ้า“ยักษ์ 10 หน้า”ศัตรูตัวร้ายของ “อะเมซอน”(V6) ที่มีแต่หัวใหญ่ๆหน้าเยอะๆลอยไปลอยมา


เพราะยุคนั้นเด็กรุ่นผมคลั่ง“ไอ้มดแดง”กันมาก ไล่มาตั้งแต่ V1-V9 ก่อนที่ตอนหลังจะเปลี่ยนมาเรียก“มาร์ค ไรเดอร์”ในภายหลัง พร้อมกับมีฮีโร่มนุษย์แปลงออกมาสารพัดสารพันจนผมรู้สึกว่าสูญเสียความขลังไปเยอะ (แต่เป็นที่ชื่นชอบของเด็กยุคใหม่ ส่วนไอ้มดแดง V1-V9 ในยุคผมกลายเป็นฮีโร่ตกรุ่นเป็นของเชยสำหรับพวกเขาไป)

ต่างไปจากเพลงของดิอิมที่วันนี้ยังคงความขลังน่าฟังอยู่ไม่สร่างซา



ดิอิม 3 แผ่นครึ่ง+


ความไพเราะมีเสน่ห์ของเพลงเป็นไปไม่ได้ ถือเป็นตัวดึงดูดสำคัญให้ผมหันมาสนใจไล่ตามฟังเพลงของวง “ดิอิมพอสสิเบิ้ลส์” แบบจริงๆจังๆ


สมัยนั้นแม้ดิอิมจะยุบสลายวงไปหลายปีแล้ว แต่เพลงของวงนี้หาซื้อเทปมาฟังได้ไม่ยาก ส่วนใหญ่จะมาเป็นเทปผีที่นำเพลงฮอตฮิตมายำรวมกัน ทำใหม่ออกมาเพียบเลย จนผมช่วงนั้นเข้าใจผิดว่าเพลงของวงดิอิมมีมากมายหลายชุดด้วยกัน


กระทั่งเมื่อโตขึ้นได้มีโอกาสศึกษาประวัติวงดิอิม ถึงได้รู้ว่าวงนี้มีผลงานสตูดิโออัลบั้มของตัวเองในสมัยที่ยังรวมวงเล่นดนตรีกันอยู่ แค่ 3 ชุดครึ่งเท่านั้น ได้แก่ 3 อัลบั้มเต็มในแบบแผ่นเสียงลองเพลย์(ยุคนั้นยังไม่มีการอัดทำเป็นเทป) คือ“เป็นไปไม่ได้” “หมื่นไมล์แค่ใจเอื้อม” และ “Hot Pepper” กับอีกหนึ่งผลงานชุดเล็กคือชุด“ทัศนาจร” ในแบบแผ่นเล็ก(แผ่นEP : ปี 2516 : จัดทำโดยครูวิมล จงวิไล)ที่มีเพียง 4 เพลง คือ ทัศนาจร,หาดบ้านเพ,เรือเพลง และ ลาวดวงเดือน


บวกด้วยงานเพลงที่วงดิอิมเล่นแบ็คอัพให้กับ “ป้าแดง : ฉันทนา กิติยพันธ์” กับ“ป้าเม้า : สุดา ชื่นบาน” 2 คุณป้าสุดซ่าสุดฮา ร้องนำ ซึ่งผมขอเรียกงานสตูดิโออัลบั้มทั้งแผ่นใหญ่ แผ่นเล็ก และแผ่นแบ็คอัพว่า เป็นผลงาน 3 แผ่นครึ่ง+

“เป็นไปไม่ได้” เพลงที่คิดได้ไง


หลังวงดิอิมพอสสิเบิ้ลส์มีชื่อจากการคว้าแชมป์ตริงคอมโบวงแรกของเมืองไทยในปี พ.ศ. 2512 และครองตำแหน่งติดกัน 3 ปีซ้อน ต่อด้วยการสร้างชื่อโด่งดังเป็นระเบิดจากการทำเพลงประกอบภาพยนตร์มากมาย อาทิ ชื่นรัก ทะเลไม่เคยหลับ ใจหนุ่มใจสาว หัวใจเหิร ค่าของคน-รัก-เงิน ฯลฯ ดิอิมก็ได้ฤกษ์งามยามปลอดคลอด(สตูดิโอ)อัลบั้มเป็นของตัวเองกันเสียที กับผลงานชุด“เป็นไปไม่ได้” ในปี พ.ศ. 2515 โดยมีผู้จัดทำคือครูพยงค์ มุกดา


เป็นไปไม่ได้ มีคุณค่าที่เป็นไปได้ให้จดจำอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็น เพลงที่เป็นทั้งชื่อเพลงและชื่ออัลบั้ม เป็นเพลงแรกในแผ่นเสียงชุดแรกของวงที่ไม่ใช่เพลงจากหนัง เป็นหนึ่งในบทเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดของวง ชนิดเวลาไปแสดงที่ไหน ดิอิมต้องร้องเล่นเพลงนี้ ไม่เล่นไม่ได้ เป็นบทเพลงอมตะที่ตอนหลังกลายเป็นหนึ่งในตำนานของวงดิอิม และกลายเป็นหนึ่งในตำนานเพลงไทย


เป็นไปไม่ได้ เขียนเนื้อร้องและทำนองโดยครูพยงค์ มุกดา ผู้จัดทำอัลบั้ม ซึ่งอาปุ๊ : ปราจีน ทรงเผ่า ได้เขียนบันทึกเอาไว้(ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า) เพลงนี้ครูพยงค์ “คิดได้ยังไงเนี่ย” เพราะครูพยงค์ สามารถนำคำแปลของชื่อวงดิอิมพอสสิเบิ้ลส์ มาผูกเรื่องแต่งเป็นเพลงไทยได้อย่างสุดยอด เมโลดี้สวย ดนตรีไพเราะเพราะพริ้ง อาต้อย เศรษฐา ศิระฉายา ขับร้องถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยม น้ำทรงเสน่ห์มีเอกลักษณ์ ฟังแล้วรู้สึกรันทดท้อไปตามเนื้อเพลง ซึ่งวันนี้ผมยังไม่เห็นใครนำเพลงเป็นไปไม่ได้กลับมาร้องใหม่ได้ใกล้เคียงกับต้นตำรับเลย


เป็นไปไม่ได้ เพลงนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเพลง“ทศกัณฐ์” เพราะสามารถหยิบจุดเด่นของทศกัณฐ์มาเปรียบเปรยกับความรักที่ไม่สมหวังได้อย่างมีชีวิตชีวาและมีลูกเล่นเหลือล้น แถมยังทำให้ทศกัณฐ์ให้ถูกมองเป็นยักษ์โรแมนติกจากใครหลายคน ชนิดที่พระรามก็พระรามเหอะ เจอไม้นี้เข้าไปก็ต้องหลบให้ทศกัณฐ์เหมือนกัน


“...ถ้าฉันมียี่สิบตา อย่างทศกัณฐ์ ยี่สิบตาของฉัน จะมองเธอไม่เหลียว ยี่สิบแขนจะสวมสอด กอดเธอผู้เดียว ยี่สิบสีดาอย่ามาเกี้ยว ไม่แลเหลียวมอง...”

นอกจากเพลงเอกเป็นไปไม่ได้ งานเพลงชุดนี้ที่มีทั้งหมด 11 เพลง (อ้างอิงจากจำนวนเพลงในแผ่นเสียงต้นฉบับ สำหรับใครที่มีเป็นเทป เป็น MP3 ภายหลังอาจมีเพลงน้อยกว่าหรือมากกว่าต้นฉบับ) โดยเพลงที่เหลือประกอบด้วย


“ชั่วนิจนิรันดร”(คำร้องทำนอง : พยงค์ มุกดา) เพลงช้าๆ มีเสียงแซกโซโฟนเป่าเหงาๆคลอไปกับเสียงร้องจากภาษาสละสลวยที่ครูพยงค์เปรียบเปรย รักแท้อันมั่นคงนิรันดรกับหลากหลายสรรพสิ่ง “...รักฉันนั้น เหมือนดวงตะวัน มั่นรักฟากฟ้า รักดังหมู่ปลารักวารี เหมือนดังกับแหวนแสนจะรักแก้วมณี เหมือนขุนคีรี สวาทพื้นดินเดียวกัน...”


“ขาดเธอขาดใจ”(คำร้องทำนอง : ประดิษฐ์ อุตตะมัง) อีกหนึ่งเพลงดัง ดนตรีไพเราะมีเสียงฟลู้ตมาช่วยเติมแต่งสร้างสีสัน เนื้อเพลงเป็นรักผิดหวังที่ฉันรักเธอมาก ชนิดขาดเธอขาดใจ


“ชาวดง”เพลงเก่าของครูวิมล จงวิไล เจ้าพ่อเพลงโฟล์ค(ยุคนั้น) ที่ดิอิมนำมาร้องใหม่ในจังหวะกระชับ สนุกมีชีวิตชีวา ดนตรีเล่นให้ฟังหลวมๆสบายๆแต่แน่นอยู่ในที เพลงนี้ตอนหลังกลายเป็นเพลงโฟล์คที่นิยมเล่นร้องในงานออกค่าย ท่องเที่ยว ทัศนศึกษา คู่กับเพลง“ทัศนาจร”มาจนถึงทุกวันนี้


“สกุณา” เพลงนี้ทำนองนำมาจากเพลงบูรงกากาของมาเลเซีย แต่งเนื้อไทยโดยครูพยงค์มุกดา เป็นบอสซาโนว่าที่เจ๋งมาก มีกีตาร์เล่นคอร์ดทางแจ๊ซเสียงใสๆรองพื้น สอดแทรกด้วยเสียงแซ็กที่เป่าคลอเคล้าไปตลอด


อีกเพลงหนึ่งที่เป็นบอสซ่าพลิ้วๆก็คือ “วนาสวรรค์”(คำร้อง ทำนอง : พยงค์ มุกดา) เพลงชื่นชมธรรมชาติที่เพราะทั้งเนื้อร้องทำนองและมีทางคอร์ดที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย


ดิอิมนับเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเพลงสไตล์บอสซ่ายุคแรกในเมืองไทย(ร่วม 40 ปี มาแล้ว) ก่อนจะมาเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่ดิอิมไม่ได้เล่นบอสซ่าพร่ำเพรื่อจนเฝือเหมือนในยุคนี้ ที่สำคัญคืออาต้อย เศรษฐาแกร้องเพลงด้วยน้ำเสียงเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้ดัดเสียงร้องให้ผิดเพี้ยนไปจากน้ำเสียงตามธรรมชาติของตัวเอง ซึ่งผมก็ยังงงอยู่ว่า ทำไมเวลานักร้องหลายคนในสมัยนี้ เมื่อร้องเพลงแนวบอสซ่า(หรือเพลงแนวอื่นด้วย) จะต้องดัด(จริต)น้ำเสียงให้มันผิดเพี้ยนเกินงามไปถึงขนาดนั้น


ส่วนเพลง“นกขมิ้น”(คำร้อง ทำนอง : พยงค์ มุกดา) เป็นเพลงเก่าที่ดิอิมนำมาร้องใหม่ ซึ่งอาต้อยสามารถร้องถ่ายทอดออกมาในกลิ่นเพลงไทยเดิมผสมดนตรีสากลได้อย่างมีลีลาไม่น้อย ทั้งลูกเอื้อน ลูกทอดเสียง ทำได้ดีสมกับเป็นหนึ่งในยอดนักร้องอมตะของเมืองไทย


หันมาฟังเพลงชุดทะเลในชุดนี้กันบ้าง วงดิอิมนับว่าเด่นมากในเรื่องของเพลงเกี่ยวกับทะเล(จนกลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของวงไป) ไม่ว่าจะเป็นเพลงทะเลดังหนังไทยอย่าง “ทะเลไม่เคยหลับ” “ระเริงชล” “เริงทะเล” “หาดบ้านเพ” เป็นต้น นั่นจึงทำให้ในชุดนี้ดิอิมมีเพลงทะเลมาฝากกัน 2 เพลง คือ “ทะเลเปี่ยมรัก”กับ“เพลงรักทะเลใต้” ที่ฟังแล้วเป็นดังภาค 2 และ ภาค 2 พิเศษ ของเพลง “เริงทะเล” เพลงดังจากหนังเรื่องชื่นชีวาฮาวาย



นอกจากเพลงที่อาต้อยร้องแล้ว อัลบั้มเป็นไปไม่ได้ยังมีเพลงดังของอาต๋อย วินัย พันธุรักษ์ ให้ฟัง 2 เพลงด้วยกัน คือ “คอยน้อง” และ“ไหนว่าจะจำ”


“คอยน้อง”(คำร้อง ทำนอง พยงค์ มุกดา) มาในกลิ่นบลูส์พลิ้วๆ ท่อนกลางเปิดพื้นที่ให้แซ็กโซโลกันแบบพองาม เพลงคอยน้องถือเป็นเพลงแรกที่อาต๋อยร้องนำให้กับวงดิอิม ซึ่งเดิมได้มีการวางตัวน้าอู้ด : สิทธิพร อมรพันธุ์มือกีตาร์ ให้ร้องนำในเพลงนี้ แต่ในท่อน“เจ็บไข้ไฉนเหตุใดป่านนี้” น้าอู้ดแกร้องฟังเป็น “เจ็บไข่” ทู้กที จึงเปลี่ยนมาให้วินัยร้องแทน ซึ่งก็ได้ผลพาเขาโด่งดังกลายเป็นหนึ่งในเพลงประจำตัววินัยมาจนทุกวันนี้


เช่นเดียวกับเพลง “ไหนว่าจะจำ”(คำร้อง ทำนอง : พยงค์ มุกดา) ที่ถือเป็นอีกหนึ่งในเพลงประจำตัวของวินัย พันธุรักษ์


ไหนว่าจะจำ เป็นเพลงจังหวะสวิงปานกลาง มีลูกเล่นด้วยการร้องนำและมีคอรัสร้องคลอ ฟังแล้วน่าจดจำด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของอาต๋อยกับท่วงทำนองและการเรียบเรียงอันมีชั้นเชิง


พูดถึงอาต๋อย วินัยแล้ว หลายคนบอกว่าตอนหนุ่มๆแกมีใบหน้าหล่อตี๋คล้าย“เป้ อารักษ์” แต่งานนี้ผมขอเถียง เพราะเราควรยกย่องครูด้วยการบอกว่าเป้ อารักษ์ ต่างหากที่มีใบหน้าคล้ายกับอาต๋อย ส่วนเรื่องทรงผมอาต๋อยกินขาด ด้วยทรงผมหยิกฟูบานเป็นที่ทรมานใจสาว


ไหนๆเล่ามาถึงเรื่องแฟชั่นทรงผมแล้ว ผมขอต่อด้วยแฟชั่นการแต่งกายซึ่งดิอิมถือเป็นหนึ่งในผู้นำแฟชั่นแห่งยุคสมัย โดยเฉพาะกับกางเกงขาบานนี่ดิอิมใส่แล้วดูเท่ล้ำมาก ส่วนภาพที่หาดูไม่ได้ง่ายๆของวงนี้ก็คือ ภาพของอาต้อย เศรษฐา ไว้ผมยาว ไว้หนวดไว้เครา ที่ดูแล้วเข้มเอามากๆ ชนิดบางคนเห็นแล้วคาดไม่ถึงว่ายุคนั้น เศรษฐา ศิระฉายา จะดูแนวได้ถึงขนาดนี้




หมื่นไมล์แค่ใจเอื้อม- Hot Pepper




หลังประสบความสำเร็จจากเป็นไปไม่ได้ ปี 2516 ดิอิมพอสสิเบิ้ลส์ ก็ส่งอัลบั้ม “หมื่นไมล์แค่ใจเอื้อม”ออกมา งานเพลงชุดนี้จัดทำโดยประดิษฐ์ อุตตะมัง มีทั้งหมด 12 เพลงด้วยกัน มีเพลงเด่นๆได้แก่


“หมื่นไมล์แค่ใจเอื้อม” (คำร้อง ทำนอง : ประดิษฐ์ อุตตะมัง)เป็นดังเพลงแทนใจวงดิอิมหลังจากต้องไกลบ้านไปเล่นดนตรีอยู่ที่ฮาวายและสแกนดิเนเวีย ซึ่งพวกเขาคิดถึงเมืองไทย ครอบครัวและแฟนเพลงกันอย่างจับใจ


“สู่อ้อมอกดิน”(คำร้อง ทำนอง : ประดิษฐ์ อุตตะมัง) เป็นอารมณ์ที่ให้ความรู้สึกต่อเนื่องจากหมื่นไมล์ฯ เพราะเป็นเพลงกลับคืนสู่บ้านเกิดหลังจากดิอิมไปเล่นดนตรีที่เมืองนอกมาเป็นปี เพลงนี้พูดถึงแม่และแผ่นดินแม่ได้อย่างซาบซึ้งจับใจ “...กลับมากราบแม่อีกครั้ง ลูกยังรักดังใจกาย แม้ลูกชีวิตดับวาย จะมาขอตาย ด้วยรอยยิ้มพราย อ้อมใจของแม่”


“หว้าเหว่”(คำร้อง : ประดิษฐ์ อุตตะมัง) นำนองเพลงนี้มาจากเพลง บังกาวัน โซโล อินโดนีเซีย เป็นป็อบแจ๊ซกลิ่นบอสซ่าอันน่าฟัง

ส่วน “คำสุดท้าย” (คำร้อง ทำนอง : ประดิษฐ์ อุตตะมัง) ขับร้อง โดยอาต๋อย วินัย เป็นเพลงช้าซึ้งๆในอารมณ์เพลงลูกกรุงกับภาษาที่เล่าเรื่องได้อย่างเห็นภาพ ผมฟังเพลงนี้ทีไรเป็นต้องเห็นน้ำพริกปลาทูลอยเด่นเข้ามาในห้วงมโนภาพทุกทีไป “...ตกตอนเย็น เห็นน้ำพริกปลาทู รสมือนางเลิศหรู เจ้าไม่เคยอยู่เฉย...”


นอกจากนี้ในอัลบั้มหมื่นไมล์ฯ ยังมีเพลงชุดทะเลที่ขาดไม่ได้สำหรับวงวงนี้ คือ“หากรักเป็นเช่นทะเล” ที่เป็นดังภาคต้อของทะเลไม่เคยหลับ และเพลงทะเลอื่นๆอย่าง “ห้วงใจรัก” “อย่ากวนใจทะเล” “สิชล” ร่วมด้วยเพลงที่เหลืออื่นๆ คือ “บุหงาลาก่อน” “ระเริงโซล” “จูบจันทร์” และ“พี่เองก็เท่านี้”


หลังอัลบั้มหมื่นไมล์ฯ ดิอิมเริ่มเดินทางเข้าสู่ยุคอิ่มตัว พวกเขาเว้นว่างจากการทำสตูดิโอไปพักหนึ่ง ก่อนจะออกผลงานเพลงสากลทั้งอัลบั้มออกมาในชื่อชุด “Hot Pepper” (ทำในปี 2518 ขายปี 19) เป็นเพลงร้อง 9 เพลง เป็นเพลงที่รู้จักคุ้นหู 4 เพลง เพลงแต่งใหม่ 5 เพลง และเพลงบรรเลง 1 เพลง คือ “Hot Pepper” ถือเป็นวงดนตรีไทยที่ผลิตงานเพลงสากลขายยุคแรกๆของเมืองไทย โดยพวกเขาหวังจะโกอินเตอร์กัน แต่ปรากฏงานเพลงชุดนี้ไม่ประสบผลสำเร็จทั้งที่เมืองไทยและเมืองนอก(โดยเบื้องหลังความไม่สำเร็จของอัลบั้มชุดนี้ ปราจีน ทรงเผ่า ได้เขียนบอกกล่าวไว้ใน หนังสือ รวมบทเพลง The Impossibles)


อย่างไรก็ตามชื่อ “Hot Pepper” ได้ถูกอาปุ๊ : ปราจีน ผู้เป็นหัวแรงหลักในงานเพลงชุดนี้ นำไปสานต่อด้วยการก่อตั้ง วงสองสาวประสานเสียงชื่อ “Hot Pepper Singers”ขึ้นมา มีเพลงดังอย่าง หัวใจสลาย, อยากลืมกลับจำ เป็นต้น ในขณะที่งานเพลงแผ่นชุด Hot Pepper นั้น เดี่ยวนี้กลายเป็นอัลบั้มหายากมา ซึ่งผมได้ข่าวว่าคอเพลงเก่าเขาเก็บเล่นกันเป็นหลักหมื่นทีเดียว

อัลบั้มเก็บตก

ในเดือนเมษายนปี 2519 หลังออกอัลบั้ม Hot Pepper มาได้ไม่กี่เดือน วงดิอิมพอสสิเบิ้ลส์ช็อคแฟนเพลงด้วยการประกาศยุบวงอย่างเป็นทางการ ทั้งๆที่ชื่อเสียงของวงนี้ยังคงหอมฟุ้งอยู่ จนใครหลายคนถึงกับอึ้งกิมกี่ว่า มันเป็นไปได้หรือนี่?


ครั้นเมื่อสมาชิกแต่ละคนต่างแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ในปี 2521 วงดิอิมได้มาบันทึกผลงานเพลงชุดใหม่ ในชื่อชุด“ผมไม่วุ่น”


ผมไม่วุ่น เขียนเนื้อร้องทำนองโดยครูสุรพล โทณะวณิก มีเพลงเด่นๆอย่าง ผมไม่วุ่น เห็นแล้วหิว มาจู๋จี๋กันไหม และ เมดเล่ย์อิมพอสซิเบิ้ล ที่เป็นการนำเพลงดังหนังไทยในอดีตคือ ชื่นรัก ลำนำรัก หนาวเนื้อ และโอ้รัก มารวมทำเป็นเมดเล่ย์ในเพลงเดียว แต่ทว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อีกอัลบั้มนี้ยังไม่มีเพลงทะเลที่เป็นดังเอกลักษณ์ของวงดิอิมอีกด้วย


แล้ววงดิอิมก็แยกย้ายกันไปอีกเป็นเวลานับ 10 ปี ก่อนจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง(ในช่วงปี 2535บางข้อมูลก็ว่า ปี 32,33)เพื่อออกอัลบั้ม “กลับมาแล้ว” ที่เป็นการนำเพลงดังในอดีตกลับมาร้องเล่นใหม่ในสไตล์ดิอิม ร่วมด้วยเพลงใหม่อย่าง “ศึกษาวิชารัก” “กลับมาแล้ว” และเพลงเก่าที่ยังไม่เคยบันทึกเสียงที่ไหนมาก่อน อย่าง “เขาใหญ่” ผสมเพลงของคนอื่นอย่าง “ใจประสานใจ” และ “แด่น้อง”


กลับมาแล้ว แม้จะกลับมาในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปแต่ดิอิมก็ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนเพลงพอสมควร ซึ่งตอนหลังได้มีการนำเพลงเก่าในชุดนี้ออกมาอีกครั้งในปี 2537 ทำเป็น 2 อัลบั้มคู่ “ดิอิมพอสซิเบิ้ลส์ 1994” คือ “เป็นไปไม่ได้” กับ “ขาดเธอขาดใจ” นับเป็นผลงานเพลงที่แม้จะไม่คลาสสิก ขลังเท่าต้นตำรับของตัวเองในอดีต แต่มันก็ช่วยคลายความคิดถึงของแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี


และนั่นก็คือผลงานเพลงของวงวงดิอิมพอสสิเบิ้ลส์ วงดนตรีที่ที่มีผลงานสตูดิโออัลบั้มไม่มาก สวนทางกับความสำเร็จชื่อเสียงที่พวกเขาได้รับจากอดีตมาถึงปัจจุบัน ซึ่งหากพูดถึงตำนานเพลงไทยสากลแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดถึง



                              “ดิอิมพอสสิเบิ้ลส์”


ข้อมูลส่วนหนึ่งในบทความนี้อางอิงจากหนังสือ รวมบทเพลง The Impossibles โดยปราจีน ทรงเผ่า



ขอบคุณ บอน บอระเพ็ด skbon109@hotm
    ด้วยความรักและชอบส่วนตัวครับ





จดหมายเหตุเรื่องกองทัพพายัพ ในสงครามมหาเอเซียบูรพา



จดหมายเหตุ

การปฎิบัติราชการในสงครามมหาเอเซียบูรพา

บันทึกจดหมายเหตุของ คุณฉบับ ชูจิตารมย์ ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ปลายสงครามมหาเอเซียบูรพา ใช้ภาษาและตัวเขียนภาษาไทยในครั้งนั้น เป็นการปฎิบัติงานของฝ่ายพลเรือนที่ไปสนับสนุนการสร้างทางให้แก่กองทัพพายัพ ที่ขึ้นไปปติบัติการในสหรัฐไทยเดิม

๔ ธันวาคม ๒๔๘๔

ก่อนสงครามมหาเอเซียบูรพา ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปติบัติงานด่วนอีก เมื่อสงครามยี่ปุ่น - อังกริด - ไทย ได้ร่วมรบเป็นพันธมิตรกับยี่ปุ่น การเดินทางคราวนี้เป็นไปอย่างเร่งด่วนมาก และได้ไปถึงตาก ข้ามน้ำปิง ถึงที่ปติบัติงานตำบลท่าช้างตายริมห้วยแม่ท้อ

๒๐ ธันวาคม ๒๔๘๔

มีคำสั่งบรรจุกำลังของ ผสส. (ผู้บันชาการทหารสูงสุด จอมพลป. พิบูลสงคราม) ให้ทำหน้าที่กำกับการสร้างทางลำลอง จาก ตาก ให้ถึง แม่สอด ภายใน ๓๐ วัน ถ้าไม่เส็ดจะพิจารนาโทสตามกดอัยการสึก การทำงานครั้งนั้นได้เป็นไปอย่างรีบเร่งมาก ได้เกนคนงานจากตาก สุโขทัย เถินและกำแพงเพ็ชร ประมาณ ๒ - ๓ พันคน ฝ่ายทหารมี พันโท.ม.ล.โอสด ทินกร และ ช.พัน ๓ ยย. และ ช.ยี่ปุ่น หนึ่งกองร้อย จึงได้แบ่งหน้าที่มอบหมาย ปติบัติไปตามส่วนและจัดการเส็ด รถยนต์ข้ามทิวขุนเขาจากตาก - แม่สอด - น้ำเมย - เมียววดี - กรุกกริกได้สดวก



๑ มีนาคม ๒๔๘๕

ระหว่างปติบัติงานได้มีเครื่องบินข้าสึกเข้าโจมตีสนามบินตาก ถูกเครื่องบินยี่ปุ่นไหม้ ๔ เครื่อง เครื่องบินไทย ๒ เครื่อง และถูกโจมตีที่สนามบินแม่สอด ถูกเครื่องบินยี่ปุ่นไหม้ ๑ เครื่อง ร้อยตรีทหารไทยตาย ๑ คน แล้วเครื่องบินข้าสึกยังได้ยิงกราดด้วยปืนกล ตามเส้นทาง แต่ไม่เกิดความเสียหายแต่ประการใด เมื่อ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๘๕ ได้กลับจากปติบัติการ รวมเวลาประจำการหยู่ประมาณ ๑ ปี ถึงได้มีคำสั่งย้ายไปประจำกองทางสนาม กองทัพพายัพ อีกตั้งแต่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๕ เป็นการออกคำสั่งล่วงหน้าก่อนงานเส็ด

ฉันรู้สึกท้อใจและเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากที่จะต้องไปประจำทำงานสนามบินอันเร่งด่วน เพราะเวลาปกติก็ได้ประจำแผนสำหรวด ได้ตรากตรำเดินทางบุกป่าผ่าเขาหยู่แล้ว ตลอดมาเป็นเวลาถึง ๑๐ ปี แม้นจะได้ร้องเรียนกับผู้บังคับบันชาบ้าง ก็มิได้รับความเห็นอกเห็นใจประการใด จึงจำต้องเดินทางไปทำหน้าที่ตามคำสั่งตาม กดอัยการสึก ได้เดินทางถึงกองทางสนาม กองทัพพายัพที่ตำบล ท่าขี้เหล็ก สหรัถไทยเดิม เมื่อ ๑ มกราคม ๒๔๘๖ แล้วได้รายงานตัวต่อนายชื้น ยงใจยุทธ หัวหน้ากองทางสนามกองทัพพายัพ แล้วได้รับคำสั่งให้ไปเป็นผู้ควบคุมทางตอน พยาค - เชียงตุง สำนักงานหยู่ที่ดอยจิ้งก่า เชียงตุง ฉันเป้นคนที่สุขภาพซาม และเป็นโรคโลหิตจาง เมื่อถูกอากาสหนาวทางสหรัถไทยเดิม กล่าวได้ว่าแทบเหลือทนเพราะจาก ๑๐.๐๐ น. เช้า ถึง ๑๖.๐๐ น. เย็นเท่านั้นที่พอมีแดดบ้าง นอกจากเวลานั้นก็ปกคลุมไปด้วย เหมย (หมอก) ตลอดเวลา บันดาพี่น้องชาวสหรัถไทยเดิมส่วนมากนับว่าผอมและสุขภาพไม่ค่อยดีเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าเขาใช้เครื่องนุ่งห่มไม่มากเหมือนพวกเรา การพูดจาคงรู้เรื่องกัน จะแตกต่างผิดเพี้ยนกันบางคำ และสำเนียงเท่านั้น วัธนธรรมของชาวเมืองเชียงตุง ถือแบบพม่า ส่วนเมืองนอก ๆ ชาวดอยคงเป็นไปตามสภาพไทยเดิม ตลอดจนอาหารการกิน ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ภูมิประเทสของสหรัถไทยเดิม ควรจะเรียกได้ว่าเป็นดินแดนแห่งป่าและภูเขา หากมีที่ราบลุ่มระหว่างเขาขึ้นสัก ๑ ตารางกิโลเมตร ตรงนั้นก็คงจะเกิดเป็นเมืองขึ้น เช่น เมืองเลน เมืองพยาค เป็นต้น เมื่อเข้ามาครั้งแรกได้ไปรายงานตัวกับพลโทจิระ วิชิตสงคราม แม่ทัพกองทัพพายัพ และประมานปลายเดือนมกราคม ๒๔๘๖ ผู้บันชาการทหารสูงสุด ได้ไปเยี่ยมถึงบ้านนารี แล้วกลับที่พักที่บ้านบนเขาท่าขี้เหล็ก ริม แม่สาย สหรัถไทยเดิม



๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๖

เชียงตุงได้ถูกโจมตีทางอากาสด้วยเครื่องบิน ๗ เครื่อง ที่พักกองทางสนามถูกยิงรอบ เกิดไฟไฟไหม้ป่า ต้องรื้อโรงเรือนบางหลังออก แต่ไม่เกิดความเสียหายแก่ชีวิต และทรัพย์สิ่งของประการใด เป็นเคราะห์ดีที่มีกองหิน อิด ที่รื้อตั้งไว้ สูงประมาน ๑ เมตร ฉันและคนงาน ๑ คน ได้อาลัยหลบกะสุนปืนกลจากเครื่องบินข้าสึกได้ เพราะยังมิได้จัดทำที่หลบภัย หย่างใด และได้พิจารนาเห้นว่า ที่ตั้งสำนักงานเก่าหยู่บนเขาเด่นชัด เป็นโรงยาวถึง ๓๐ เมตร จึงได้รื้อย้ายไปตั้งข้างเขาใต้ต้นไม้ พออาสัยกำบังได้บ้าง ต่อจากนั้นมาเชียงตุงก็ได้ถูกโจมตีเรื่อย แต่กองทางสนามปลอดภัย

เมื่อ พล.สคค. (กองพลสร้างทางคมนาคม) อันมีพันเอกพระอุดมโยธาธิยุต (สด รัตนาวดี) เป็นผู้บันชาการกองพล ได้ตั้งขึ้น ฉันได้รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกสากรม สคค.๑ ประจำที่ บ้านปางล้อ ตั้งแต่ เมษายน - พฤษภาคม ๒๔๘๖ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ควบคุมส้างทาง รับงานจากกรม สคค.๒ สายเมืองเลน - เมืองพยาค หยู่จนถึง ๓๐ มิถุนายน ๒๔๘๖ จึงได้ยุบ พล.สคค.



ฉันได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้ากองทางสนาม กองทัพพายัพประจำที่ สบปาง และท่าขี้เหล็ก จนถึง ๑๘ สิงหาคม ๒๔๘๖ ได้รับโทรเลขคำสั่งจาก ผสส. แต่งตั้งให้รักษาการหัวหน้ากองทางสนามกองทัพพายัพ และมีคำสั่งทัพบกสนามให้เข้าบันจุในอัตรากำลังพลกองทัพพายัพ จึงได้เข้ารับตำแหน่งจากนายชื้น ยงใจยุทธ แล้วปติบัติการต่อไป

การปติบัติการในขั้นต่อไปนี้ แม้แสนที่จะหนักใจเนื่องจากสถานะการน์ ขาดแคลนและถูกถอนพนักงาน เครื่องมือ เครื่องใช้ทุกอย่างไปเสีย ๓ ใน ๔ จึงก่อให้เกิดความหนักกายหนักใจแก่เจ้าหน้าที่ทุกชั้นอย่างยิ่ง เพราะทางที่ควบคุมมีระยะยาวประมาน ๓๒๐ กิโลเมตร แต่ก็ได้พยายามแก้ไข ฟาดฟันอุปสักกันไปเรื่อย ได้ปรับปรุงโยกย้ายเจ้าหน้าที่ และหยิบยืมเครื่องมือเครื่องใช้จากกองทัพพายัพ เข้าแก้ปัญหาจึงดำเนินการได้ตลอดมา

แม้ว่าเครื่องบินข้าสึกจะได้เปิดจากการโจมตีรบกวนอย่างกว้างขวาง และรุนแรงตั้งแต่ มีนาคม ๒๔๘๗ เป็นต้นมา บันดาข้าราชการ พนักงาน และคนงานของกองทางสนามคงอดทน ตั้งหน้าปติบัติหน้าที่โดยไม่ท้อถอยต่อการโจมตีของข้าสึก



๓๐ เมษายน ๒๔๘๗

เครื่องบินข้าสึกได้เข้าโจมตีท่าขี้เหล็กเป็นครั้งแรก ได้ทิ้งระเบิดที่สพานแม่สาย และที่กองทางสนามรวม ๒ แห่ง ฉเพาะกองทางสนามถูกทิ้งระเบิดสังหาร ๑๒ ลูก พัสดุซึ่งได้โยกย้ายสิ่งของไปแล้วส่วนมาก ถูกระเบิดพังแต่ไม่มีอันตรายถึงเสียชีวิต สิ่งของ รถยนต์ชำรุดเสียหายเล็กน้อย



๑ พฤษภาคม ๒๔๘๗

เครื่องบินข้าสึกได้เข้าโจมตีทิ้งระเบิดสพานแม่สายและยิงกราดซ้ำอีก แต่สพานแม่สายรอดอันตราย หน่วยอื่นเสียหายเล็กน้อย ลูกระเบิดตกพลาดที่หมาย เครื่องบินข้าสึกได้ออกล่าตามทาง ยิงรถยนต์ เกวียนและวัวต่างของทหาร จากแม่สายถึงเชียงตุง



๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗

เครื่องบินข้าสึกได้เข้าโจมตีทิ้งระเบิดสพาน แม่รวก สพาน เหมืองแหยง รวม ๖ ลูก ลูกระเบิดตกพลาดที่หมาย ต่อจากนั้นเครื่องบินข้าสึกได้ออกล่าตามทาง จากแม่สาย ยิงเกวียนกองสนาม ถูกวัวตาย ๓ ตัว บาดเจ็บ ๑ ตัว รถยนต์บรรทุก ๓.๖ ตัน ถูกยิงหลังคาทะลุ ๒ แห่ง วันนั้นฉันได้เดินทางไปตรวดงานที่เชียงตุงก่อนที่เครื่องบินข้าสึกจะโจมตีสพานแม่รวก ได้บินผ่านฉันที่พยาคเวลาประมาน ๑๔.๓๐ น. รวม ๗ เครื่อง โดยมิได้โจมตี ฉันได้รีบออกรถพ้นพยาคโดยด่วน เพราะมีรถยี่ปุ่นผ่านและจอดขวักไขว่มาก แต่พอวิ่งรถพยาค ๑๐ กิโลเมตร เวลาประมาน ๑๕.๐๐ น. ก็ได้เห็นเครื่องบินข้าสึก ๓ เครื่อง บินกวดมาทางหลัง ได้รีบสั่งหยุดรถข้างทางทันที แล้วออกวิ่งโดยเร็ว เพราะเครื่องบินทั้ง ๓ กำลังมุ่งหน้าจิกหัวตรงลงมา พอลุยน้ำข้ามถึงโกรกห้วย ฟ้าก็ผ่าดังสนั่น ฉัน นายเอี้ยงพนักงานขับรถ นายเทพนายจิตต์ ช่างทางได้หลบกันหย่างอกสั่นขวันหาย พอเงียบเสียงปืนเครื่องบินข้าสึก ก็ได้ร้องถามว่าใครได้รับอันตรายบ้าง ได้ความว่า พวกเราและคนงานปลอกภัยทุกคน ต่างปราสัยกันถึงความตื่นเต้นที่ได้รับ พูดยังไม่ทันทั่วคน ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินมาอีก ๑ เครื่อง และจิงหัวทันที่เมื่อเห็นรถจอดอยู่ คราวนี้พวกเราไม่ลุยน้ำข้ามโกรกห้วย ได้หลบกำบังอยู่ใต้หัวสพาน เพราะสดวกและปลอดภัยดีกว่า เครื่องบินข้าสึกได้ปล่อยกะสุนปืนกลขนาด ๑๒.๕ มม. ให้เราอีก ๑ ชุด เดชะคุณพระรัตนไตร และอำนาดแห่งความเสียสละของพวกเราเพื่อชาติ กะสุนปืนได้ตกพลาดไปหลังที่หมายทั้งรถและคนแคล้วคลาดไปหมด จึงเป็นที่น่ายินดีแก่พวกเรามาก แต่น่าเสียใจที่ได้เห็นพวกพนักงานบางคนที่ยังโง่เขลา หรือจะตื่นเต้นจนเกินเหตุไปก็ไม่ทราบ เพราะปรากดว่าได้หลบข้างริมโกรกห้วยที่ไม่มีกำบังเป็นที่อับกะสุน กะสุนเครื่องบินข้าสึกได้ตกคร่อมระหว่างเขาทั้ง ๒ อย่างน่าขวัญหาย และฝังบี้แบบอยู่ในดิน เขาทั้ง ๒ ได้พยายามขุดขึ้นมาได้คนละกอบ แล้วฉันจึงได้ชี้แจงวิธีหลบหาที่กำบังให้แก่เขา ให้เข้าใจเพื่อไว้ระวังรักษาตัวต่อไป ในวันนั้นได้เดินทางไปถึงเชียงตุงตามทางได่ผ่านรถยนต์ถูกยิง วัวตายและเจ็บ ที่ ท่าเจี่ยว เนื่องจากการล่าของเครื่องบินข้าสึกเช่นเดียวกันกับที่ฉันถูกมา แต่เป็นที่น่าเสียใจสำหรับเขา



๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๗

มีเครื่องบินตรวดการข้าสึก มาบินวนเวียนที่บริเวนท่าขี้เหล็ก และแม่สาย ประมาน ๒ - ๓ นาที แล้วหายไปทางเหนือ



๑๔ พฤษภาคม ๒๔๘๗

เนื่องจากเราได้เว้นการถูกโจมตีมา ๘ วัน ทำให้เกิดความประมาท จึงเมื่อประมาณ ๑๑.๐๐ น. พนักงานได้นำคนงานมา ขนของลงไปหลบภัยหลังที่พัก ฉันได้บอกว่าไม่เป็นไรกะมัง วันนี้ไม่ต้องก็ได้เพราะท้องฟ้ามีเมคเป็นพยับฝน จึงต่างก็ได้นั่งทำงานกันไปจน ๑๒.๐๐ น. จึงหยุด พอเวลา ๑๒.๑๐ น. อาหารได้ยกวางพร้อมบนโต๊ะ ฉัน นายบูรนะ และนายเกีรยติ ก็ได้เข้านั่งกินข้าว พอเปิบกันได้คนละช้อน ๒ ช้อน ก็ได้ยินเสียงค้องสัญญานหลบภัยแม่สายดังขึ้น ผู้คนต่างพากันวิ่งเข้าหลุมหลบภัย ฉันชักไม่พอใจเพราะการวิ่งหลบภัยของคนงานมักเป็นเด็กเลี้ยงแกะ (แตกตื่น) ไม่จิงอยู่บ่อย ๆ จึงได้ถามว่า วิ่งทำไมกัน เขาบอกว่ามีสัญญานหลบภัย ขนะนั้นพอดีได้ยิน แตรเหตุสำคัญของทหาร เป่าอีก ฉันก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อว่าเครื่องบินจะมา แต่ได้หิ้วกระเป๋าหนังขนาด ๒ ฟุดครึ่ง ซึ่งได้ใส่เงินและสิ่งของใบสำคัญที่รวบรวมไว้จากการใช้จ่ายเงินตอนเชียงตุง - พยาค - ยอง ยังไม่ได้ลงทะเบียนเข้าปึก จึงได้วางไว้ที่หัวบันไดก่อนแล้ววิ่งลงมาดู เพราะได้ยินเสียงหึ่ง ๆ พอลงกลางถนน ก็เห็นเครื่องบินข้าสึกเป็นหมู่ ๆ เลยแม่สายไปตามลำน้ำโขง ประมาณ ๑๖ เครื่อง กำลังแปรขบวนทำวงเลี้ยวกลับจิกหัวหาแม่สายเป็นหมู่ละ ๓ เครื่อง





ขนะนั้นฉันใจหาย ครั้งจะกลับขึ้นบ้านรวบรวมของก็ไม่ทันแล้ว จึงได้วิ่งเข้าหลุมข้างเสาธง ซึ่งได้ขุดทำขึ้นใหม่ เวลานั้นในหลุมที่ฉันอยู่ มีฉัน นายเกียรติ นายสมคิด พลทหาร ๑ คน และคนงานไม่ซาบชื่ออีก ๓ คน


ฝูงบินข้าสึกได้จิกหัวมาหมู่ละ ๓ เครื่อง พอปรากดเสียงเครื่องบิน บนหลุมก็มีเสียงกำปนาทของลูกระเบิด และปืนกลดังอย่างหูดับตับไหม้ เสียงเปรี้ยง ๆ แล้วก็ตึง ๆ ๆ ตูม อาการสท้อนสเทือนของอำนาดลูกระเบิดทั้งเล็ก และใหย่ ทำให้คนภายใน ซึ่งก้มฟุบหยู่ตามก้นร่องหลุม ตัวสั่นสเทือน และกะท้อนขึ้นลง ดินที่ถมไว้บนหลุมได้ไหลพังลงเรื่อย ๆ หมู่หนุ่งแล้ว ก็หมู่ต่อไป จนหมด ๕ ฝูง ขนะนั้นผู้อยู่ภายในหลุมทุกคน ต่างระลึกและสาธยายคุณพระรัตนไตรกันพึมพำ บางขนะได้ยินเสียงร้องแสดงความตกใจ บ้างก็วิ่งออกมาข้างนอก เนื่องจากความตื่นเต้นอย่างสุดขีด ฉันได้ยึดและปลุกขวันไว้ โดยให้สติว่า เราทุกคนทำงานด้วยความบริสุทธิ์ เพื่อชาติ - ศาสนา - พระมหากสัตริย์ และรัถธัมนูญ ฉะนั้น ผลแห่งการปติบัติหน้าที่นี้ คงปกป้องบันดาลให้เราแคล้วคลาดได้โดยแน่นอน หลบหยู่ประมาณ ๑๐ นาที เมื่อเงียบเสียงระเบิด ฉันจึงค่อย ๆ โผล่หัวออกมาจากหลุม เพราะเข้าใจว่า เครื่องบินข้าสึกกลับหมดแล้ว ขนะนั้นได้มีนายสมคิด นายเกียรติ และทหารตามออกมาด้วย การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ พอมองไปรอบ ๆ ถึงทางด้านแม่โขง - แม่สาย



ปรากดว่าเครื่องบินข้าสึกได้แยกออกปติบัติการเดี่ยวเป็นเครื่อง ๆ บินทำวงทยอดกันมาอีก จึงได้สั่งให้รีบเข้าหลุมเดิม ขนะนั้นมีเรื่องหน้าขันเกิดขึ้น คือนายสมคิดซึ่งได้ออกมาดูข้างนอก ต้องการจะเข้าหลุม แต่นายเกียรติยังหยากมองดูอีก จึงเกิดขวางทางกันตรงปากช่องเข้าหลุม นายสมคิดได้เอะอะนายเกียรติเสียงลั่น แม้จะขันบ้างแต่ไม่ปรากดอาการแม้แต่ยิ้ม เพราะยิ้มไม่ออก ฉันได้บอกให้นายเกียรติรีบเข้าไป เพราะเครื่องบินข้าสึก ได้ชักโขลงเรียงหนึ่งลงมาแล้ว เกือบจะช้าไปบ้างเพราะพอฉันซึ่งเป็นคนเข้าสุดท้ายเข้าไปในหลุม ก็ปรากดเสียงปืนจากเครื่องบินข้าสึกดังขึ้น พร้อมด้วยลูกระเบิดตกที่สพานแม่สาย ต่อจากนั้น ทั้งหลุมแทบจะหมดสติสมปรึดี เพราะลูกระเบิดได้ตกไม่ขาดระยะ ดินและต้นหญ้าที่ถมไว้บนหลุมหนาประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ซึ่งได้ถูกระเบิด กะจาย กะเด็นออกในตอนแรก ๆ จนมีสีแดงเหมือนขุดใหม่ เหลือบางอยู่แล้วนั้น เมื่อได้ถูกซ้ำเติมอย่างชนิดลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ก็ย่อมกะเด็นกระจายไป..... ตูม - ตูม - ตูม ดินข้างหลุมได้พังถล่มไหลท่วมสีข้างฉันขึ้นมา มิหนำดินข้างบนได้รั่ว ร่วงพรู ไหลกลบมาบนหัวบนหลังอีก ฉันตกใจและขยับตัวขึ้น และยิ่งตกใจอย่างสุดขีด ที่คนงานคนหนึ่งได้ร้องขึ้นว่า "หลุมพังทับตายแล้ว" และจะวิ่งออกมา ฉันได้ให้นายเกียรติจับตัวไว้ เพราะเวลานั้นไม่เห็นกันเลย ควันดินระเบิดได้อบเต็มหลุมไปหมด หายใจแทบไม่ออก เมื่อเหลือบตาขึ้นข้างบน ก็เห็นแสงสว่างทะลุเข้ามาตามรูที่ระเบิด ดินไหลลงมาทับตัว รู้สึกเหมือนกับจะเป็นลม แต่ปากก็คงตะโกนห้าม และให้สติอยู่เสมอ ในปากและจมูก เต็มไปด้วยทราย ขนะนั้นขากันไกรฉันได้หยุดแข็งขึ้นมาทันที และรู้สึกตัวว่า กะท้อนขึ้นพร้อมกับเสียงระเบิดขนาดหนัก ซึ่งฉันซาบภายหลังว่า ได้ตกที่หัวหลุม



เพื่อนร่วมตายของฉันที่หลุมบนห่างประมาณ ๕ เมตร หูดับหมด ดินก็ไหลเรื่อยจนฉันรู้สึกว่าเราจะถึงที่อับจนเสียงแน่ กะมั่ง

ขนะนั้นเสียงเครื่องบินข้าสึกได้ดังห่างไป เสียงระเบิดและอาการกะเทือนยังมีอยู่ทุกคนพยายามสงบใจนิ่ง เวลานั้นทุกคนเหมือนตายหมด ฉันสติดีขึ้นได้เอื้อมมือไปจับนายสมคิด เรียกก็ไม่ตอบ จึงเขย่าจึงได้รับตอบ และถามว่าใครเป็นอย่างไรบ้างก็เงียบ จึงเรียกนายเกียรติ ดีใจมากที่นายเกียรติปลอกภัย พอเงียบเสียงเครื่องบินข้าสึกในอากาสว่าไปหมดหรือยัง เพราะขนะนั้นหูยังดับ ไม่ค่อยได้ยิน ก็ได้ยินเสียงแหลมของนายเกียรติ ร้องตะโกนดังสุดขีดว่า "ลูกระเบิดใหย่ อยู่ริมหลุมข้างหลัง" แล้วก็ออกวิ่งตื๋อไป ฉันเหลียวขวับไปทันที "โอ้โห!" ดำอึ้ดทึ้ดแอบหยู่ข้างหลุม มองเป็น "ผีท้องขึ้น" ทีเดียว ฉันตกใจ ในหลุมก็แทบหมดสติสมปรึดีอยู่แล้ว เมื่อมาถูกเช่นนี้ รู้สึกคล้ายพบมัจจุราช เพราะขนะนั้นแม้เครื่องบินข้าสึกจะหายไปแล้วก็ดี แต่เสียงระเบิดก็ยังดัง ตูม - ตูม - ตูม..... อยู่เป็นระยะ ๆ ทั่วไป เพราะบางลูกเป็นระเบิดช้า รู้สึกคล้ายกับจะหมดกำลังเรี่ยวแรง แต่เมื่อเห็นพวกเรา ต่างวิ่งกันไม่คิดชีวิต ฉันก็ไปกับเขาได้เหมือนกัน ทีแรกว่าจะวิ่งขึ้นไปบนเขาหลังที่พักตามพวกเราไป แต่กำลังกายใจไม่ให้ทำได้ เมื่อได้วิ่งลุยซากบ้านเรือนที่พังไปถึงข้างหลุมเพื่อนเราที่หลุมบน ได้รีบร้องตะโกนบอกให้ออกจากหลุม เพราะไม่แน่ว่า อ้าย "ผีท้องขึ้น" นั้นจะระเบิดขึ้นมาเมื่อใด เมื่อบอกแล้วเข้าก็วิ่งขึ้นเขากันไปแล้ว ฉันจึงไม่สามารถตามเข้าไปได้ จึงวกไปอาศัยหลุมตำหรวดหลังบ้าน เมื่อลงไปในหลุม ปรากดว่าหลุมเต็มปรี่ ก็อาศัยซุกหัวกันสเก็ดระเบิดเขาหน่อย และได้บอกว่าลูกระเบิดขนาดใหย่ยังไม่ระเบิด หยู่ที่ข้างหลุมฉันอีกหนึ่งลูก ขนะนั้นเสียงระเบิดยังดังตูมตาม และเสียงหวือหวือของสเก็ดระเบิดยังคงปลิวว่อนอยู่ และพลตำหรวดนายหนึ่งก็แย้มขึ้นมาว่าได้ยินเสียงตูมใกล้ ๆ หลุมนี้ครั้งหนึ่ง เข้าใจว่าลูกระเบิดตกแต่ยังไม่แตกเช่นกัน เลยไม่มีใครยอมออกจากหลุม จนเวลาได้ล่วงไปประมาน ๓๐ นาที ฉันทนไม่ไหว ประกอบด้วยเสียงระเบิดได้ห่างลงมากแล้ว จึงออกจากหลุม ก่อนอื่นรีบเพ่งสายตามองอ้ายผีท้องขึ้นก่อน



ภาพที่เห็นปรกดขนะนั้นคล้าย ๆ กับว่า มันนอนยิ้มเพล่หยู่ เลยไม่รู้จักทำอย่างไร จะไปข้างไหนก็ไม่กล้า จนเวลาล่วงไปอีกประมาน ๑๕ นาที ก็เริ่มมีคนเดินถนนและจะผ่านไปทางอ้ายผีท้องขึ้นนั้น ฉันจึงรีบตะโกนบอก พอพวกเขาแลเห็นก็ออกวิ่งอย่างสุดลิดธิจนเวลาล่วงไปอีกราว ๑๐ นาที ผเอินมีทหาร เหล่าช่างแสง ชั้นร้อยเอกหนึ่งนายผ่านมา ฉันได้รีบบอกไปอีกและ ท่านผู้เสียสละชีพเพื่อชาติได้เตรียมเครื่องมือมาพร้อมแล้วได้รีบวิ่งเข้าไปไขชนวนออก พอเส็ดก็บอกว่าปลอดภัย ฉันหายในโล่งอก แต่เมื่อมองไปเห็นมันนอนอยู่ก็ยังคงไม่สบายใจอยู่นั่นเอง จนกะทั่งทหารได้นำรถยนต์มา และขอคนช่วยยกขึ้นรถยนต์ ฉันรีบสั่งการเร็วจี๋ เพื่อขอให้มันพ้นไปเสียที ใช้คน ๖ คน ก็ไม่ไหว ต้องใช้ถึง ๘ คน ก็ล่อก็อึกอัก ฉันหยากช่วยเต็มแก่ แต่ใจยังไม่ดีและยังละเหี่ยหยู่มาก พอรถเอาไปแล้วก็สบายใจหน่อย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า มันจะมีพวกอ้ายผีท้องขึ้นนี้ไปนอนอึ้ดทึ้ดหยู่ที่ไหนอีก และการน์ก็จริงดังว่า เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ได้ตรวดค้นในวันต่อมา ปรากดว่ามีอ้ายผีท้องขึ้นชนิดนี้ประมาน ๓ - ๔ ลูก นอนกลิ้งอยู่ แต่ลูกที่ข้างหลุมฉันท่านร้อยเอกผู้กล้าหาญได้บอกว่าขนาดหนัก ประมาน ๕๐๐ ปอนด์ หรือ กิโลกรัมไม่แน่



เมื่อเส็ดพิธีเชินอ้ายผีท้องขึ้นไปรถแล้ว ปรากดว่าฉันไม่สามารถปติบัติการอย่างไร..... บอกไม่ถูก มองไปทางใดก็ราบเรียบพังทลาย เสียงไฟไหม้โรงเรือนและควันยังขึ้นโขมงหยู่ จึงได้พากันไปดูบันดาเอกสารใบสำคัญ และสิ่งของต่าง ๆ ปรากดว่า แตกหัก หลุด พัง กะจัดกะจายละเอียดไม่มีชิ้นดี กระเป๋าหนังขนาด ๒ ฟุดครึ่ง ได้แตกละเอียดปลิวหายไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มองหาโต๊ะอาหารปรากดว่า แหลก เขาไปทาง พื้นกะจาย ถ้วย จาน ชามแตกละเอียด จานสังกะสีขาดเหลือครึ่งใบบ้าง ปลิวหายไปบ้าง ซ่อมช้อนไม่มีเลย ข้าวก็ไม่ได้กินและก็ไม่หิวด้วย กะเป๋าหนังขนาด ๒ ฟุดครึ่ง ซึ่งบันจุใบสำคัญและสิ่งของมีราคา อันเคยหิ้วลงหลุมพร้อมกันทุกคนนั้นแหลกละเอียด เพราะหิ้วไปไม่ทัน ได้เอาวางไว้หัวบันไดจึงแหลกหมด มองดูมุ้ง ที่นอนกะจุยกะจาย ท่อนไม้ กะเบื้อง ก้อนดิน เต็มไปหมด มีควันไฟพลุ่งขึ้นที่ใต้ถุน จึงพากันดับแล้วได้ช่วยกันรวบรวมเท่าที่มีเหลืออยู่เข้าเป็นกลุ่ม กองยัดใส่กะสอบ และปรึกสากันว่าจะไปนอนที่ไหน จะไปตั้งที่ทำการที่ใด เสบียง ๙๙% ขอให้ย้ายออกนอกเขตสหรัถไทยเดิม ฉันพยายามชี้แจงว่า ควรย้ายเข้าในเขตสหรัถไทยเดิมเพราะใกล้เขตงาน ได้โต้แย้งเหตุผลกันอยู่นาน ไม่ตกลง ฉันจึงตกลงใจสั่งให้ย้ายไปตั้งที่ทำการที่ วัดบ้านแก้ว ในเขตสหรัถไทยเดิมลึกเข้าไปอีก ๑๑ กิโลเมตร และได้ให้ขนย้ายสำนักงานแต่ในคืนนั้น



ส่วนฉันคงนอนเฝ้าอยู่ท่าขี้เหล็กเพราะไม่มีคน สำหรับ ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๘๗ เครื่องบินข้าสึกได้โจมตีเฉพาะสพาน และฝั่งท่าขี้เหล็กเท่านั้น พอรุ่งขึ้น ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๘๗ เช้า ต่างคนก็เตรียมหีบห่อไปเข้าถ้ำ ขึ้นเขา หลบภัยกันหมด เพราะกลัวเครื่องบินข้าสึกจะมาโจมตีซ้ำเติม ฉันคงยังอยู่เพราะไม่มีใครอยู่ พอ ๑๑.๐๐ น. ล่วงไปแล้ว อกในให้ระทึกอยู่ตุ๊บ ๆ หูก็แว่วได้ยินอยู่แต่เสียงเครื่องบิน เสียงรถยนต์วิ่งมาก็ขยับวิ่งจะเข้าหลุม พอเวลา ๑๒.๐๐ น. ก็ยังเงียบ วันนี้ฉันหยู่กับนายเกียรติ นายจัน พนังงานขับรถยนต์ นายส่ง พนักงานสถิติ และนายพล พนักงานขับรถบด เมื่อยังไม่มีวี่แววประการใด จึงได้ให้ ๓ คนนี้ไปหุงหาอาหารกลางวัน เขาไปจัดการกันได้ประมาน ๒๐ นาที ค้องสัญญานภัยอากาส ที่แม่สายก็ดังขึ้น พวก ๓ คน ได้พากันวิ่งมาที่หลุมที่ฉันอยู่ (หลุมของตำหรวด) ทิ้งกะทะผัดหมูไว้บนเตา มาอยู่ที่นั้นประมาน ๒ นาที ก็ไม่ได้ยินอะไรฉันจึงบอกให้ไปเอากะทะลงเสีย เขาได้พากันเดินไป พอถึงถนนได้พากันมองไปทางเมืองพยาค



ขนะนั้นฉันนั่งหยู่ที่โรงตำหรวด พอเสียงตึ้กตั๊ก ฉันเหลียวไปดูเขา ๓ คน ได้วิ่งน่าตื่นกลับมา ละล่ำละลักบอกว่า "มันมาแล้ว" หลายหมู่ (วันนั้นมา ๙ เครื่อง) ฉันจึงได้ยินเสียงกะหึ่มใกล้เข้ามา จึงได้ค่อยมองดู มันมาคราวนี้ได้บินตามแนวทาง ไม่ได้มาตามน้ำโขงอย่างคราวก่อน พอใกล้จะถึงท่าขี้เหล็ก - แม่สาย ก็ดำจิกหัวลงมาทีเดียว ฉันสารภาพว่า วันนี้กำลังใจฉันเสื่อมซามยิ่ง ความเข้มแข็งแทบจะไม่มีเหลืออยู่ เมื่อได้ลงอยู่ในหลุม ก็ได้แต่ระลึกถึงคุณพระรัตนไตร คุณบิดามารดา ต่าง ๆ และคิดว่าเราจะตายเสียวันนี้กะมัง ชักใจเสียมาก เมื่อมันบินผ่านคงได้เห็นว่าโรงเรือน กองทางสนามพังเคฉิบหายหมอแล้ว จึงมิได้ทำอะไร พอเลยไปเข้าใจว่าคงเห็นสพานแม่สายยังหยู่ดี มันก็เลี้ยวกลับ และอาการสท้อนกะเทือนก็ได้เกิดขึ้นทันที เพราะมันเริ่มโปรย ลูกระเบิดทำลาย ขนาดหนักลงมาตั้งแต่หัวตลาดแม่สายฝั่งใต้ ถึงแถบฝั่งตะวันออก เป็นระยะห่างกันลูกละประมาน ๕๐ เมตร จนถึงสพานแม่สาย ก็ได้หย่อนขนาดหนักลงประหัดประหารสพานอย่างเหี้ยมโหดเป็นครั้งที่ ๔ เดชคุณพระรัตนไตร และไทยเทวาธิราช คุ้มครองสพานแม่สาย จึงได้แคล้วคลาดไปได้ในครั้งนี้ ส่วนตลาดแม่สายฝั่งตวันออก ได้เริ่มเกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง แม้กะนั้นเครื่องบินข้าสึกก็มิได้หยุดยั้ง เวียน ทิ้งระเบิดและยิงกราดด้วยปืนกล ไปมาหยู่ตลอดเวลา จนเห็นว่าพระเพลิงได้กะพือฮือโหมโชติช่วงเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็เกาะฝูงชักโขลงกลับด้วยความเบิกบานใจ



เมื่อเงียบเสียงเราต่างพากันโผล่ออกจากหลุมมองไปรอบ ๆ ได้เห็นควัน แสงไฟลุกพุ่งหยู่ที่ตลาดแม่สาย จะไปช่วยก็ไม่ได้เพราะไม่มีคนเฝ้าดูแลสิ่งของ ที่เรี่ยราดกะจัดกะจายทั่วไป ได้แต่นึกภาวนาเอาใจช่วยให้ไฟระงับลงเสียโดยเร็วเถิด แล้วได้พากันไปที่โรงพัสดุเพราะบ่ายลงมากแล้ว แต่ไม่มีอาการหิวเลย มีแต่โหยละเหี่ยใจ ตื้นตันเมื่อไปถึงปราดว่ากะทะไหม้คาเตาหยู่ จึงช่วยกันจัดทำอีกพักหนึ่งก็ร่วมวงกินกัน ปรากดว่า ทุกคนกินไม่ลง ต่างนั่งกรอกไปตามมีตามเกิดกันหิว พอเส็ดอาหารแล้ว ฉันได้ชวนนายเกียรติไปตรวจสภาพสพานแม่สาย เมื่อเดินเกือบถึงสพานได้เกิดเสียงระเบิดตูมใหย่ขึ้นข้างหลัง กิ่งอำเภอ ได้ความว่าเป็น ลูกระเบิดเวลา ของเครื่องบินข้าสึกทิ้งไว้ จึงปรึกสากันว่าจะควรไปหรือไม่ ได้มีทหาร พลเรือน เดินกลับหลายคน แต่เราคงพากันเดินต่อไปจนถึงสพาน เมื่อตรวจพิจารนาแล้วเห็นว่าสภาพเช่นวันก่อน จึงเดินเลยไปที่ตลาดไฟไหม้ เมื่อไปถึงไฟเริ่มโซมเพราะหมดไปหนึ่งแถบแล้ว เหลือหัวบ้านอีกเล็กน้อย ได้ไปเยี่ยมหน่วยโทรสัพท์ พบตายหนึ่งบาดเจ็บสาหัสหนึ่ง เจ็บเล็กน้อย ๒ แล้วได้กลับขึ้นท่าขี้เหล็ก พอตกบ่ายรถยนต์ซึ่งได้ไปหลบภัยก็วิ่งกลับมา ก็ได้ข่าวว่า ในเที่ยวกลับเครื่องบินข้าสึกได้ร่อนกราดตามทาง และหมู่บ้านข้างทางตลอดไป ฉันจึงขึ้นรถไปบ้านแก้ว ได้รับรายงานของนายบูรนะ และพนักงานทุกคนว่า หยู่ไม่ได้แล้ว และหน่วยกองทางสนามเป็นจุดหมายทำลาย เพราะมีเครื่องมือเครื่องใช้มาก ควรหลบหลีกให้ปลอดภัยเพราะในสหรัถไทยเดิมดาดดื่นไปด้วย แนวห้า (หน่วยจารกรรมของฝ่ายข้าสึก)



ฉันรับซาบแล้วได้กลับมานอนท่าขี้เหล็ก พิจารนาตกลงใจว่าควรจะย้าย จึงได้ออกตรวจหาสถานที่ในรุ่งขึ้นแต่เช้า พอข้ามสพานแม่สายก็พบกับเสนาธิการกองทัพพายัพ และผู้บังคับหน่วยทหารช่างกองทัพพายัพ จึงได้รายงานเหตุการทั้งมวล เสนาธิการกองทัพพายัพบอกว่าควรจัดหาสถานที่ย้ายใหม่ ผู้บังคับหน่วยทหารช่างบอกว่าควรไปหยู่แถว วัดขัวแคร่ ฉันได้ตอบว่า จะไปตรวจและพิจารนาดูก่อน จึงได้ลามาตรวดเห็นว่าที่ วัดห้วยไคร้ พอเหมาะดี และห่างเขตงานไม่มากนัก จึงได้จัดการย้ายที่ทำการมาจาก บ้านแก้ว แต่ในคืนวันที่ ๑๖ ส่วนฉันยังนอนท่าขี้เหล็ก

หลังจากท่าขี้เหล็กถูกโจมตีเมื่อ ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๘๗ แล้วคืนนั้นทหารได้ส่ง ปตอ. (ปืนต่อสู้อากาสยาน) ได้ตั้งที่บนเขาหลังที่ทำการกองทางสนาม ๒ กะบอก และได้เริ่มยิงต่อสู้ในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ จึงทำให้กองทางสนามเป็นที่หมายสำรอง ในการที่เครื่องบินข้าสึกจะโจมตีต่อสู้กับ ปตอ. ของเรา ซึ่งย่อมจะมีลูกหลงไม่ใช่น้อย จึงได้รีบย้ายน้ำมันในหลุมทุกชนิดในคืนนั้นโดยเร็ว การทำงานไม่สะดวก มีเวลาแค่กลางคืน การบันทุกก็มากไม่ได้เพราะสะพานแม่สายชำรุด คนงานหลบหนีหมดเกนไม่ได้เลย แม้แต่พนักงานของเราก็ใจไม่ดี ส่วนมากฉันได้ขับรถและช่วยขน อำนวยการโดยเร่งรีบ และจำต้องปลูกส้างขนย้าย ยุดโทปกรณ์ที่ชำรุด แม้นการตรวจสอบความเสียหายก็ไม่มีเวลา ซ้ำต่างก็ป่วยไข้ไปตาม ๆ กัน พอย้ายมาหยู่ห้วยไคร้ได้ ๕ วัน ก็มีเครื่องบินตรวดการข้าสึกเข้ามาร่อนวนเวียนอีก ก่อให้เกิดความตื่นเต้นแก่พวกเรา และพอหยู่ได้ ๑๑ วัน ถึงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๗ เวลา ๑๒.๐๐ น. ขนะที่ฝนกำลังตก ได้มีเครื่องบินข้าสึก ๔ เครื่อง เข้าโจมตีสพานแม่สาย และยิงกราดท่าขี้เหล็ก - แม่สาย เกิดความเสียหายแก่สพานแม่สายเพิ่มขึ้น และสิ่งของเสื้อผ้าพนักงานที่อยู่เฝ้าโรงงานถูกยิงทะลุแตก ขาด เสียหาย คราวนี้เครื่องบินข้าสึกมุ่งทำลายฉเพาะสพานเป็นส่วนใหย่ จึงไม่ใคร่มีความเสียหายแก่หน่วยใด ๆ เกิดขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

รวมบทวิเคราะห์เรื่องพระเจ้าพรหมมหาราช เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเมืองพยาว

สุจิตต์ วงษ์เทศ คัดตัดตอนและปรับปรุงจาก

                      พระเจ้าพรหม "วีรบุรุษในตำนาน" ของโยนกล้านนา
พระเจ้าพรหม เป็นชื่อ "วีรบุรุษในตำนาน" ไม่มีหลักฐานว่ามีตัวตนจริง แต่ประวัติศาสตร์ฉบับ "ล้าหลัง-คลั่งชาติ" ของทางการ ยกย่องและเชื่อถือว่ามีตัวตนอยู่จริงๆ แล้วยอยกเป็น "มหาราช" องค์แรกในประวัติศาสตร์ไทย เรียกพระเจ้าพรหมมหาราช


เมื่อไม่มีหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี มาเป็นพยานสนับสนุน เรื่องพระเจ้าพรหมก็เป็น "ความเชื่อ" ของผู้คนในตระกูลไทย-ลาวกลุ่มหนึ่งที่อยู่ทางทิศเหนือ แล้วแพร่กระจายลงทางทิศใต้สู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในยุคหลังๆ
ความเชื่อเรื่องพระเจ้าพรหม มีมาแต่ครั้งไหน? เมื่อไร? ไม่มีหลักฐาน ฉะนั้นไม่มีใครตอบได้ชัดเจน แต่น่าเชื่อว่ามีมาแต่ครั้งหลังรับ "ศาสนา" จากชมพูทวีป เพราะคำว่า "พรหม" ไม่ใช่ชื่อพื้นเมือง หากได้มาจากนามเทวดาของพวกที่เคารพนับถือฮินดู-พุทธ อนึ่ง "พรหม" ยังเป็นชื่อต้นกำเนิดมนุษย์มีอยู่ในพระธรรมศาสตร์ที่ได้จากพระมโนสารฤาษีแห่งรามัญประเทศด้วย

ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑) มีความเชื่อเรื่องพระเจ้าพรหมเป็น "ปฐมบรมกษัตริย์" อยู่แล้ว เพราะเมื่อคราวที่โปรดให้ตั้งเมืองนครไชยศรี (ที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม) ก็ได้ชื่อนี้มาจากนามพระเจ้าไชยศิริ เมืองเชียงแสน (ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) ซึ่งเป็นโอรสพระเจ้าพรหม แล้วเชื่อกันมาแต่ครั้งก่อนหน้านั้นว่าเสด็จหนีการรุกรานจากชนกลุ่มอื่นมาก่อบ้านสร้างเมืองอยู่ที่นั่น

แต่มีเอกสารชุดหนึ่งของชาวยุโรป แสดงให้รู้ว่าชาวพระนครศรีอยุธยาจำนวนหนึ่ง มีความเชื่อว่าพระเจ้าพรหมเป็น "ปฐมบรมกษัตริย์" ของพวกตนมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๒-๒๑๙๙) คือเอกสารของ วัน วลิต, ตาชาต และลาลูแบร์

พรหมเทพ"


ในเอกสาร วัน วลิต

วัน วลิต เป็นพ่อค้าชาวฮอลันดา เดินทางเข้ามาประจำสำนักงานการค้าอยู่ที่พระนครศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๖-๒๑๘๕ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น แล้วเรียนรู้ภาษาไทยด้วย นิทานเรื่อง "ปฐมบรมกษัตริย์" ของชาวสยามแห่งกรุงศรีอยุธยาที่จดไว้ เขาคงฟังมาจากคำบอกเล่าของชาวพระนครศรีอยุธยา ทั้งที่เป็นขุนนาง ข้าราชการและพ่อค้าประชาชนสมัยนั้น อาจกล่าวว่ามีการบันทึกนิทานเรื่อง "พระเจ้าพรหม" เป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าที่สุดก็ได้ มีความตอนหนึ่งว่า

"มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ พรมเทพ (Fra Mae Thip) เป็นผู้สร้างอาณาจักรสยาม เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรก เป็นผู้ออกกฎหมายและก่อตั้งศาสนา แต่เนื่องจากความชั่วร้ายและดื้อดึงของมนุษย์เรา พรมเทพได้สละราชอาณาจักรและตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดิน ทรงหนีไปอยู่ที่ภูเขาและสิ้นพระชนม์ที่นั่น หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ราชอาณาจักรก็เริ่มเสื่อมลง จนกระทั่งได้กลายเป็นแผ่นดินที่รกร้างอีกครั้งหนึ่ง"

พระเจ้าพรหม
ในพระราชพงศาวดาร

ครั้นต่อมาจะเป็นด้วยเหตุประการใดไม่แจ้ง กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์พระราชพงศาวดารสังเขปขึ้นมาใหม่ มีความต้นเรื่องต่างกับพงศาวดารกรุงสยาม (ของรัชกาลที่ ๒)

เริ่มด้วยกษัตริย์เมืองเชียงรายพ่ายศึก ได้อพยพชาวเมืองเชียงรายหนีลงมาทางทิศใต้ แล้วสร้างบ้านเมืองใหม่บริเวณเมืองแปบ ซึ่งเป็นเมืองร้างอยู่ริมแม่น้ำปิง (อยู่คนละฟากเมืองกำแพงเพชรปัจจุบัน) ภายหลังให้ชื่อใหม่ว่าเมืองไตรตรึงษ์ ต่อมามีลูกเขยเป็นสามัญชนคนเข็ญใจชื่อ นายแสนปม ได้เป็นกษัตริย์เมืองเทพนคร พระนามว่าสมเด็จพระเจ้าศิริชัยเชียงแสน มีโอรสชื่อ เจ้าอู่ทอง ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระรามาธิบดี ผู้ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา

ถ้าพิจารณาความต้นเรื่องของพระราชพงศาวดารสังเขป ฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสให้ละเอียด จะพบว่ามีตำนาน ๒ เรื่องอยู่ปนกัน

ตอนต้น เป็นเรื่องพระเจ้าพรหม (ผู้พ่อ) จากดินแดนแคว้นโยนกบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำกก-อิง-โขง ขับไล่ขอมดำลงมาถึงดินแดนเมืองกำแพงเพชร กับเรื่องพระเจ้าไชยสิริ (ผู้ลูก) แห่งเมืองโยนกนครศรีช้างแสน และเวียงไชยปราการ ถูกกษัตริย์เมืองสุธรรมวดี (สะเทิม อยู่ในพม่า) โจมตีขับไล่หนีลงมาถึงดินแดนเมืองกำแพงเพชรเช่นเดียวกับพระเจ้าพรหม (ผู้พ่อ) ทั้ง ๒ เรื่องนี้มีอยู่ในตำนานสิงหนวติกุมาร

ตอนปลาย เป็นนิทานท้องถิ่น บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เรื่องท้าวแสนปม ที่สืบเชื้อสายลงมาเป็นท้าวอู่ทอง

ความเชื่อเรื่องพระเจ้าพรหมแคว้นโยนก เป็นต้นเค้าราชวงศ์กษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา มิได้เพิ่งมีเมื่อกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์พระราชพงศาวดารสังเขปนี้เท่านั้น หากมีร่องรอยมาแต่กรุงศรีอยุธยาแล้ว ตั้งแต่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้ตั้งเมืองนครชัยศรี ก็เอาชื่อเมืองมาจากเค้าความเชื่อเรื่องพระเจ้าไชยศิริ เมืองเชียงแสน ซึ่งเป็นโอรสพระเจ้าพรหม แม้ในเอกสาร วัน วลิต ก็ระบุนิทานเรื่องพรมเทพ ส่วนเอกสารของตาชาตกับลาลูแบร์แม้จะไม่ชัดเจนโดยตรง แต่ก็มีร่องรอยของการเคลื่อนย้ายจากสองฝั่งโขง แต่ที่ชัดเจนคือเอกสารชื่อ พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน ที่ชาวล้านนาแต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า พระมหากษัตริย์อยุธยา เป็นชาติเชื้อวงศาแห่งพระยาพรหมกุมาร แสดงว่าชาวล้านนายุคนั้นก็เชื่ออย่างนั้นเช่นเดียวกัน

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ก็ทรงเชื่อเรื่องเชื้อสายวงศ์ของพระเจ้าพรหมมาสร้างแล้วครองกรุงศรีอยุธยา ตามพระราชพงศาวดารสังเขป ของกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ดังสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์เล่าเรื่องนี้ว่า

"มีพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้หมอดีนส่งไปลงพิมพ์ในหนังสือไจนีสเรโปสิตอรี ที่เมืองกิ่งตังเมื่อปีกุญ จุลศักราช ๑๒๑๓ พ.ศ. ๒๓๙๔ ว่าพระเจ้าอู่ทองเปนราชบุตรเขยของพระเจ้าศิริไชยเชียงแสน ได้รับราชสมบัติสืบพระวงศ์ทางพระมเหษี ครองราชสมบัติอยู่ ๖ ปี เกิดโรคห่าขึ้นในพระนคร จึงย้ายมาตั้งราชธานีที่เมืองศรีอยุธยา" (ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พิมพ์อยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ โรงพิมพ์ไทย สะพานยศเส พ.ศ. ๒๔๕๗)

พระเจ้าพรหม-ท้าวฮุ่งหรือขุนเจือง



"วีรบุรุษในตำนาน" ต่างเผ่าพันธุ์
คำบอกเล่าเรื่องพระเจ้าพรหม คงจะแพร่หลายอยู่ในกลุ่มชนที่รู้จักกันภายหลังชื่อ ไทยใหญ่ ก่อน เพราะต่อมามีผู้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร รวมไว้ในเอกสารสำคัญชื่อ ตำนานสิงหนวติกุมาร (ตัดตอนมาพิมพ์รวมอยู่ในเรื่องแรกของเล่มนี้แล้ว) อันเป็นตำนานของตระกูลไทย-ลาวพวกหนึ่ง ที่มีถิ่นฐานบ้านเมืองเดิมอยู่ทางฟากตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน (ในดินแดนพม่าตอนเหนือ บางทีเรียกแม่น้ำคง แต่ในตำนานเรียกแม่น้ำสาระพู) ซึ่งรับรู้ทั่วกันว่าเป็นหลักแหล่งของไทยใหญ่สืบมาถึงปัจจุบัน



ด้วยเหตุนี้ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม จึงเสนอความเห็นว่า พระเจ้าพรหม เป็นผู้นำของพวกไทยใหญ่ (อยู่ในบทความเรื่อง ไทยน้อย ไทยใหญ่ ไทยสยาม รวมพิมพ์อยู่ในบทความเรื่องที่ ๒ ของเล่มนี้แล้ว)


ตำนานสิงหนวติกุมาร ถือเป็นเอกสารเก่าสุด แรกสุด เท่าที่มีอยู่ขณะนี้ ที่จดเรื่องพระเจ้าพรหมไว้เป็นลายลักษณ์อักษร น่าเชื่อว่าเป็นเอกสารเก่ามีมาแต่ครั้งเมืองเชียงใหม่เป็นราชธานีของแคว้นล้านนา (ตรงกับยุคกรุงศรีอยุธยา) เรื่องพระเจ้าพรหมที่มีในเอกสารเล่มอื่น เรื่องอื่น ล้วนคัดลอกไปจากตำนานเล่มนี้ แต่บางฉบับได้ดัดแปลงต่อเติมให้ต่างไปบ้างก็มี


พระเจ้าพรหมในตำนาน ได้รับยกย่องเป็น "วีรบุรุษ" นักรบ ผู้ขับไล่ขอมดำที่มารุกรานครอบครองดินแดนโยนก พาหนะคู่บุญญาบารมีของนักรบอย่างพระเจ้าพรหมคือช้าง เป็นช้างเผือก มีชื่อพานคำ เรียกช้างเผือกพานคำ

เหตุที่ได้ชื่อช้างเผือกพานคำ หรือช้างพานคำ เพราะได้นิมิตจากเทวดาให้เอาพาน คือพังลาง หรือผางลาง (คล้ายฆ้องหรือระฆัง) ทำด้วยทองคำ ไปประโคมตีที่ริมแม่น้ำโขง งูใหญ่จะกลายร่างเป็นช้างเผือกผุดขึ้นมาคู่บุญ แล้วเป็นพาหนะสำคัญปราบปรามศัตรูพาลทุกทิศทาง


ส่วนพาน หรือฆ้อง มักทำด้วยโลหะ เช่น ทองคำ ทองแดง หรือสำริด เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้มีอำนาจ เป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์ มีตัวอย่างอยู่ในกลุ่มชนเผ่าทั่วไปของภูมิภาคอุษาคเนย์ ทั้งผืนแผ่นดินใหญ่ และหมู่เกาะ

ช้างพานคำ กับพาน หรือฆ้อง ไม่ได้เป็นสมบัติคู่บารมีของพระเจ้าพรหมเท่านั้น แต่ยังเป็นสมบัติคู่บารมีของท้าวฮุ่งหรือขุนเจืองด้วย ผมเคยเขียนอธิบายไว้ในคำนำเสนอ หนังสือมหากาพย์ของอุษาคเนย์ ท้าวฮุ่ง ขุนเจือง วีรบุรุษสองฝั่งโขง (ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก สิงหาคม ๒๕๓๘) มีความต่อไปนี้

"ช้างพานคำ" กับ "ข้า (ข่า) พางดำ"

ตระกูลมอญ-เขมร เช่น พวกข่า (ข้า), ลัวะ (ละว้า) ฯลฯ ล้วนมีความผูกพันและภักดีต่อตระกูลของท้าวฮุ่งฯ อย่างยิ่ง ดังจะเห็นว่าเมื่อท้าวฮุ่งฯ ยังเยาว์มีกลุ่มชนผู้ภักดีเลื่อมใสเอาสิ่งของพิเศษมาให้เป็นเครื่องกำนัลบรรณาการ มีช้างจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยช้างเผือกเชือกหนึ่งชื่อช้างพานคำ ต่อมาพวกชนเผ่า (ข้า-ข่า) พางดำอยู่บนภูสูง นำเอาดาบเหล็กเล่มหนึ่งชื่อดาบฮางเซ็งกับฆ้องเงินคู่หนึ่งมามอบให้อีก มีโคลงพรรณนาว่า

๏ ขึ้นชื่อได้ช้างเผือก พานคำ

กงชุมพูไป่ทัน เทียมได้

ฝูงหมู่ พางดำข้าพูสูง ดั้นฮอด

เขาก็ นำดาบกล้าทังฆ้อง คู่เงิน ฯ



๏ มาแต่ห้องภูซาง เหล็กหล่อ

คันว่า แกว่งเงือดชี้มารย้าน หย่อนขาม ฯ



๏ มุกมาศแก้วฮองใส่ ประดับดี

ชื่อว่า ตาวฮางเซ็งซ่าใน แดนข้า

ฯลฯ


ชื่อช้างเผือกว่า "พานคำ" หมายถึงฆ้องทองคำ พานแปลว่าฆ้อง ตำนานหลายเล่มเล่าเป็นนิทานว่าขุนเจืองต้องเอาฆ้องทองคำไปตีให้ดังกังวาน จึงจับช้างเผือกเชือกนี้ได้ เหตุการณ์นี้มีอยู่ในเรื่องพระเจ้าพรหมได้ช้างเผือกพานคำเป็นพาหนะคู่บุญบารมีด้วย และเรียกบริเวณที่ได้ช้างเผือกพานคำว่า เวียงพานคำ (คืออำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย) แสดงว่ามีการหยิบยืมนิทานกันต่อมา


ข้า (ข่า) พางดำ (มีผู้รู้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็น "ยางดำ" ) ตีดาบเหล็กจากแหล่งแร่ที่ภูซางพร้อมทั้งฆ้องเงินคู่หนึ่ง

ภูซาง เป็นชื่อภูเขาเทือกหนึ่งมีอยู่หลายแห่ง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเทือกเขาที่อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา กั้นพรมแดนไทย-ลาว (ซางเป็นชื่อพรรณไม้ชนิดหนึ่งในสกุลไม้ไผ่ เรียกต้นซาง หรือไผ่ซาง หรือไม้ซาง)


เรื่องราวตอนนี้แสดงว่า ที่ภูซางนอกจากจะมีต้นซางขึ้นอยู่เต็มไปหมดแล้ว ยังมีแร่เหล็กใช้ตีดาบได้ด้วย ย่อมเป็นหลักฐานยืนยันอีกชั้นหนึ่งว่ากลุ่มชนบนที่สูงมีความชำนาญถลุงโลหะ เช่นเหล็ก ดังเรื่องปู่เจ้าลาวจกบนดอยตุง (ที่เชียงราย)


ชื่อภูซางในโคลงท้าวฮุ่งฯ อาจหมายถึงที่อื่นได้อีกเพราะชื่อสถานที่มักเรียกซ้ำกัน แต่ก็ต้องเป็นเขตที่สูงและมีแหล่งโลหะอยู่ด้วย (และอาจเป็นภูซ้างหรือภูซวงก็ได้ด้วย เพราะเอกสารโบราณไม่เคร่งครัดการลงวรรณยุกต์ ขณะเดียวกันผู้ถอดมาเป็นภาษาปัจจุบันก็อาจไขว้เขวได้)


บริเวณอำเภอเชียงคำเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบลุ่มน้ำแม่อิง มีทั้งเขตที่สูงและเขตที่ราบ มีร่องรอยวัฒนธรรม "หินตั้ง" ของกลุ่มชนบนที่สูงที่เกี่ยวข้องกับท้าวฮุ่งฯ ตลอดไปจนถึงอำเภอเทิง และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่น้ำแม่อิงไหลลงแม่น้ำโขง แล้วมีเส้นทางคมนาคมไปเกี่ยวข้องกับดินแดนล้านช้างที่เมืองหลวงพระบางจนถึงทุ่งไหหินที่เมืองเชียงขวางในประเทศลาวได้ ปัจจุบันอำเภอเชียงคำเป็นท้องที่ที่มีชาวลื้ออยู่มากที่สุด ชาวลื้อพวกนี้เคลื่อนย้ายมาจากสิบสองพันนาไปอยู่เมืองน่านก่อน แล้วส่วนหนึ่งโยกย้ายมาอยู่ที่นี่ตามเส้นทางคมนาคมยุคโบราณ

จะเห็นว่าของสำคัญตอนนี้คือฆ้อง มีทั้งฆ้องเงินและฆ้อง (ทอง) คำ

ฆ้อง เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ที่มีพัฒนาการมาจากมโหระทึกสำริดตั้งแต่ยุคโลหะเมื่อราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว หรือมิฉะนั้นก็เกิดขึ้นควบคู่มากับมโหระทึก นับเป็นอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดของภูมิภาคอุษาคเนย์โดยเฉพาะ เพราะไม่พบในภูมิภาคอื่น เช่น อินเดีย และจีน (คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์ โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ, ศิลปวัฒนธรรม ๒๕๓๗, หน้า ๑๓๘-๑๗๕) มีร่องรอยอยู่ในประเพณีต่างๆ ดังนี้


โคลงเรื่องขุนบรม ตอนพญาแถนหลวงทำพิธี "ราชาภิเษก" ให้ขุนบรม (หรือบูฮม) เป็นกษัตริย์ ต้องมี "เครื่องกษัตรา" หลายชนิด ในจำนวนนั้นมีฆ้องอยู่ด้วย ว่า "เสียงหน่วยฆ้อง ปานฟ้าผ่าสุเมรุ" ต่อมาเมื่อขุนบรมแบ่งสมบัติให้ลูกชายเจ็ดคน ในพงศาวดารล้านช้างระบุว่าลูกคนโตคือขุนลอได้รับฆ้องเป็นเครื่องยศที่ลูกชายคนรองๆ ลงไปไม่ได้ฆ้อง


ในมหากาพย์เรื่องท้าวฮุ่งฯ เอง ก็เต็มไปด้วยบทพรรณนาถึงเสียงฆ้องเมื่อต้องการกล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ ทุกวันนี้ยังใช้ฆ้องเป็นสัญลักษณ์ของการบูชาในพระพุทธศาสนา และยังมีอยู่ในชนเผ่าทั่วไปทั้งบนผืนแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะของภูมิภาคอุษาคเนย์ โดยเฉพาะพวกลาวเทิง (ข้า-ข่า) ในประเทศลาวยังแขวนฆ้องเป็นราวเรียงลำดับตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปหาขนาดเล็ก (คล้าย "หม่างซอง" ของพวกไทยใหญ่) ใช้ตีในพิธีกรรมสำคัญ เช่นเดียวกับพวกจ้วงในกวางสีตีมโหระทึกหลายขนาดที่แขวนเป็นราว

ท้าวฮุ่ง-ต้นแบบ "วีรบุรุษในตำนาน"


กรณีพระเจ้าพรหมมีช้างพานคำคู่บุญบารมี กับมีฆ้องหรือพานเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ เหมือนท้าวฮุ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความจงใจ หยิบยืมถ่ายเท หรือลอกเลียนเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง

แต่ใครเป็นต้นแบบให้ใคร? แล้วทำไปเพื่ออะไร? ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันพิจารณาอย่างรอบคอบ

เรารู้มาแล้ว ว่าพระเจ้าพรหมเป็นผู้นำของพวกไทยใหญ่ แล้วท้าวฮุ่งล่ะเป็นผู้นำของใคร? พวกไหน?

อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เสนอว่า ท้าวฮุ่งเป็นผู้นำของพวกลัวะ จะเป็นจริงหรือไม่? ขอให้ตรวจสอบความเป็นมาของท้าวฮุ่งเสียก่อน ผมเขียนไว้อย่างละเอียดแล้วในคำนำเสนอ หนังสือมหากาพย์ของอุษาคเนย์ ท้าวฮุ่ง ขุนเจือง วีรบุรุษสองฝั่งโขง (ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก สิงหาคม ๒๕๓๘)

ท้าวฮุ่ง ขุนเจือง วีรบุรุษสองฝั่งโขง


ท้าวฮุ่ง หรือขุนเจือง เป็นชื่อของ "วีรบุรุษทางวัฒนธรรมข้ามพรมแดนเผ่าพันธุ์สองฝั่งโขง" (ฮุ่ง ก็คือรุ่ง หมายถึงสว่าง, สุกใส / เจือง หรือเจื่อง หรือเจี่ยง หมายถึงจอม, ยอดเยี่ยม, เป็นเอก) ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และวรรณกรรมไทยสมัยโบราณ


ยุคแรกๆ เรื่องท้าวฮุ่ง ขุนเจือง คงเป็นคำบอกเล่าของผู้คนเผ่าพันธุ์ต่างๆ มาก่อน ต่อมาพวกตระกูลไทย-ลาว เอาคำบอกเล่ามาเรียบเรียงแล้วบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในรูปของร้อยแก้วกับร้อยกรอง ทำให้เรื่องของท้าวฮุ่งฯ เป็นที่รับรู้แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง มีความสำคัญทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และวรรณคดี


ประเพณีการเรียบเรียงเรื่องต่างๆ เป็นลายลักษณ์อักษรในรูปของ "ตำนาน" มีหลักฐานว่าเริ่มขึ้นในล้านนาประเทศเมื่อราวหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (หลัง พ.ศ. ๑๙๐๐) หลังจากนั้นประเพณีนี้แพร่หลายไปเป็นแบบอย่างให้บ้านเมืองทางลุ่มน้ำโขงกับลุ่มน้ำเจ้าพระยาและที่อื่นๆ ฉะนั้นเรื่องท้าวฮุ่งฯ ทั้งที่เป็นร้อยแก้วกับร้อยกรองจึงเรียบเรียงขึ้นหลัง พ.ศ. ๑๙๐๐ แล้วแต่งเติมเสริมต่อกันเรื่อยๆ มา ทำให้เรื่องท้าวฮุ่งฯ แต่ละฉบับมีรายละเอียดแตกต่างกันบ้าง

หนังสือโคลงเรื่องท้าวฮุ่งหรือขุนเจืองแต่งด้วยฉันทลักษณ์ "โคลงสองฝั่งโขง" เกือบ ๕,๐๐๐ บท บรรดากลุ่มชนสองฝั่งโขงเรียก "หนังสือเจือง" และจิตร ภูมิศักดิ์ มีความเห็นว่าเป็นวรรณคดีประเภทที่จะต้องเรียกว่า "มหากาพย์" เพราะเป็นวรรณคดีที่เล่าเรื่องวีรบุรุษด้วยภาษาโบราณอย่างยิ่ง นับว่าโบราณกว่าวรรณคดีเรื่องใดๆ ในอีสาน และยังมีร่องรอยที่แสดงว่าภาษาที่ใช้เป็นภาษาทางล้านช้างหลวงพระบาง แต่บางคำก็เหลื่อมล้ำเข้าไปเป็นภาษาของไตโยนหรือไตยวน คือภาษาแบบโยนกหรือล้านนา


จิตรเชื่อว่าเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นในบริเวณล้านช้างหลวงพระบางในสมัยโบราณ อย่างต่ำก็ต้องราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ขึ้นไป นั่นคือในปูนเดียวกับการสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างน้อย สำนวนที่ใช้ในหนังสือเจืองมีที่ตรงและใกล้เคียงกับสำนวนในศิลาจารึกครั้งสุโขทัย (กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐) และตรงกับสำนวนครั้งต้นอยุธยาในวรรณคดีไทยภาคกลางมากทีเดียว (โองการแช่งน้ำ, สำนักพิมพ์ดวงกมล ๒๕๒๔, หน้า ๒๑๑)


วีรบุรุษทางวัฒนธรรมข้ามพรมแดนเผ่าพันธุ์

บทความเรื่อง ขุนเจือง : สำนึกร่วมทางวัฒนธรรมของคนในลุ่มน้ำโขงตอนบน โดย ศรีศักร วัลลิโภดม (พิมพ์ครั้งแรกในวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๑/มกราคม-มีนาคม ๒๕๓๗) น่าจะถือเป็นบทสรุปในชั้นแรกนี้ได้ว่า ท้าวฮุ่งฯ เป็น "วีรบุรุษข้ามพรมแดนทางเผ่าพันธุ์และวัฒนธรรมสองฝั่งโขง" คือไม่ได้เป็นสมบัติของชนกลุ่มใดหรือเผ่าใดเลย


อาจารย์ศรีศักรเริ่มต้นเรื่อง ด้วยการอธิบายภาพรวมอย่างกว้างๆ ของดินแดนล้านนาที่ประกอบด้วยที่ราบลุ่มเชียงใหม่กับที่ราบลุ่มเชียงราย โดยกล่าวว่าการให้ความสำคัญกับบุคคลสำคัญในตำนาน ระหว่างแอ่งเชียงใหม่กับแอ่งเชียงรายมีไม่เท่ากันในสำนึกของคนส่วนมาก โดยเฉพาะเรื่องของพระนางจามเทวี ผู้เป็นปฐมกษัตริย์ของแคว้นหริภุญไชย กับขุนเจืองผู้เป็นกษัตริย์องค์สำคัญของเมืองพะเยา และบ้านเมืองทั้งหลายในแอ่งเชียงราย ทั้งนี้ก็เพราะในแอ่งเชียงใหม่มีหลักฐานทางโบราณคดีที่อาจกำหนดอายุได้มาสนับสนุน แต่ไม่อาจกระทำเช่นเดียวกันได้ในแอ่งเชียงรายที่มีหลักฐานประเภทตำนานพงศาวดารก่อนสมัยล้านนา ทั้งๆ ที่เรื่องราวของบุคคลและเหตุการณ์ในตำนานพงศาวดารเหล่านั้น มีข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งต่อการศึกษาถึงความสัมพันธ์ ทางสังคมและความสำนึกร่วมทางวัฒนธรรมของผู้คนในแอ่งเชียงรายและภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบน ในส่วนรวมที่ยังไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนหลายเผ่าพันธุ์


อาจารย์ศรีศักรสรุปว่า สถานะการเป็นคนไทยที่เกิดขึ้นในล้านนานั้น เนื่องมาจากผู้คนในภูมิภาคนี้เปลี่ยนจากนับถือผีมานับถือพุทธ และการใช้ภาษาไทยกับอักษรไทยในการสื่อสาร แต่ก่อนที่จะหันไปนับถือพุทธนั้น กลุ่มชนในแถบนี้มีจุดศูนย์รวมที่แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองอยู่ที่เรื่องราวของขุนเจือง ซึ่งเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมคนสำคัญ ในยุคที่บ้านเมืองผ่านขั้นตอนของการสร้างบ้านแปลงเมืองมาแล้ว เป็นยุคที่มีเมืองเป็นศูนย์กลางของแว่นแคว้นแล้ว เช่น เมืองหิรัญนครเงินยาง เมืองเชียงราย และเมืองพะเยา เป็นต้น


การเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมของขุนเจือง ต่างจากผู้นำในการสร้างบ้านแปลงเมือง เช่นพระเจ้าสิงหนวัติ แต่ขุนเจืองเป็นผู้นำในการรวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรืออาจเรียกว่าเป็นผู้สร้างอาณาจักรโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวผู้นำเอง ในลักษณะเช่นนี้บุคคลที่เป็นผู้นำจะต้องมีความเป็นกลางในเรื่องเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ เพราะบรรดาบ้านเมืองที่ถูกนำมารวมนั้นล้วนมีความแตกต่างกันทางเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้น


ขุนเจือง เป็นสัญลักษณ์ของผู้นำทางวัฒนธรรมที่ไม่มีพรมแดนทางเผ่าพันธุ์ คือไม่เป็นบุคคลของชนกลุ่มใดๆ ดังเห็นได้จากชายาทั้งหลายมีเชื้อสายต่างๆ กัน เช่น จาม เมง (มอญ) ลาว (กาว) แกว (ญวน) ฯลฯ เท่ากับสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรม บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตั้งแต่สิบสองพันนา สิบสองเจ้าไทย ล้านนา ล้านช้าง จนถึงลุ่มแม่น้ำดำ-แดงในภาคเหนือของเวียดนาม ทั้งยังได้รับการยกย่องสรรเสริญจากบ้านเมืองใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง

บรรพบุรุษท้าวฮุ่งฯ ใน"โยนก"

มหากาพย์เรื่องท้าวฮุ่งฯ บอกว่าท้าวฮุ่งหรือขุนเจืองเป็นลูกของขุนจอมธรรมแห่งเมืองสวนตาลหรือเมืองนาคอง แต่ไม่ได้บอกว่าเมืองนี้อยู่ที่ไหน (จิตร ภูมิศักดิ์ ชี้ว่าอยู่ริมแม่น้ำโขง เหนือเมืองเชียงแสน แต่ไม่ได้อธิบายเหตุผล)




ส่วนพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน บอกว่าขุนเจืองเป็นลูกขุนจอมธรรม เกิดที่เมืองพะเยา ภายหลังได้ครองเมืองพะเยา



มหาสิลา วีระวงส์ สันนิษฐานว่าเมืองสวนตาลหรือเมืองนาคองคือเมืองเชียงราย (จังหวัดเชียงราย) ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์ ไม่กล่าวถึงที่เกิด แต่บอกว่าขุนเจืองเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งของเมืองเงินยางหรือหิรัญนคร ก็คือเมืองเชียงแสน (อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) แล้วระบุศักราชด้วยว่าอยู่ระหว่าง พ.ศ. ๑๖๖๕-๑๗๓๕ (ร่วมสมัยกับกษัตริย์ศรีสูรยวรรมันที่ ๒ ของเขมร) ภายหลังได้แยกไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองพะเยา แต่ถึงกระนั้นขุนเจืองก็เป็นวีรบุรุษคนสำคัญของบ้านเมืองแถบลุ่มน้ำแม่กกทั้งหมด อันมีเมืองเงินยาง (เชียงแสน) เมืองเชียงราย และเมืองอื่นๆ รวมทั้งเมืองพะเยาที่อยู่ลุ่มน้ำแม่อิงด้วย



จะเห็นว่าท้าวฮุ่งฯ ถือกำเนิดและมีขอบเขต "เครือญาติ" สำคัญตั้งแต่เมืองเงินยางเชียงแสนถึงเมืองพะเยา จัดอยู่บริเวณที่ราบลุ่มเชียงราย-พะเยา ซึ่งมีชื่อเรียกมาแตˆโบราณวˆา โยนก



(อีกฟากหนึ่งเรียกว่าบริเวณที่ราบลุ่มเชียงใหม่-ลำพูน มีบ้านเมืองเก่าแก่ที่สุดในล้านนาคือเมืองหริภุญไชยหรือลำพูน ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง มีพัฒนาการเป็นบ้านเมืองตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ (หรือหลัง พ.ศ. ๑๒๐๐) อันเนื่องมาจากการขยายอิทธิพลของแคว้นละโว้ (ลพบุรี) ที่เป็นบ้านเมืองหรือรัฐขนาดใหญ่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาภาคกลาง)



โยนก สมัยโบราณหมายถึงดินแดนและประชากรบริเวณที่ทุกวันนี้เรียกว่าที่ราบลุ่มจังหวัดเชียงรายกับจังหวัดพะเยา และต่อเนื่องเข้าไปถึงบางส่วนของพม่าและลาว โดยมีลำน้ำแม่กกเชื่อมแม่น้ำโขงเป็นแกน



ก่อนได้ชื่อว่าโยนก ตำนานสิงหนวติกุมาร (หรือสิงหนวัติ) กล่าวว่าบริเวณนี้เป็นดินแดน "สุวรรณโคมคำ" แต่รกร้างไปแล้ว เมื่อสิงหนวติกุมารนำไพร่บ้านพลเมืองจากนครไทยเทศมาถึง จึงสร้างเมืองใหม่ลงบริเวณนี้ แล้วให้ชื่อ "นาคพันธุสิงหนวตินคร" ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น" (ช้างแส่น แปลว่าช้างร้อง) ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "เชียงแสน" และเรียกพลเมืองของโยนกนครว่า "ยวน" หรือ "ชาวยวน" ต่อมาใช้โยนกเป็นชื่อแคว้นที่ประกอบด้วยเมืองเชียงราย เชียงของ และเชียงแสน ฯลฯ (ดร.วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "หมอดอดด์" กล่าวไว้ในเรื่อง "ชนชาติไทย" (The Thai Race - แปลโดย หลวงนิเพทย์นิติสรรค์) ถึงคำว่ายวน หาใช่ชื่อใหม่ไม่ แต่เป็นชื่อที่คนในถิ่นใกล้เคียงโดยรอบใช้เรียกคนไทยมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว และพวกพม่ายังคงเรียกดินแดนตะวันออกของแม่น้ำสาละวินว่ายวน ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์ สงสัยว่าคำที่พม่าเรียกชาวเชียงใหม่ว่ายูน ซึ่งคนไทยมักเข้าใจว่าจะเพี้ยนมาจากคำว่าไตยน หรือไทยวน นั้น แท้จริงเป็นคำภาษาพม่า ยูน แปลว่าข้าหรือทาส ในภาษาสุภาพของพม่าจะเรียกตัวเองว่า ยูนโนก แปลว่าทาสผู้ต่ำต้อย และเรียกผู้ที่พูดด้วยว่า ขิ่นพญา แปลว่าท่านนาย - ดูใน "ความเป็นมาของคำสยามฯ" : ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ๒๕๑๙ : หน้า ๕๐๐, ๕๗๓)



ดินแดนที่เรียกว่าโยนกสมัยโบราณซึ่งเป็นถิ่นฐานของพวกยวน อยู่บริเวณที่ราบลุ่มเขตจังหวัดเชียงรายกับจังหวัดพะเยาและที่ใกล้เคียงโดยรอบ มีเทือกเขาเรียกว่าดอย ขนาบตามแนวเหนือ-ใต้ มีลำน้ำเกิดจากดอยต่างๆ ไหลจากทิศตะวันตกไปลงแม่น้ำโขงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือทั้งสิ้น ลำน้ำสำคัญได้แก่ น้ำแม่กก น้ำแม่ลาว น้ำแม่อิง ทำให้เกิดที่ราบลุ่มสำคัญๆ อย่างน้อย ๔ แห่ง อันเป็นที่ตั้งบ้านเมืองของกลุ่มโยนกโบราณหรือกลุ่มเครือญาติท้าวฮุ่งฯ



พัฒนาการของดินแดนโยนกบริเวณที่ราบลุ่มเชียงราย-พะเยา อาจแบ่งกว้างๆ ได้ ๒ ยุค คือ



๑. ยุคก่อนรับศาสนา หรือก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ก่อน พ.ศ. ๑๘๐๐) มักเกี่ยวข้องกับคน ๒ พวก คือพวกที่สูงกับที่ราบ ยังไม่รับศาสนาพุทธ-พราหมณ์ นับถือผี เช่น ผีฟ้าผีแถน ผีมดผีเม็ง ฯลฯ อาจเรียกยุคนี้ว่า "ก่อนประวัติศาสตร์" เพราะยังใช้เครื่องมือหิน ท้าวฮุ่งฯ อยู่ช่วงปลายยุคนี้



๒. ยุคหลังรับศาสนา หรือหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (หลัง พ.ศ. ๑๘๐๐) มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก เชื่อมโยงและหล่อหลอมให้ผู้คนกลุ่มต่างๆ ทั้งที่อยู่บนที่สูงและที่ราบรวมเป็นพวกเดียวกัน จนเกิดเป็นบ้านเมืองขนาดเล็กๆ ขึ้นบริเวณที่ราบลุ่ม แล้วมีพัฒนาการขึ้นเป็นบ้านเมืองใหญ่ที่ภายหลังมีชื่อเรียกในจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ จารึกวัดศรีชุมว่า "เชียงแสน" กับ "พะเยา"



บริเวณโยนกมีนิทานปรัมปรา เช่นตำนานสิงหนวัติ เล่าสืบกันมา ว่าในยุคก่อนรับศาสนา (หรือยุคดึกดำบรรพ์) มีคนอยู่ ๒ พวก คือพวกที่สูงเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม กับพวกที่ราบเป็นกลุ่มชนที่เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น ต่อมาคนทั้ง ๒ พวกประสมกลมกลืนกันทางสังคมและวัฒนธรรม แล้วสืบเชื้อสายกลายเป็นบรรพบุรุษของผู้ก่อตั้งเมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย เมืองพะเยา และเมืองอื่นๆ ซึ่งล้วนจัดอยู่ในกลุ่มเครือญาติท้าวฮุ่งฯ ดังมีคำอธิบายต่อไปนี้



พวกที่สูง



อยู่บริเวณป่าเขาลำเนาไพร มีแหล่งเพาะปลูกน้อย มีแหล่งน้ำหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ เพาะปลูกด้วยระบบที่เรียกว่า "เฮ็ดไฮ่" (ทำไร่) หรือแบบล้าหลัง คือเอาไฟเผาป่าให้ราบลงเป็นแปลงเท่าที่ต้องการ ไม่ต้องพรวน ไม่ต้องไถ อย่างดีก็เอาจอบช่วยเกลี่ยหน้าดินนิดหน่อย แล้วก็เอาไม้ปลายแหลมแทงดินให้เป็นรู เอาเมล็ดพันธุ์พืชหยอดลงทีละรูๆ แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม แล้วแต่ดิน ฝน และแดด แต่พันธุ์พืชหรือพันธุ์ข้าวชนิดที่ปลูกก็เป็นพันธุ์ป่าชนิดที่ไม่ต้องขวนขวายทดน้ำมาหล่อเลี้ยง พอพืชโตได้ที่มีดอกออกผลก็เก็บเกี่ยวแล้วก็ทิ้งดินแปลงนั้นให้หญ้าและต้นไม้ขึ้นรกชัฏไปตามเรื่อง ใช้ได้ครั้งเดียว ปีรุ่งขึ้นก็ขยับไปเผาป่าในที่ถัดออกไปใหม่ ขยับเวียนไปรอบทิศตามสะดวก ไม่มีใครหวงห้ามหรือจับจอง บางที ๒-๓ ปีผ่านไปก็หันกลับมาเผาที่ตรงแปลงเดิมใหม่ แต่ถ้าหากดินจืด ใช้ไม่ได้ผล ก็ย้ายหมู่บ้านกันเสียที ไปเลือกทำเลใหม่ หอบไปแต่สิ่งของสำคัญๆ ไม่มีสมบัติ (จิตร ภูมิศักดิ์ : ความเป็นมาของคำสยามฯ ๒๕๑๙ : ๒๓๘)



การเพาะปลูกแบบนี้ย่อมผลิตอาหารได้น้อย เพราะมีพื้นที่น้อยและทำได้ไม่สม่ำเสมอ ฉะนั้นนอกจากจะมีอาหารเลี้ยงคนได้น้อยแล้ว ยังเป็นเหตุให้ชุมชนต้องเคลื่อนย้ายไปตามแหล่งเพาะปลูกแห่งใหม่อยู่เสมอๆ พวกนี้จึงมีลักษณะทางสังคมเป็นแบบ "ชนเผ่า" ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งหลักแหล่งถาวรไม่ได้ ขยายตัวเป็นบ้านเมืองก็ไม่ได้



ตำนานและพงศาวดารของล้านนาหลายฉบับเล่าว่า นานมาแล้วมีปู่เจ้าลาวจกเป็นหัวหน้าผู้คนอาศัยอยู่ที่สูงบนดอยตุง สมัยต่อมาได้ลงจากดอยสูงในหุบเขาสู่ทุ่งราบ แล้วก่อบ้านสร้างเมืองที่ภายหลังเรียกหิรัญนครเงินยางเชียงแสน แล้วปู่เจ้าลาวจกก็ได้นามใหม่ว่า ลวจักราช ครั้นสิ้นยุคลวจักราชก็มีลูกหลานหลายสิบคนถือครองบ้านเมืองสืบมาจนถึงยุคลาวเงิน เมื่อลาวเงินครองหิรัญนครเงินยางเชียงแสนอยู่ ก็อุดหนุนให้ลูกชายชื่อขุนจอมธรรม ขยับขยายแยกครัวไปสร้างบ้านแปลงเมืองใหม่ ที่เชิงเขาชมภูหรือดอยด้วน ใกล้แม่น้ำสายตาหรือน้ำแม่อิง แล้วเรียกเมืองใหม่นี้ว่า ภูกามยาว หรือพะเยา



ขุนจอมธรรมกษัตริย์เมืองพะเยา ทรงมีโอรส ๒ องค์ คือขุนเจืองเป็นพี่ และขุนชองเป็นน้อง เมื่อสิ้นขุนจอมธรรมแล้ว ขุนเจืองผู้พี่ได้ครองเมืองพะเยา เป็นกษัตริย์ที่มีอานุภาพมากสามารถปราบปรามบ้านเล็กเมืองน้อยในเขตลุ่มน้ำแม่กก แม่สาย แม่วัง และแม่น้ำโขงฟากตะวันออก แล้วแผ่อำนาจไปรวบรวมพวกแกวหรือญวนเข้าด้วยกัน ต่อจากขุนเจืองอีกหลายชั่วคนก็ถึงยุคพญางำเมืองครองเมืองพะเยา



พงศาวดารโยนกอธิบายว่าปู่เจ้าลาวจกเป็นพวกละว้า ตั้งเคหสถานเป็นหมู่ๆ อยู่ตามแนวภูเขา "มีหัวหน้าเรียกกันว่าปู่เจ้าลาวจก เหตุผู้เป็นหัวหน้ามีจก คือจอบขุดดินมากกว่า ๕๐๐ เล่มขึ้นไปสำหรับแจกจ่ายให้บริวารเช่ายืมไปทำไร่" ฉะนั้นปู่เจ้าลาวจกก็คือพวกลัวะ (หรือละว้า) ซึ่งเป็นกลุ่มชนอาศัยอยู่บนที่สูงที่ดอยตุง มีความรู้ในการถลุงแร่เช่นเหล็ก เพราะ "จก" แปลว่าจอบขุดดิน แต่ที่ดอยตุงโดยเฉพาะบริเวณที่ประดิษฐานพระธาตุดอยตุงเป็นเทือกเขาสูง และไม่พบร่องรอยและหลักฐานเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์สมัยโบราณ เช่น เครื่องมือหินขัด แต่จะพบตามเนินเขาเตี้ยๆ มากกว่า เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเชื่อว่ายุคแรกๆ จะมีผู้คนอาศัยอยู่บนดอยตุง แต่เป็นความเชื่อของผู้เขียนตำนานในสมัยหลังๆ ที่โยงเรื่องลาวจกที่เป็นลัวะให้เข้ากับพุทธศาสนาคือพระธาตุดอยตุงที่สร้างสมัยหลัง



อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม อธิบาย ว่าการตั้งถิ่นฐานในยุคแรกๆ ควรอยู่บริเวณที่เกิดเป็น "เมือง" ขึ้นมากกว่า เพราะมีร่องรอยของเวียงโบราณที่เชิงดอยตุงใกล้ฝั่งลำน้ำแม่สายที่กั้นเขตแดนไทย-พม่าในปัจจุบัน บริเวณนี้มีร่องรอยของเหมืองแดงที่เจ้านายให้ขุดขึ้นเพื่อการเกษตรของประชาชน รวมทั้งร่องรอยการขยายตัวของชุมชนไปทางตะวันออกสู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง อันได้แก่เวียงพานคำ (ที่อำเภอแม่สาย) พระธาตุปูเข้า และเวียงที่ไม่ปรากฏชื่ออยู่ใต้ธาตุปูเข้าลงมา รวมทั้งตัวเวียงเชียงแสนที่เชื่อกันว่าเป็นเมืองหิรัญนครเงินยางซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเวียงปรึกษาของกลุ่มสิงหนวัติ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นการเกิดของเมืองและชุมชนที่ต้องอาศัยทางน้ำ ที่ราบลุ่ม และเส้นทางคมนาคมที่จะติดต่อไปยังบ้านเมืองอื่นๆ ได้รอบด้าน



ส่วนบริเวณลุ่มน้ำอิงตั้งแต่ต้นน้ำที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย จนถึงปลายน้ำที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พบเครื่องมือหินและ "หินตั้ง" ตามไหล่เขาและที่สูงจำนวนมาก แล้วยังพบร่องรอยประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับผีอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าแถบลุ่มน้ำอิงเคยเป็นถิ่นฐานของผู้คนบนที่สูงมาก่อนช้านานแล้ว อย่างน้อยก็ก่อนรับศาสนาหรือก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ดังที่ตำนานเรียกว่าพวกกล๋อม ซึ่งน่าจะสัมพันธ์กับกลุ่มท้าวฮุ่งหรือขุนเจือง



สรุปว่าดินแดนโยนกหรือบริเวณที่ราบลุ่มเชียงราย-พะเยา มีผู้คนบนที่สูงแพร่กระจายอยู่บนดอยเตี้ยๆ มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ หรือก่อนรับศาสนาแล้ว



นอกจากบริเวณลุ่มน้ำแม่อิงในแอ่งเชียงราย-พะเยาแล้ว วัฒนธรรม "หินตั้ง" ที่ยังมีอยู่ในภาคเหนือของประเทศลาวด้วย



ดวงเดือน บุนยาวง เล่าว่าที่บ้านนาแล เมืองหัวเมือง แขวงหัวพัน (สปป.ลาว) มี "หินตั้ง" หลายกลุ่มฝังอยู่ตามเนินเขา (ระดับสูงประมาณ ๕๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล) บางกลุ่มมีมากกว่า ๑๐ หลัก (ก้อน) ขนาดใหญ่สูงราว ๒ เมตรเศษ ใกล้ๆ กลุ่ม "หินตั้ง" มีหลุมกว้างและลึก ที่ปากหลุมปิดด้วยแผ่นหินสีขาวรูปวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เมตรเศษ



นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสเคยเข้ามาตรวจสอบ แล้วขุดพบกระดูกฟันมีร่องรอยเผาไหม้ พบกำไลหินและของใช้อื่นๆ ทำด้วยหินฝังรวมอยู่ในหลุมที่ปิดด้วยแผ่นหินใกล้ๆ กับกลุ่ม "หินตั้ง" สิ่งของเหล่านี้คล้ายกับที่พบอยู่กับ "ไหหิน" ที่ทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง ซึ่งน่าจะมีอายุอยู่เมื่อราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว



นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีลงความเห็นว่า บริเวณ "หินตั้ง" เป็นที่ฝังกระดูกของบรรพบุรุษ ซึ่งดวงเดือน บุนยาวง สันนิษฐานว่าเป็นพิธีฝังศพครั้งที่สองหลังจากมีการเผามาแล้วในครั้งแรก ทั้งนี้เพราะกระดูกมนุษย์ที่พบในหลุมมีร่องรอยเผาไหม้



เมื่อมีพิธีฝังศพ (ครั้งที่สอง) จะมีการฆ่าสัตว์เช่นวัว, ควายเซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษ บรรดา "หินตั้ง" เป็นที่ผูกเชือกล่ามสัตว์ที่นำมาฆ่าบูชายัญ ฉะนั้น "หินตั้ง" จึงเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่วิญญาณบรรพบุรุษกับวิญญาณสัตว์ที่ถูกฆ่าจะมาสิงสถิตเพื่อคอยดูแลปกป้องคุ้มครองเผ่าพันธุ์ลูกหลานสืบมา



การพบวัฒนธรรม "หินตั้ง" ทั้งในภาคเหนือของไทยและภาคเหนือของลาวดังกล่าวมา แสดงว่ากลุ่มชนบนที่สูงทั้งสองฝั่งโขงมีความสัมพันธ์ไปมาหาสู่กันแล้วตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ในสมัยหลังก็ยังเคลื่อนย้ายไปมาถึงกัน ซึ่งอาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ (ผู้เชี่ยวชาญฯ กรมศิลปากร) พบจารึกเมืองพะเยาสมัยต้นๆ ออกชื่อ "เซ่า" ที่หมายถึงหลวงพระบาง (จารึกเมืองพะเยา, มติชน-ศิลปวัฒนธรรม จัดพิมพ์ถวายวัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา, พ.ศ. ๒๕๓๘)



นอกจากนั้นตำนานพระเจ้าตนหลวงแห่งเมืองพะเยายังบันทึกว่าครั้งหนึ่งชาวเมืองพะเยาสมัยโบราณเคยหนีการรุกรานของพม่าไปอยู่หลวงพระบาง และทุกวันนี้ยังมีพิธีเลี้ยงผี (บรรพบุรุษ) ที่หอผี "เจ้าพ่อล้านช้าง" ซึ่งมีหลักผูกสัตว์เพื่อฆ่าบูชายัญอยู่ที่บ้านถ้ำ อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา



หลักฐานเหล่านี้สอดคล้องกับโครงเรื่องท้าวฮุ่งฯ ที่แผ่อำนาจไปถึงเมืองปะกันคือเมืองเชียงขวาง ซึ่งครอบคลุมทั้งแขวงเชียงขวางกับแขวงหัวพันทางภาคเหนือของลาว



พวกที่ราบ

อยู่บริเวณที่ราบลุ่มในหุบเขา ที่ราบลุ่มแม่น้ำ และที่ราบตามชายฝั่งทะเล ซึ่งเหมาะแก่การเพาะปลูกกว้างขวางกว่าเขตที่สูงมีน้ำท่วมถึง หรือมีการชักน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ที่เพาะปลูกได้ ทำให้มีโคลน หรือตะกอนจากที่อื่นๆ เข้ามาทับถมกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ที่ดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์เสมอๆ ทุกๆ ปี จนไม่ต้องโยกย้ายไปหาที่เพาะปลูกใหม่ และสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยพอเลี้ยงคนได้จำนวนมาก ทั้งมีส่วนเกินพอที่จะนำไปแลกเปลี่ยนสิ่งของกับชุมชนอื่นๆ ด้วย



ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ท้องถิ่นนั้นๆ มีผู้คนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็มีการแบ่งงานกันทำกิจกรรมเฉพาะ รวมทั้งมีโอกาสร่วมมือในกิจการงานด้านต่างๆ เช่น การทดน้ำ หรือระบายน้ำเพื่อการเพาะปลูก การติดต่อแลกเปลี่ยนสิ่งของกับชุมชนอื่น และการขยายตัวของชุมชนไปยังบริเวณใกล้เคียง ฉะนั้นเขตนี้จึงมักมีพัฒนาการของชุมชนที่เป็น "หมู่บ้าน" ขึ้นเป็น "เมือง" แล้วก้าวหน้าเป็น "รัฐ" และ "อาณาจักร" ได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าทุกหนทุกแห่งในเขตที่ต่ำ จะมีโอกาสพัฒนาขึ้นเป็นบ้านเมืองจนเป็นรัฐและเป็นอาณาจักรได้เหมือนกันหมด เพราะยังมีข้อแตกต่างกันด้านอื่นๆ ที่อาจเป็นทั้งสิ่งเอื้ออำนวยและข้อจำกัดอีก



พวกตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ราบในยุคหนึ่งเป็นพวก "สิงหนวัติ" ตำนานสิงหนวัติเล่าว่ากษัตริย์เทวกาลครองนครไทยเทศ (หรือ "เมืองราชคฤห์นครหลวง") มีราชบุตรคนโตชื่อพิมพิสารราช ราชบุตรคนที่สองชื่อสิงหนวัติ ต่อมาได้แบ่งราชสมบัติให้พิมพิสารราชครองนครไทยเทศ ส่วนสิงหนวัติให้ "แยกครัว" ไปก่อบ้านสร้างเมืองใหม่ แสดงว่าสิงหนวัติเป็นราชบุตรผู้ถ้วน (คนที่สอง) ของกษัตริย์เทวกาล นครไทยเทศแห่งลุ่มน้ำสาละวิน (ชาวบ้านเรียกแม่น้ำคง แต่ตำนานเรียกแม่น้ำสาระพู) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของพม่า



ต่อมาสิงหนวัติเสด็จออกจากนครไทยเทศข้ามแม่น้ำสาละวินลงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถึงลุ่มแม่น้ำโขงอันเป็นเขตแดนแคว้นสุวรรณโคมคำที่ร้างไปแล้ว ขณะนั้นมีแต่พวกมิลักขุหรือลาวกะยูคือปู่เจ้าลาวจกอาศัยอยู่ตาม "ซอกห้วยราวเขาภูดอย" จึงสร้างหลักแหล่งตั้งถิ่นฐานใหม่ให้ชื่อเมืองโยนกนาคพันธุสิงหนวัตินคร แล้วรวบรวมพวกมิลักขุมาอยู่ในอำนาจ จากนั้นปราบปรามพวก "กล๋อม" หรือ "กรอม" ที่อยู่ใกล้เคียง เมื่ออยู่ได้ระยะหนึ่งก็เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแสน



บริเวณที่พวกสิงหนวัติมาตั้งถิ่นฐานนั้น เอกสารระบุว่า "มีสถานที่อันราบเพียงเรียงงาม มีแม่น้ำใหญ่ แม่น้ำฮาม น้ำน้อยมากนัก...อันจักสร้างไร่แต่งนาดีนักแล" แสดงว่าเป็นที่ราบลุ่มหรือเขตที่ต่ำ



เชื้อสายสิงหนวัติปกครองเมืองโยนกสืบมาอีกนาน แล้วถูกพวก "กล๋อม" รุกราน จนต้องหนีไปอยู่กับตระกูลลาวจกที่เมืองเวียงสีทวง จึงเกิดพรหมกุมารหรือพระเจ้าพรหมมาปราบปรามพวก "กล๋อม" สำเร็จแล้วขยายอำนาจออกไปหลายทิศทาง ต่อมาเมืองโยนกถูกรุกรานจากบ้านเมืองทางทิศตะวันตก (มอญ ไทยใหญ่) ทำให้เชื้อสายสิงหนวัติต้องหนีลงไปทางใต้ หลังจากนั้นแคว้นโยนกก็ล่มสลาย



ในที่สุดแล้วพวกที่สูงกับพวกที่ราบก็ผสมกลมกลืนกัน



พวกที่สูงมีความรู้และชำนาญในการถลุงโลหะ ดังตำนานบอกว่าปู่เจ้าลาวจกมีจอบ (ทำด้วยโลหะ เช่นเหล็ก) มากกว่าใครๆ ส่วนพวกที่ราบมีความรู้และชำนาญการทำนาปลูกข้าวในที่ลุ่ม ทั้งสองพวกนี้มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของกันตลอดเวลา จนถึงระยะเวลาหนึ่งพวกที่สูงก็ลงมาอยู่ที่ราบ ดังตำนานเล่าว่าปู่เจ้าลาวจกเป็นหัวหน้าผู้คนอาศัยอยู่บนที่สูงได้เคลื่อนย้ายลงสู่ที่ราบแล้วก่อบ้านสร้างเมืองชื่อ "หิรัญนครเงินยางเชียงแสน" ปู่เจ้าลาวจกจึงได้นามใหม่ว่า "ลวจักราช" ถือเป็น "ต้นตระกูลลาว" ทั้งลาวล้านนาและลาวล้านช้าง (พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน)



ครั้นสิ้นลวจักราช ก็มีลูกหลานหลายสิบคนถือครองบ้านเมืองสืบมาจนถึงยุค "ลาวเงิน" ลาวเงินให้ลูกชายชื่อ "ขุนจอมธรรม" ขยับขยายไปสร้างบ้านแปลงเมืองใหม่ที่เชิงเขาชมภูหรือดอยด้วนใกล้แม่น้ำสายตา หรือน้ำแม่อิง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีผู้คนบนที่สูงอาศัยอยู่ตามเนินเขาลูกเตี้ยๆ เต็มไปหมด พวกนี้น่าจะเป็นพวกลัวะหรือข่าที่พูดตระกูลภาษามอญ-เขมร ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนไปพูดภาษาตระกูลไทย-ลาว เมื่อสร้างเมืองแล้วให้เรียกเมืองใหม่นี้ว่า "ภูกามยาว" หรือ "พะเยา"



นี่คือการผสมกลมกลืนทางสังคมและวัฒนธรรมของพวกที่สูงกับพวกที่ราบ แล้วกลายเป็นบรรพบุรุษของท้าวฮุ่งหรือขุนเจือง ฉะนั้นจะบอกว่าท้าวฮุ่งฯ เป็นตระกูลมอญ-เขมรก็ถูก หรือเป็นตระกูลไทย-ลาวก็คงไม่ผิด เพราะในมหากาพย์เรื่องท้าวฮุ่งฯ ระบุร่องรอยความสัมพันธ์ของ ๒ ตระกูล คือแม่เป็นมอญ-เขมร ส่วนพ่อเป็นไทย-ลาว ดังนี้


อาณาเขตของเมืองสวนตาลหรือเมืองนาคอง อันเป็นเมืองของพ่อแม่ท้าวฮุ่งฯ มีอาณาเขตติดต่อกับเมืองเม็งก็คือเมืองมอญ มีโคลงว่า "บุรีเท้าเมืองเม็ง มนุษยโลก" ทั้งป้ากับแม่ท้าวฮุ่งฯ ล้วนเป็นมอญ เพราะเลี้ยงผีเม็ง และเรียกเมียชื่อนางง้อม (ลูกสาวของป้า) ว่านางเม็ง, นางมอญบ้าง ลูกเม็ง, ลูกมอญบ้าง (ดู จิตร ภูมิศักดิ์) นี่เท่ากับสายแหรกข้างแม่เป็นตระกูลมอญ-เขมร


แต่สายแหรกข้างพ่อของท้าวฮุ่งฯ น่าจะเป็นตระกูลไทย-ลาว เพราะนับถือแถนเป็น "ผีด้ำใหญ่" เมื่อทำพิธีบนบานขอลูกก็ขอกับแถน มีโคลงว่า


จิ่งจัก ทวนความเท้าเถิงแถน ดาด่วน

ขอลูกแก้วบุญเกื้อ เกิดมา ฯ


เมื่อคลอดท้าวฮุ่งฯ ก็เปรียบเทียบว่างามเหมือนลูกแมน มีโคลงว่า "นางก็ ประสูติแก่นแก้วงามแม้ง ลูกแมน" ซึ่งเป็นพวกเดียวกับแถน


ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งพวกมอญ-เขมร เช่น พวกข่า (ข้า), ลัวะ (ละว้า) ฯลฯ และพวกไทย-ลาว ต่างก็อ้างอิงท้าวฮุ่งหรือขุนเจืองว่าเป็นบรรพบุรุษของพวกตน

สงคราม


"ความทรงจำ"

เท่าที่เล่าเรื่องเรียงลำดับมาทั้งหมด จะเห็นว่า พระเจ้าพรหม กับขุนเจือง เป็น "วีรบุรุษในตำนาน" ทั้งคู่ แต่อยู่ในความทรงจำของคนต่างพวก ต่างเผ่า หรือต่างพันธุ์



ถ้าพิจารณาจากเอกสาร จะเห็นว่าขุนเจืองเป็นตำนานเก่าแก่มีมาก่อน เป็นที่ยอมรับกว้างขวางครอบคลุมกลุ่มชนเผ่าพันธุ์ต่างๆ ทั้งสองฝั่งโขง (ตอนบน) กล่าวได้ชัดเจนว่าขุนเจืองเป็นวีรบุรุษทางวัฒนธรรมข้ามพรมแดนเผ่าพันธุ์สองฝั่งโขง แต่อยู่ในความทรงจำอย่างเหนียวแน่นในกลุ่มชนตระกูลมอญเขมร เช่น พวกลัวะ กับพวกข่า



ส่วนพระเจ้าพรหม เป็นตำนานใหม่กว่า เพิ่งมีขึ้นทีหลัง แพร่หลายอยู่ในความทรงจำของกลุ่มชนตระกูลไทยลาวเท่านั้น เช่น พวกไทยใหญ่ จึงน่าเชื่อว่าตำนานเรื่องพระเจ้าพรหมได้ต้นแบบไปจากเรื่องขุนเจือง



ปัญหาน่าคิดต่อไป คือเกิดอะไรขึ้นกับชน ๒ ตระกูล? ถึงสร้างตำนาน "วีรบุรุษ" ขึ้นมา ๒ เรื่อง แล้วแยกยกย่องกันคนละเรื่อง แต่มีโครงเรื่องสำคัญอย่างเดียวกัน



คำตอบโต้งๆ แท้ๆ แน่นอน คงไม่มี ตอบไม่ได้ แต่มีร่องรอย มีเบาะแสบางอย่างพอจะประมวลมาอธิบายได้บ้าง จะมากหรือน้อย จะจริงหรือลวง ก็ลองดูก่อน ต่อไปนี้



แต่ก่อนคนเราไม่ได้โง่ แต่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ รวมกันเป็นชุมชนหมู่บ้านขนาดเล็กกระจัดกระจาย ในท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์



พวกที่สูง "เฮ็ดไฮ่" คือทำไร่เลื่อนลอย ส่วนพวกที่ราบ "เฮ็ดนา" คือทำนาทดน้ำ ทั้งสองพวกนับถือผีต่างกัน ผีใครผีมัน ไม่ปะปนกัน แต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางเศรษฐกิจ คือแลกเปลี่ยนสิ่งของซึ่งกันและกัน แล้วเกี่ยวดองกันทางสังคม คือแต่งดองหรือแต่งงานกันด้วย แต่ก็ขัดแย้งกันบ้างซึ่งถือเป็นปกติ บางคราวถึงขนาดยกพวกยกเผ่าเข้าโรมรันพันตูสู้รบกันก็มี



เริ่มจากชุมชนหมู่บ้านขนาดเล็ก เมื่อนานเข้าก็ขยายเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ เพราะมีผู้คนเคลื่อนย้ายมาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ทำให้ต้องมี "หัวหน้า" เป็นผู้นำ ทำหน้าที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ เป็นส่วนรวมของชุมชนหมู่บ้าน



เมื่อหมู่บ้านขยายตัวใหญ่ขึ้นก็กลายเป็นเมือง มีการก่อบ้านสร้างเมือง หรือสร้างบ้านแปลงเมืองระดับต่างๆ กัน มีบ้านเล็กบ้านใหญ่ แล้วมีเมืองเล็กเมืองใหญ่ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปบนเส้นทางคมนาคม และในแหล่งอุดมสมบูรณ์



มีบ้านมากขึ้น มีเมืองมากขึ้น ความขัดแย้งย่อมมีมากขึ้นตามมาด้วย เพราะพูดภาษาต่างกันก็มี นับถือผีต่างกันก็มาก ทำให้เกิดมีผู้ตั้งตนเป็นใหญ่ที่ใหญ่กว่าคนอื่นๆ ขึ้นมา พยายามรวบรวมบ้านต่างๆ กับเมืองต่างๆ รวมเข้าด้วยกันให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว หรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะได้ไม่ขัดแย้งแข่งอำนาจกัน


คนที่พยายามตั้งตนเป็นใหญ่กว่าคนอื่นๆ มีหลายคราว และมีหลายคน แต่คนที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางชื่อเจือง ภายหลังเรียกกันทั่วไปว่าขุนเจือง พวกลื้อเรียกพญาเจิง แต่พวกลาวเรียกท้าวฮุ่ง


การที่เรียกชื่อเจืองต่างกัน เพราะผู้คนหลายเผ่าหลายพันธุ์หลายภาษาหลายสำเนียง ต่างยกย่องให้เป็นใหญ่กว่าใคร จึงต่างก็เรียกชื่อตามภาษา ตามสำเนียง และตามประเพณีของเผ่าพันธตนที่ต่างจากเผ่าพันธุ์อื่น

ความยิ่งใหญ่ของเจือง เห็นได้จากเมื่อตายไปแล้วก็ยังได้รับยกย่องอย่างสูงให้เป็นผีบรรพบุรุษ เรียกผีเจือง ถือเป็นผีใหญ่ที่สุดกว่าตนอื่นๆ ที่เคยเชื่อถือมาแต่ก่อน (พวกนี้ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ยังไม่นับถือพุทธ)

ต่อมามีคนกลุ่มใหม่พวกหนึ่ง เคลื่อนย้ายจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำคง (คือแม่น้ำสาละวิน) ข้ามแม่น้ำคงเข้าไปตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณที่ราบริมแม่น้ำโขง (เขตเชียงแสนเชียงราย)

คนกลุ่มใหม่พวกนี้รู้จักพระพุทธเจ้า รู้จักพระพุทธศาสนา รู้จักนับถือพุทธที่แพร่หลายจากชมพูทวีปเข้ามาทางลุ่มแม่น้ำอิรวดี-สาละวิน ก็ยกย่องคติพุทธติดเข้าไปด้วย จากนั้นลงมือก่อบ้านสร้างเมือง หรือสร้างบ้านแปลงเมือง ลงบริเวณที่แวดล้อมด้วยผู้คนเผ่าพันธุ์เก่าที่เคารพนับถือเจืองอย่างเหนียวแน่นมาก่อนแล้ว ทำให้เกิดการปะทะกันทางสังคมและวัฒนธรรม

การปะทะกันมีทั้งด้านดีและด้านร้าย ด้านดีก่อให้เกิดความก้าวหน้า ขยายเผ่าพงศ์วงศ์วานว่านเครือเชื้อสายออกไปกว้างขวาง ด้านร้ายคือส่อเสียดเบียดเบียนรุกรานหาญหัก แล้วขับไล่ไสส่งสู้รบ เอาชนะคะคานกัน ดังมีตัวอย่างในตำนานสิงหนวติกุมาร ว่าพระยาขอมดำเมืองอุโมงคเสลายึดได้เมืองโยนกนาคนคร แล้วขับเจ้าเมืองโยนกไปอยู่ที่อื่น

พวกเผ่าพันธุ์เก่านับถือผี มีเจืองเป็นวีรบุรุษที่เข้มแข็งอาจหาญ เป็นศูนย์รวมมีพลังกว้างขวาง

พวกเผ่าพันธุ์ใหม่นับถือพุทธ แต่ไม่มีวีรบุรุษ เลยต้องสร้าง "พรหม" ขึ้นมาเป็นวีรบุรุษ ต่อมาเรียกพรหมกุมาร แล้วยกขึ้นเป็นพระเจ้าพรหม มีสิ่งของคู่บุญบารมีอย่างเจือง คือช้างพานคำ กับฆ้อง แล้วเรียกตัวเองว่าไทหรือไต เพื่อให้ต่างจากเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ได้นับถือพุทธ


ในที่สุด "พรหม" กลายเป็นวีรบุรุษ เป็นศูนย์กลางของพวกเผ่าพันธุ์ใหม่ที่อยู่ในตระกูลไทย-ลาว เป็นผู้นำขับไล่พวกขอมดำสำเร็จ ในตำนานสิงหนวติกุมาร บอกว่าพรหมกุมารกำจัดพญาขอมดำและพวกขอมบริวารทั้งหลาย หนีลงไปทางทิศใต้ พรหมกุมารตามพิฆาตเข่นฆ่า จนร้อนถึงพระอินทร์ต้องเนรมิตกำแพงหินกั้นกางขวางหน้าไว้ เพื่อช่วยชีวิตพวกขอมดำมิให้สูญเผ่าพันธุ์เก่าที่เคารพนับถือเจือง

แต่นั้นสืบมา พวกเผ่าพันธุ์ใหม่ในตระกูลไทย-ลาว นับถือพุทธก็เป็นใหญ่ในโยนก ครอบครองแว่นแคว้นแดนดินถิ่นฐานของเจืองทั้งหมด ชื่อของพระเจ้าพรหมกลายเป็น "วีรบุรุษในตำนาน" ยิ่งใหญ่เหนือกว่าเจือง และเหนือกว่าใครๆ ในความทรงจำของพวกที่เรียกตัวเองว่า ไต-ไท-ไทย




"พระเจ้าพรหม ในตำนานของล้านนา"

โดย พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร



เรื่องพระเจ้าพรหมมหาราชมีที่มาจากเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในเอกสารโบราณของล้านนา ที่มีชื่อเรียกต่างๆ กัน เมื่อต้นปี ๒๕๔๕ กรมศิลปากรได้รับเรื่องในลักษณะตำนานจากจังหวัดเชียงราย เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช ตำนานที่จังหวัดเชียงรายส่งมาเรียกชื่อว่าตำนานโยนกนาคนครไชยบุรีศรีช้างแส่น (ฉบับวัดร่องบง) เนื้อหาสาระของตำนานเรื่องนี้ได้มีการคัดลอกกันไปมาในสมัยโบราณ มีการรวบรวมจัดพิมพ์ออกเผยแพร่โดยวัดในภาคเหนือเขตล้านนาแล้วหลายฉบับ เท่าที่พบมีฉบับพิมพ์วัดเจดีย์หลวง เชียงแสน จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. ๒๕๑๖) กับฉบับพิมพ์วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา (พ.ศ. ๒๕๓๘)



ในส่วนกลางที่กรุงเทพฯ มีฉบับหอสมุดแห่งชาติที่มีการนำมาจัดพิมพ์รวมอยู่ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ ในชื่อว่าตำนานสิงหนวัติ แต่เป็นฉบับพิมพ์ที่มีการตัดทอนข้อความบางตอนออกไปด้วยคิดว่าไม่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) ก็ได้เก็บความรวบรวมอยู่ในหนังสือพงศาวดารโยนก ปริเฉท ๓ ว่าด้วยสร้างเมืองนาคพันธุนคร



นอกจากที่กล่าวมานี้ เท่าที่ทราบมีฉบับตัวเขียนอื่นๆ ที่เก็บรวบรวมตามสถาบันการศึกษาของล้านนา และที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ก็น่าจะมีอยู่ด้วยเช่นกัน ฯลฯ ซึ่งเอกสารเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อว่าตำนานสิงหนวัติ



๑. สังเขปเรื่องพระเจ้าพรหมในตำนานสิงหนวัติ



เนื้อหาสาระของตำนานสิงหนวัติมีว่า เจ้าชายสิงหนวัติเป็นโอรสองค์ที่ ๒ (บางฉบับว่าเป็นองค์สุดท้อง ในโอรสทั้งหมด ๓๐ พระองค์) ของกษัตริย์กรุงราชคฤห์ในอินเดีย โอรสองค์โตพระนามภาทิยะ เป็นผู้สืบราชสมบัติกรุงราชคฤห์ คือพระเจ้าภาทิยะพระราชบิดาของพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารคือกษัตริย์กรุงราชคฤห์ ผู้ทรงมีพระชนมายุร่วมวัยเดียวกับพระพุทธองค์ในพุทธประวัติ ส่วนเจ้าชายสิงหนวัติทรงได้รับแบ่งราชสมบัติผู้คนเดินทางมาตั้งบ้านเมืองบนที่ราบเชียงแสนชื่อเมืองโยนกนาคพันธ์ มีทายาทสืบเชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์กันต่อๆ มา โดยมิได้ปะปนกับชาวพื้นเมือง (เป็นวงศ์กษัตริย์บริสุทธิ์) เมื่อแรกๆ ได้ปราบปรามพวกขอมดำ เมืองอุมงคเสลา ชนพื้นเมืองที่อยู่มาก่อนจึงได้เป็นใหญ่อยู่ในดินแดนที่ภายหลังเป็นล้านนา



จนถึงสมัยบิดาของพระเจ้าพรหม พวกขอมได้กลับมายึดเมืองโยนกนาคพันธ์ได้ ต้องเป็นเมืองขึ้นขอมอยู่หลายปี จนพระเจ้าพรหมเติบโตทรงได้ปราบขอมดำให้พ่ายแพ้ไป พี่ชายของพระเจ้าพรหมทรงได้ขึ้นครองเมืองโยนกนาคพันธ์ต่อไป ส่วนพระเจ้าพรหมได้ทรงแยกมาตั้งเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองไชยปราการ ตามหลักฐานที่บรรยายในตำนานตั้งอยู่บนฝั่งใต้ของแม่น้ำกก ในเขตท้องที่อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน



เมื่อพระเจ้าพรหมล่วงลับไปแล้ว เมืองไชยปราการมีกษัตริย์องค์ต่อมา คือพระเจ้าไชยศิริผู้เป็นพระโอรส ก็ถูกกองทัพเมืองสุธรรมวดีโจมตี พระเจ้าไชยศิริต้องทรงอพยพผู้คนทิ้งเมืองหนีลงใต้ไปสร้างเมืองอยู่บริเวณละแวกเดียวกันกับที่ภายหลังตั้งขึ้นเป็นบ้านเมืองกำแพงเพชร ส่วนที่เมืองโยนกนาคพันธ์มีกษัตริย์สืบต่อจากพี่ชายของพระเจ้าพรหมสองพระองค์ ถึงพระเจ้ามหาไชยชนะมีคนไปหาปลาได้ปลาไหลเผือกตัวใหญ่เอามาแบ่งกันกินทั้งเมือง ตกกลางคืนเมืองได้ถล่มจมลงกลายเป็นหนองน้ำเรียกว่าหนองหล่มในบัดนี้ เหลือยายแก่ที่ไม่ได้กินปลาไหลเผือกคนเดียวที่รอดตายมาได้ มาเล่าเหตุการณ์เมืองล่มให้คนทั้งหลายฟัง



จึงเป็นอันว่าเชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์จากอินเดียได้หมดสิ้นไปจากที่ราบเชียงแสนตั้งแต่บัดนั้น



๒. เวลาในตำนานสิงหนวัติและความบิดเบือน



ตำนานสิงหนวัติมีปัญหาที่ทำให้ต้องถกเถียงกันมาแต่เดิมคือเรื่องของเวลา ประเด็นหนึ่งคือตัวเลขศักราช เนื่องจากเป็นเอกสารต้นฉบับตัวเขียนที่คัดลอกกันต่อๆ มา และแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง การคัดลอกเอกสารเก่าๆ ที่เป็นลายมือทำให้มีการผิดพลาดในการคัดลอก ตัวเลขศักราชที่กำกับเรื่องราวตามต้นฉบับตัวเขียนที่พบแล้วหลายฉบับจึงอาจไม่ตรงกัน ผิดเพี้ยนกันไปบ้าง ทำให้บางครั้งมีการถกเถียงกันว่าตัวเลขศักราชของฉบับใดจะถูกต้องมากกว่ากัน



อีกประเด็นหนึ่งคือ ศักราชที่ใช้ในตำนานปรากฏว่ามีถึง ๓ แบบ ซึ่งตำนานเรียกว่าโบราณศักราช ทุติยศักราช และตติยศักราช โดยไม่บอกว่าเป็นศักราชอะไร และเนื่องจากตำนานสิงหนวัติที่ใช้กันแพร่หลายแต่เดิมในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ เป็นการถอดความจากใบลานเดิม มีการตัดทอนข้อความที่คิดว่าไม่สำคัญออกไป คือส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องประวัติพระพุทธศาสนา ทำให้มีการแปลความหมายเวลาในตำนานผิดพลาดมาแต่สมัยโบราณ ปัจจุบันได้พบตำนานสิงหนวัติอีกหลายฉบับ มีการปริวรรตจัดพิมพ์โดยมิได้ตัดทอนข้อความใดๆ ออกไป และเมื่อได้วิเคราะห์เปรียบเทียบกับเรื่องราวทางศาสนาที่จะมีการกล่าวถึงสลับกันอยู่ คือพุทธประวัติและเรื่องการสังคายนาพระไตรปิฎก ก็จะสามารถทราบได้ว่าศักราชที่กล่าวถึงในตำนานสิงหนวัตินั้นประกอบด้วย ที่เรียกว่าโบราณศักราชนั้นคืออัญชนะศักราช ซึ่งเก่ากว่าพุทธศักราช ๑๔๘ ปี ทุติยศักราช ก็คือพุทธศักราช อันเป็นจำนวนปีหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน และตติยศักราช ก็คือมหาศักราช ซึ่งหลังกว่าพุทธศักราช ๖๒๑ ปี



โดยเฉพาะตำนานสิงหนวัติฉบับวัดร่องบงของจังหวัดเชียงรายที่ส่งไปนั้น มีข้อดีที่ผู้คัดลอกในสมัยโบราณได้พยายามกล่าวเปรียบเทียบในเหตุการณ์แต่ละตอนว่า ตรงกับพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วกี่ปี (คือตรงกับปีพุทธศักราชใด) บ่อยครั้งกว่าตำนานสิงหนวัติฉบับอื่นๆ ทำให้มีตัวเทียบกับพุทธศักราชได้มากกว่า



จึงอาจกล่าวโดยสรุปว่า สาระตำนานสิงหนวัตินั้นได้สมมติเวลาว่าเกิดขึ้นก่อนพระพุทธเจ้านิพพาน (ก่อนพุทธศักราช) ๑๔๘ ปี และเรื่องจะจบลงที่วงศ์กษัตริย์จากอินเดียหมดไป (คือเวียงล่มจมหายไปกลายเป็นหนองหล่ม) จากดินแดนที่ราบเชียงแสนก่อนเริ่มจุลศักราช คือก่อนพุทธศักราช ๑๑๘๑ อันเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของเรื่องลวจกราช ปฐมบรรพบุรุษของราชวงศ์พระเจ้ามังรายบนที่ราบเชียงแสน



ปีเกิดของพระเจ้าพรหมในตำนานฉบับวัดร่องบง ตรงกับมหาศักราช ๒๘๓ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ถูกต้องเมื่อเทียบกับฉบับตัวเขียนอื่นๆ คือมหาศักราช ๒๘๓ ตรงกับพุทธศักราช ๙๐๔ (๒๘๓ + ๖๒๑) แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าอาจเป็นมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายแล้ว ที่ตำนานสิงหนวัติได้ตกทอดมาสู่กรุงศรีอยุธยา ได้มีการเข้าใจผิดว่าศักราช ๒๘๓ เป็นจุลศักราช จึงมีการคำนวณโดยเข้าใจผิดว่าพระเจ้าพรหมเกิดเมื่อพุทธศักราช ๑๔๖๔ (๒๘๓ + ๑๑๘๑) ในหนังสือจดหมายเหตุโหร (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘)



เรื่องการเข้าใจผิดว่ามหาศักราชเป็นจุลศักราชนี้ มีหลักฐานเป็นมาตั้งแต่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชในสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ดังปรากฏเรื่องเล่าในบันทึกของลาลูแบร์ อัครราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาสมัยนั้น ที่ได้ฟังจากชาวอยุธยาเกี่ยวกับปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีลักษณะเป็นตำนานทำนองเดียวกันกับเรื่องพระเจ้าไชยศิริทรงอพยพผู้คนจากเมืองไชยปราการ (เชียงราย) หนีข้าศึกลงใต้มาสร้างเมืองใหม่ในตำนานสิงหนวัติว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๔๐๐ กว่าๆ



ข้อที่ทำความยุ่งยากแก่ตำนานเรื่องนี้มากขึ้นคือ เมื่อศักราชเรื่องพระเจ้าพรหมและทายาทผู้อพยพลงมาทางใต้ ถูกดึงให้ใหม่ขึ้นโดยความเข้าใจผิดถึง ๖๖๐ ปี ภายหลังได้มีการนำตำนานของคนภาคกลางเรื่องท้าวแสนปมเข้าไปต่อ (มีหลักฐานจากเรื่องพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับของวันวลิต เขียนขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแล้ว ที่ส่อให้เห็นแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าพรหมเป็นต้นราชวงศ์กษัตริย์อยุธยา) จึงทำให้เรื่องพระเจ้าพรหมและทายาทที่อพยพทิ้งเมืองไชยปราการที่เชียงราย กลายเป็นต้นบรรพบุรุษของปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา คือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง ด้วยเหตุนี้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์สมัยก่อนที่ศึกษาจากเรื่องตำนานแท้ๆ อย่างเดียว โดยมิได้นำตำนานมาทำการวิพากษ์เสียก่อน จึงเรียกราชวงศ์กษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาว่าราชวงศ์เชียงราย












๓. การทำความเข้าใจเรื่องประเภทตำนานของล้านนา




เรื่องราวที่ปรากฏสาระในเอกสารประเภทตำนานนั้น ควรเข้าใจว่าเรื่องประเภทตำนานนั้นมิใช่เรื่องที่แสดงเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างตรงไปตรงมา ตำนานบางเรื่องเป็นเพียงคำอธิบายง่ายๆ เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ทำไมฝนตกฟ้าร้อง การเกิดขึ้นของหนองน้ำขนาดใหญ่ ฯลฯ ตำนานบางเรื่องเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับกำเนิดของบ้านเมืองผู้คน ซึ่งคำอธิบายเหล่านี้ก็มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับภูมิความรู้ของผู้รู้ในสมัยโบราณ ผู้สร้างคำอธิบาย ตำนานประเภทนี้อาจมีที่มาจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับบรรพบุรุษคนสำคัญในอดีต ซึ่งได้รับความเชื่อถือในลักษณะของการเป็นผีของชนเผ่ามาก่อน ต่อมาภายหลังก็ได้รับการเสริมเติมแต่งเรื่องราวให้พิสดารยิ่งขึ้น เรื่องที่นำมาตกแต่งเพิ่มเติมเท่าที่พบส่วนมากจะได้เค้าโครงมาจากเรื่องในชาดก ตำนานบางเรื่องก็แต่งขึ้นจากเค้าโครงเดิมที่เป็นคติในทางศาสนา ดังเช่นเรื่องในตำนานสิงหนวัติ อันเป็นเรื่องตำนานที่จะกล่าวเน้นเป็นสำคัญในบทความนี้ ฯลฯ



ดังนั้นก่อนที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าพรหมที่เป็นเรื่องอยู่ในตำนานสิงหนวัติต่อไป ในที่นี้ควรที่จะทราบเกี่ยวกับคติในทางพุทธศาสนาที่สำคัญที่ควรทราบ อันเป็นพื้นฐานที่จะเข้าใจเรื่องในตำนานที่จะกล่าวถึงต่อไป



๓.๑ เรื่องของวงศ์กษัตริย์ในโลกนี้ ปรากฏอยู่ในอัคคัญสูตร ทีฆนิกายปาฏิกวัคค์ ในพระสุตตันตปิฎก ความว่า เมื่อไฟได้เผาผลาญสรรพสิ่งและชีวิตทั้งหลายในกัปป์ที่แล้วหมดไป ฝนตกน้ำท่วมดับไฟแล้ว และน้ำลดลง เกิดทวีป ๔ ทวีป กับอีก ๒,๐๐๐ อนุทวีป กัปป์ใหม่ชื่อว่าภัททกัปป์ อันเป็นกัปป์ปัจจุบันได้เกิดขึ้น กัปป์นี้มีพระโพธิสัตว์ที่พร้อมแล้วจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ได้สถิตรออยู่แล้วในสวรรค์ชั้นดุสิต



ในช่วงเวลาที่แรกเกิดภัททกัปป์ ยังไม่มีพระโพธิสัตว์พระองค์ใดลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี้เรียกว่าช่วงเวลาปฐมกัปป์ พรหมทั้งหลายในชั้นอกนิฏฐา ได้กลิ่นหอมของดินที่เกิดขึ้นใหม่ๆ จึงลงมาเกิดเองเป็นมนุษย์ในโลก ๘๔,๐๐๐ คน เมื่อแรกกินดินเข้าไปกิเลสตัณหาทั้งหลายก็ได้พัฒนาขึ้นในมนุษย์เหล่านั้น แรกก็เป็นเรื่องราคะที่เกิดขึ้นก่อน มนุษย์จึงเกิดมีเพศชายหญิง เสพผสมพันธุ์กันเกิดลูกหลานเป็นมนุษย์สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน



เมื่อเวลาล่วงนานเข้า ความเสื่อมโทรมในโลกมนุษย์ก็มีมากขึ้น อาทิ อาหารที่มีอยู่เองทั่วไปอย่างไม่จำกัดก็ไม่เหมือนเดิม ต้องมีการเพาะปลูก สะสม แบ่งที่ดินทำกิน ฯลฯ เกิดการแย่งชิงทะเลาะเบาะแว้งไม่มีความสงบ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๔ คือพระโคตมะโพธิสัตว์จึงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มหาชนทั้งหลายจึงแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ คำว่ากษัตริย์มีความหมายว่าผู้เป็นใหญ่แห่งนา และด้วยเหตุที่มหาชนร่วมกันแต่งตั้งขึ้น ปฐมกษัตริย์จึงมีพระนามว่าพระมหาสมมติ ตำนานของล้านนาบางฉบับเรียกว่าพระสมันตราชก็มี พระมหาสมมติปฐมกษัตริย์ได้ทำหน้าที่แบ่งปัน ดูแลตัดสินข้อขัดแย้งในด้านทรัพยากร มหาชนจึงมีความสงบสุข กษัตริย์จึงได้รับการเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระราชา คือผู้ที่ทำความสุขใจให้แก่ผู้อื่น



พระมหาสมมติเป็นกษัตริย์ปกครองประชาชนอยู่ช่วงเวลาหนึ่งก็สวรรคต กลับไปเป็นพระโพธิสัตว์อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตอย่างเดิม ในโลกมนุษย์ก็มีวงศ์วานว่านเครือปกครองบ้านเมืองกันต่อๆ มาจำนวนนับไม่ถ้วน ผ่านเวลาของพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ คือพระพุทธกกุสันธะ พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ คือพระพุทธโกนาคม พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ คือพระพุทธกัสสปะ จนถึงเวลาของพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน คือพระพุทธโคตมะ เชื้อสายของพระมหาสมมติก็ได้เป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองทั้งหลายในชมพูทวีปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ของพระเวสสันดร หรือราชวงศ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ (ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธโคตมะ พระพุทธเจ้าของเราปัจจุบัน) ก็ล้วนแต่สืบสายตระกูลมาจากพระมหาสมมติทั้งสิ้น เพราะวงศ์กษัตริย์ในโลกตามคติเดิมของชาวอินเดียนั้นถือว่ามีเพียงวงศ์เดียว



จากแนวคิดเกี่ยวกับวงศ์กษัตริย์ในพระไตรปิฎกเช่นนี้ เมื่อพิจารณาตำนานสิงหนวัติที่กล่าวว่า เจ้าชายสิงหนวัติกุมารเป็นโอรสกษัตริย์กรุงราชคฤห์ นำไพร่พลเสด็จมาตั้งเมืองโยนกนาคพันธ์บนที่ราบเชียงแสน โดยเดินทางข้ามแม่น้ำสรภูมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้น แสดงว่าตำนานเรื่องนี้ต้องการจะชี้ว่าราชวงศ์กษัตริย์วงศ์นี้มาจากชมพูทวีป (คืออินเดีย) สืบเชื้อสายมาจากพระมหาสมมติปฐมกษัตริย์ ชื่อแม่น้ำสรภู ก็เป็นชื่อแม่น้ำหนึ่งในปัญจมหานทีในชมพูทวีปตามที่ระบุอยู่ในอัคคัญสูตรนั่นเอง



เมื่อเป็นกษัตริย์ครองเมืองโยนกนาคพันธ์สืบต่อๆ กันมา ตำนานสิงหนวัติก็กล่าวว่าไม่มีการผสมกับไพร่เมือง คือเป็นวงศ์กษัตริย์บริสุทธิ์ ไม่ผสมปนเปกับคนพื้นเมืองท้องถิ่น ดังนั้นเมื่อตอนสุดท้ายที่กล่าวถึงเมืองล่มจมหาย เพราะคนกินปลาไหลเผือก กลายเป็นหนองหล่ม ในท้องที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มาถึงบัดนี้นั้น เชื้อสายวงศ์กษัตริย์ที่อยู่ในเมืองตายหมด ไพร่บ้านที่อยู่นอกเมืองจึงตกลงกันเลือกโภชกนายบ้านขึ้นมาปกครองกันเอง การที่ไม่ได้ให้โภชกนายบ้านเป็นกษัตริย์ ก็เพราะผู้แต่งตำนานเรื่องนี้ต้องการชี้ให้เห็นความชอบธรรมของผู้ที่จะได้ราชาภิเษกเป็นกษัตริย์นั้นว่า ต้องเป็นวงศ์กษัตริย์ที่สืบต่อๆ กันมา ซึ่งมีอยู่วงศ์เดียวในโลก คือวงศ์ของพระมหาสมมติ คนพื้นเมืองไม่มีสิทธิ์เป็นกษัตริย์



ก่อนเวลาที่เวียงโยนกล่มสิ้นวงศ์กษัตริย์นั้น ตำนานสิงหนวัติได้กล่าวถึงพระเจ้าพรหม ซึ่งทรงแยกไปสร้างเวียงไชยปราการ (ซึ่งพิจารณาตามสาระในตำนานเดิม ควรอยู่ประมาณท้องที่อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน) ดังนั้นจึงยังคงมีวงศ์กษัตริย์อยู่ที่เมืองนี้อีกเมืองหนึ่ง แต่เมื่อถึงรุ่นลูกของพระเจ้าพรหมในช่วงเวลาก่อนการตั้งจุลศักราช ก็ต้องหนีภัยข้าศึกทิ้งบ้านเมืองอพยพผู้คนไปจนหมด ลงไปตั้งหลักแหล่งบ้านเมืองใหม่ใต้ลงไป (เชื่อกันว่าตรงกันกับเมืองไตรตรึงส์ ในจังหวัดกำแพงเพชรปัจจุบัน)



ด้วยเหตุนี้ตำนานสิงหนวัติจึงต้องการชี้ให้เห็นว่า ในที่สุดในสมัยเวลาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (ก่อน พ.ศ. ๑๑๘๑ อันเป็นปีตั้งจุลศักราช) พื้นที่ราบเชียงแสนปราศจากวงศ์กษัตริย์จากชมพูทวีปอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เพื่อเตรียมพื้นที่รองรับราชวงศ์ใหม่ คือวงศ์ลาวจก ต้นผีบรรพบุรุษของพระเจ้ามังรายที่จะลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ปกครองที่ราบเชียงแสนต่อไป ตั้งแต่จุลศักราช ๑ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๑๘๑



๓.๒ เรื่องความเจริญความเสื่อมของบ้านเมือง เป็นคติทางพระพุทธศาสนาอีกเรื่องหนึ่งที่ควรทราบ เพื่อเป็นแนวคิดในการนำมาพิจารณาตำนานของล้านนาและตำนานอื่นๆ ในสยามประเทศได้อีกเรื่องหนึ่ง มีปรากฏในพระไตรปิฎกในตอนต้นเรื่อง มหาสุทัสสนสูตร ทีฆนิกาย มหาวัคค์ ความว่า



เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงราวป่าเมืองกุสินารา เพื่อเตรียมเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ ที่นั้น พระอานนท์จึงถามพระพุทธองค์ว่า ทำไมทรงเลือกเมืองกุสินารา ซึ่งเป็นเมืองเล็กสำหรับเป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ทำไมไม่ทรงเลือกเมืองใหญ่ที่มีพระราชามหากษัตริย์เป็นพุทธสาวก ให้เหมาะสมกับการเสด็จปรินิพพานอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์



พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์มิให้คิดเช่นนั้นเป็นสำคัญ เพราะบ้านเมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ ในอดีตกาลนั้นต่างก็เคยเป็นเมืองไม่ใหญ่ก็เล็กมาก่อนทั้งสิ้น ดังเช่นเมืองเล็กคือเมืองกุสินาราในปัจจุบัน ในอดีตอนันตกาลก็เคยเป็นเมืองใหญ่ ชื่อเมืองกุสาวดีของพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามพระเจ้ามหาสุทัสสนะมาก่อนแล้ว



หลังจากนั้นก็เป็นการบรรยายความใหญ่โตมโหฬารของเมืองพระเจ้าจักรพรรดิอย่างยืดยาว ซึ่งประเด็นสำคัญของพระสูตรเรื่องนี้นั้น ก็เพื่อแสดงให้เห็นความไม่เที่ยงแท้ของบ้านเมืองที่มีการเกิดและล่มสลายสลับสับเปลี่ยนกันไป เหมือนเมืองกุสาวดีของพระเจ้าจักรพรรดิพระเจ้ามหาสุทัสสนะที่ยิ่งใหญ่ ในที่สุดก็ต้องสิ้นสลายไป มาบัดนี้ได้เกิดเป็นบ้านเมืองขึ้นมาใหม่อีกกลายเป็นเมืองขนาดเล็กชื่อเมืองกุสินารา



แนวคิดเช่นนี้เห็นได้ว่ามีการนำมาแต่งตำนานของล้านนาด้วย ซึ่งในการพิจารณาเรื่องตำนานสิงหนวัติ ควรพิจารณาประกอบกับตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ ซึ่งจัดอยู่ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๒ จึงจะสามารถทำความเข้าใจได้กระจ่างที่จะโยงไปยังตำนานอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของลาวจกต้นวงศ์ของพระเจ้ามังราย



ตำนานสุวรรณโคมคำ กำหนดเวลาของเรื่องตั้งแต่สมัยปฐมกัปป์ กล่าวตามอัคคัญสูตรที่เกิดแผ่นดิน ๔ ทวีป เกิดสรรพสิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์ และเกิดแผ่นดินที่ราบเชียงแสนอันเป็น ๑ ใน ๒,๐๐๐ อนุทวีป คนสัตว์ทั้งหลายก็ได้เข้ามาอยู่อาศัย เวลาล่วงเลยผ่านสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ คือพระพุทธกกุสันธะ มาจนถึงสมัยปลายของพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ คือพระพุทธโกนาคม



ครั้งนั้นเกิดโรคระบาดในชมพูทวีป วงศ์กษัตริย์เชื้อสายพระมหาสมมติพระองค์หนึ่งพร้อมพระมเหสีทรงหนีโรคระบาดเสด็จมาถึงเมืองของพวกขอมดำ และได้เกิดโอรสพระองค์หนึ่ง ด้วยบุญญาธิการในระยะเวลาต่อมาพระโอรสองค์นี้ทรงได้มีอำนาจเหนือพวกขอมดำ เป็นกษัตริย์ครองเมืองโพธิสารหลวง (คือเมืองพระนครหลวง หรือเมืองนครธมในกัมพูชา) ต่อมาทรงได้อภิเษกสมรสกับราชธิดาผู้สืบวงศ์กษัตริย์จากพระมหาสมมติเหมือนกัน ผู้ซึ่งเดินทางหนีโรคระบาดมาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ด้วยอีกผู้หนึ่ง



เชื้อสายกษัตริย์พระมหาสมมติวงศ์แห่งเมืองโพธิสารหลวงพระองค์หนึ่ง ในเวลาต่อมาได้เกิดเหตุถูกใส่ร้ายจากขุนนางที่เป็นพวกขอมดำ ต้องออกจากบ้านเมือง เสด็จขึ้นมาตามลำน้ำโขง ถึงบริเวณปากแม่น้ำกกของบริเวณที่ราบเชียงแสน จึงตั้งเมืองขึ้น ณ ที่นั้น ชื่อเมืองสุวรรณโคมคำ ส่วนที่เมืองโพธิสารหลวงภายหลังกษัตริย์วงศ์พระมหาสมมติที่นั่นทรงได้ทราบข้อเท็จจริง จึงคืนดีกันกับกษัตริย์เมืองสุวรรณโคมคำ และขับไล่พวกขอมดำออกจากเมือง ขอมดำบางพวกได้ขึ้นมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเมืองสุวรรณโคมคำ บางพวกไปตั้งบ้านเมืองที่ต้นแม่น้ำกก ชื่อเมืองอุมงคเสลา



วงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติทรงปกครองเมืองสุวรรณโคมคำสืบต่อกันมาจำนวนนับไม่ถ้วน ตำนานสุวรรณโคมคำกล่าวว่า กษัตริย์บางพระองค์ที่ดีก็มีที่ไม่ดีก็มี ครองเมืองมาจนถึงสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ คือพระพุทธกัสสปะ ก็สิ้นกษัตริย์วงศ์พระมหาสมมติแห่งเมืองสุวรรณโคมคำ พวกขอมดำได้เข้ามาอยู่ครอบครองเมืองแทน



ครั้งหนึ่งขอมดำเมืองสุวรรณโคมคำคดโกงพ่อค้าที่เป็นคนดี พญานาคผู้มีความสัมพันธ์ชอบพอกับพ่อค้าจึงโกรธ ขึ้นมาคุ้ยควักถล่มทลายเมืองสุวรรณโคมคำจมแม่น้ำโขงไป พวกขอมดำจึงหนีกระจัดกระจายไปทั่วทั้งสองฟากแม่น้ำโขง บ้างก็กลับไปเมืองอุมงคเสลา บ้างหลบซ่อนอยู่ตามป่าเขา ซึ่งพวกขอมดำเหล่านี้ตำนานต้องการจะอธิบายที่มาของคนผิวดำที่เป็นอนารยชน ที่พบกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เผ่าพันธุ์หนึ่งที่รู้กันดีในปัจจุบันคือพวกขมุ



จากตำนานเมืองสุวรรณโคมคำที่กล่าวผ่านมา เมื่อพิจารณาประกอบกับตำนานสิงหนวัติ จะเห็นว่าตำนานทั้งสองแต่งขึ้นให้มีความสืบเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เพื่อแสดงว่าบนพื้นที่ราบเชียงแสนอันเป็นหนึ่งใน ๒,๐๐๐ อนุทวีปที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ ได้เคยเป็นบ้านเมืองที่มีวงศ์กษัตริย์สืบมาแต่พระมหาสมมติได้เข้ามาปกครอง เมืองแรกคือเมืองสุวรรณโคมคำ ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒-๓ แต่ก็ต้องล่มจมลงในแม่น้ำโขงไป ต่อมาถึงสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ก็เป็นบ้านเมืองใหม่ของพระเจ้าสิงหนวัติ คือเมืองโยนกนาคพันธ์ แต่ในที่สุดเมืองก็ล่มจมหายกลายเป็นหนองหล่มไปอีก



ทั้งหมดก็เพื่อปูทางไปสู่เรื่องในตำนานอีกเรื่องหนึ่ง คือตำนานลาวจก ผู้เป็นต้นผีบรรพบุรุษของพระเจ้ามังราย ผู้จะสร้างบ้านเมืองขึ้นมาใหม่บนที่ราบเชียงแสนอีกครั้งหนึ่ง คือเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน แต่ครั้งนี้ผู้เป็นกษัตริย์เป็นวงศ์พื้นเมืองที่มิได้สืบมาจากพระมหาสมมติตามเรื่องที่กล่าวผ่านมา



๓.๓ ตำนานลาวจก หรือลวจกราช เป็นเรื่องที่นำมาพิมพ์ต่อจากตำนานสิงหนวัติในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ เนื้อเรื่องสืบเนื่องมาจากตำนานสิงหนวัติเช่นกัน โดยเล่าว่าหลังจากเมืองโยนกนาคพันธ์ล่มสลายสิ้นวงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติแล้ว พระเจ้าอนิรุธทรงได้ลบศักราชเดิม ตั้งจุลศักราชขึ้นมาใหม่ หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๑๑๘๑ ปี (พ.ศ. ๑๑๘๑)



พระเจ้าอนิรุธจึงทรงเรียกกษัตริย์เมืองต่างๆ เพื่อมาประชุมรับทราบการลบศักราชเก่า ตั้งศักราชใหม่ของพระองค์ ครั้งนั้นไม่มีกษัตริย์จากบริเวณที่ราบเชียงแสนมาประชุม เนื่องจากวงศ์กษัตริย์ได้สูญสิ้นไปแล้วตั้งแต่เวียงโยนกนาคพันธ์ล่มและวงศ์กษัตริย์เมืองไชยปราการอพยพหนีข้าศึกลงใต้ พระเจ้าอนิรุธจึงทรงขอให้พระอินทร์ขึ้นไปเชิญเทพบุตรลาวจกที่อยู่บนสวรรค์ลงมาเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองที่ว่างกษัตริย์แห่งนี้



ที่มาของลาวจกมีกล่าวอยู่ก่อนแล้วในตำนานสิงหนวัติ และในตำนานพระธาตุดอยตุงว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าโคตมะ พระพุทธเจ้าของเราเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระมหากัสสปะอรหันต์ได้นำพระธาตุรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) มายังเมืองโยนกนาคพันธ์ ตามคำทำนายของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังทรงพระชนมายุอยู่ และได้เคยเสด็จมา ณ ที่นี้ ขณะนั้นกษัตริย์เมืองโยนกเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้าชายสิงหนวัติ จึงได้มาขอซื้อที่บนดอยตุงจากลาวจกเพื่อเป็นที่สถาปนาพระธาตุ และได้สร้างสถูปขึ้นโดยให้ปู่เจ้าลาวจกกับเมียเฝ้าดูแลรักษา



ปู่เจ้าลาวจกกับเมียคือย่าเจ้าลาวจกดูแลรักษาพระธาตุเป็นเวลาถึง ๒๐๐ ปีก็ตาย เมื่อตายแล้วด้วยผลบุญที่เฝ้าปรนนิบัติพระธาตุมานาน จึงได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาบนสวรรค์ เมื่อแผ่นดินที่ราบเชียงแสนว่างกษัตริย์ลง พระอินทร์จึงเชิญให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เทพบุตรเทพธิดาทั้งคู่ได้เนรมิตบันไดเงินเป็นทางลงมาบนแผ่นดินนี้ อุปปาติกะกำเนิดคือเกิดเป็นตัวตนมนุษย์ชายหญิงอายุ ๑๖ ปี สร้างเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสนขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองมีลูกหลานสืบต่อกันมาจนถึงพระเจ้ามังราย ปฐมกษัตริย์ผู้เสด็จไปสร้างเมืองเชียงใหม่ต่อมา



ตำนานเรื่องปู่เจ้าลาวจกหรือลวจกราชกับเมีย ลงมาจากสวรรค์อุปปาติกะกำเนิดเป็นมนุษย์อายุ ๑๖ ปี สร้างเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน ต้นบรรพบุรุษของพระเจ้ามังรายนี้ ปรากฏอยู่ในตอนต้นของตำนานเมืองพะเยา และตำนานเมืองเชียงแสนในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ และตอนต้นของตำนานเมืองเชียงใหม่ ที่มีการตีพิมพ์โดยสถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่หลายฉบับ ซึ่งบางฉบับก็มีชื่อเรียกต่างกันออกไปบ้างก็มี



กล่าวโดยสรุป เมื่อพิจารณาตำนานของล้านนาอันเป็นเรื่องหลักสำคัญ ๓ เรื่อง คือเรื่องเมืองสุวรรณโคมคำ ตำนานสิงหนวัติ และตำนานลาวจก รวมทั้งตำนานพระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงราย จะสามารถประมวลเรื่องราวได้ว่า เป็นคำอธิบายในสมัยโบราณเกี่ยวกับการเกิดขึ้นมาของแผ่นดินที่ราบเชียงแสน อันเป็นแผ่นดินบรรพบุรุษกษัตริย์ราชวงศ์มังราย ผู้ครอบครองดินแดนล้านนาในเวลาต่อมา



มีความชัดเจนว่าคำอธิบายการเกิดขึ้นของแผ่นดิน บ้านเมืองที่มีวงศ์กษัตริย์ปกครองที่เกิดขึ้นแล้วล่มสลายไป ๒ ครั้ง มีที่มาจากพระสูตรสำคัญในพระสุตตันตปิฎก คืออัคคัญสูตร และมหาสุทัสสนสูตร เป็นการแสดงถึงหลักธรรมคือ ความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งในโลก ที่เมื่อเกิดมาได้ก็ต้องสิ้นสุดลงหาความแน่นอนไม่ได้



ส่วนเรื่องวงศ์กษัตริย์ที่สืบมาจากพระมหาสมมติที่ได้ครอบครองเมืองทั้งสองนั้นก็เป็นการแสดงแนวคิดเกี่ยวกับวรรณะกษัตริย์ที่สืบมาแต่สมัยโบราณในชมพูทวีป ที่มีความชอบธรรมในการสืบสันตติวงศ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง อันเป็นการถือความสำคัญของการสืบสายเลือดในวงศ์ตระกูล



ตำนานล้านนาทั้งหลายล้วนแต่แต่งขึ้นโดยพระภิกษุที่ทรงภูมิรู้ในสมัยล้านนา ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์ของพระเจ้ามังราย การที่จะแสดงความชอบธรรมของราชวงศ์มังรายที่มีอำนาจขึ้นเป็นกษัตริย์ครอบครองบ้านเมืองเริ่มแรกในพื้นที่ราบเชียงแสนเป็นครั้งที่ ๓ ต่อจากวงศ์กษัตริย์สิงหนวัติ ให้มีเชื้อสายสืบมาจากพระมหาสมมตินั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้ เพราะกษัตริย์ราชวงศ์ในตำนานพระเจ้ามังรายมีคติความเชื่อพื้นเมืองที่สืบต่อกันมาอยู่แล้วก่อนรับพระพุทธศาสนา เกี่ยวกับต้นผีบรรพบุรุษของตนคือปู่เจ้าลาวจกซึ่งสถิตอยู่บนดอยตุง



หลักธรรมอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการเป็นธรรมทายาท จึงถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความกลมกลืนกับคติพื้นเมืองที่นับถือผีบรรพบุรุษ ดังจะเห็นจากตอนหนึ่งในตำนานสิงหนวัติและตำนานพระธาตุดอยตุง ที่เล่าถึงเวลาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระมหากัสสปะอรหันต์ได้นำพระธาตุรากขวัญมายังดินแดนโยนกนาคพันธ์ กษัตริย์เมืองโยนกได้ขอซื้อที่ดินปู่เจ้าลาวจกบนดอยตุง เพื่อสถาปนาพระธาตุรากขวัญ ปู่เจ้า-ย่าเจ้าลาวจกได้เฝ้าปรนนิบัติพระธาตุบนดอยตุงถึง ๒๐๐ ปี เมื่อตายจึงไปเกิดบนสวรรค์ รอเวลาเมื่อบ้านเมืองบนที่ราบเชียงแสนว่างกษัตริย์ลง พระอินทร์จึงขึ้นไปอัญเชิญลงมาอุปปาติกะกำเนิดเป็นมนุษย์ชายหญิง ลวจกราชสร้างเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน เป็นกษัตริย์ต้นราชวงศ์ของพระเจ้ามังรายสืบต่อมา



ปู่เจ้า-ย่าเจ้าลาวจกที่ได้เฝ้าปรนนิบัติพระธาตุ จึงหมายถึงต้นผีบรรพบุรุษของพระเจ้ามังรายตามคติพื้นเมืองที่ภายหลังต่อมาได้รับนับถือพระพุทธศาสนา เท่ากับเป็นธรรมทายาท คือผู้สืบต่อจากพระพุทธองค์ผู้ทรงมีวรรณะเดิมเป็นวรรณะกษัตริย์ ราชวงศ์ของพระเจ้ามังรายจึงมีความชอบธรรมที่จะเป็นกษัตริย์ครองแผ่นดินล้านนา แม้มิได้สืบสายเลือดมาจากพระมหาสมมติก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้สืบสันดานอย่างแท้จริงโดยทางธรรมจากพระพุทธองค์



ดังนั้นเรื่องในตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ ตำนานสิงหนวัติ และตำนานลาวจก จึงมิใช่เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เป็นความจริงในระดับโลกย์ธรรม แต่จะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ความคิดของคนในช่วงเวลาหนึ่ง ที่มองโลกผ่านแนวคิดตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ผสมผสานกับคติพื้นเมือง เป็นการมองข้ามความจริงทางโลกย์ธรรม เพื่ออธิบายความจริงในระดับโลกุตรธรรม



หมายเหตุ มีหลายพระสูตรในพระสุตตันตปิฎก ที่กล่าวถึงการถกเถียงปัญหาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพราหมณ์ ในประเด็นเรื่องวรรณะกษัตริย์มีความสำคัญมากกว่าวรรณะพราหมณ์ ซึ่งในตอนท้ายก็จะมีการสรุปว่า แม้วรรณะกษัตริย์จะมีความสำคัญมากกว่า แต่ผู้ที่นับถือปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ก็มีความหมายยิ่งกว่าการอยู่ในวรรณะใดๆ ทั้งสิ้น นั่นคือพระพุทธศาสนาให้ความสำคัญการสืบทอดทางสันดานมากกว่าการสืบทอดทางสายโลหิต

พระธรรมข้อนี้พิจารณาได้จากพระสูตรในพระสุตตันตปิฎก เช่น โสณทัณฑสูตร อัมพัฏฐสูตร เป็นต้น
๔. ความหมายของเรื่องพระเจ้าพรหมในตำนานล้านนา




ดังได้กล่าวแล้วถึงเรื่องพระเจ้าพรหมว่า ปรากฏอยู่ในตำนานสิงหนวัติ ซึ่งในการจัดลำดับเวลาในตำนานเรื่องสิงหนวัติ (ซึ่งรวมทั้งเรื่องของพระเจ้าพรหมด้วย) จะต้องสิ้นสุดลงก่อน พ.ศ. ๑๑๘๑ อันเป็นเวลาเริ่มต้นของตำนานลาวจก แต่ด้วยความสับสนในเรื่องเวลามหาศักราชที่เข้าใจผิดว่าเป็นจุลศักราช ทำให้เรื่องของพระเจ้าพรหมถูกยืดเวลาให้ใหม่ขึ้นอีก ๖๖๐ ปี กลายเป็นเรื่องเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๔๐๐ เศษ และถูกนำมาต่อเข้ากับตำนานภาคกลางเรื่องท้าวแสนปม ดังนั้นเรื่องพระเจ้าพรหมจึงกลายเป็นตำนานต้นบรรพบุรุษของกษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา ความเชื่อเช่นนี้มีมาตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง



โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มแรกมีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ขึ้นในประเทศไทย ผู้รู้ที่ศึกษาทางด้านนี้ล้วนเป็นนักวิชาการในส่วนกลาง ประวัติศาสตร์ไทยที่แรกเริ่มศึกษากัน จึงใช้ข้อมูลจากเอกสารที่มีลักษณะการมองออกไปจากศูนย์กลางเป็นหลัก เรื่องตำนานพระเจ้าอู่ทอง ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา มีบรรพบุรุษสืบมาจากพระเจ้าพรหมแห่งเมืองเชียงรายโบราณ จึงได้รับการเรียนรู้สืบกันต่อมาโดยระบบโรงเรียน หาใช่โดยระบบความเชื่อที่มีสืบต่อกันมาในท้องถิ่นไม่



แท้ที่จริงแล้ว หากกลับมาพิจารณาเรื่องพระเจ้าพรหมที่ปรากฏในตำนานท้องถิ่นของล้านนาเองก็จะเห็นว่า มิใช่วัตถุประสงค์หลักของตำนานท้องถิ่นแต่อย่างใดที่มีการเล่าเรื่องพระเจ้าพรหม เพราะโดยรวมของตำนานทั้งตำนานเมืองสุวรรณโคมคำและตำนานสิงหนวัติ ก็มีความเพียงพอที่จะอธิบายการเกิดขึ้นและล่มสลายลงของบ้านเมืองบนที่ราบเชียงแสน ที่มีกษัตริย์สืบจากวงศ์พระมหาสมมติปกครองอยู่ ก่อนที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ในครั้งที่ ๓ โดยกษัตริย์พื้นเมืองตามความชอบธรรมที่เป็นธรรมทายาทของพระพุทธศาสนาในตำนานลาวจกอันเป็นจุดประสงค์ของตำนานทั้งสามเรื่องนี้



ยิ่งพิจารณาโดยชื่อพระเจ้าพรหม ก็มีความชัดเจนว่าเป็นชื่อที่เป็นภาษาทางศาสนา หาได้มีชื่อที่มีลักษณะของการเป็นผีท้องถิ่น เช่น ลาวจก ลาวเก๊า ขุนเจือง พระยาร่วง ฯลฯ ไม่ ดังนั้นเรื่องพระเจ้าพรหมจึงเป็นเรื่องเพิ่มขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่มิใช่วัตถุประสงค์หลัก ดังที่แสดงให้เห็นแล้วในภาพรวมของตำนานทั้งสามเรื่อง



ในที่นี้จะขอกล่าวถึงลักษณะตำนานของคนไทยอีกเล็กน้อยว่า ตำนานที่เป็นเรื่องยืดยาวหลายเรื่องติดต่อกันนั้น บางทีต้องมีการสอบค้นพอสมควร ที่จะทราบวัตถุประสงค์หลักที่ตำนานต้องการอธิบาย ในขณะเดียวกันเรื่องตำนานที่กล่าวอย่างยืดยาวย่อมมีวัตถุประสงค์รองที่ตำนานต้องการอธิบายแทรกอยู่ด้วยเป็นบางตอน ที่ชัดเจนในตำนานเมืองสุวรรณโคมคำก็คือ การอธิบายที่มาของชนเผ่าผิวดำที่พบอยู่ทั่วไปตามป่าเขาในเอเชียอาคเนย์ว่า มีที่มาจากพวกขอมดำ ที่ในอดีตเคยมีบ้านเมืองใหญ่บ้างเล็กบ้างอยู่กันมาก่อน เรื่องเมืองโพธิสารหลวง ก็เป็นคำอธิบายเกี่ยวกับชนชั้นปกครองที่มีอารยธรรมแห่งเมืองนครหลวงกัมพูชา ว่าสืบมาแต่ราชวงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติจากชมพูทวีป ที่เข้ามาแทนที่พวกขอมดำชนพื้นเมืองเดิม



สำหรับตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ และตำนานสิงหนวัติย่อมแต่งขึ้นโดยพระภิกษุผู้ทรงภูมิรู้ในสมัยกษัตริย์ราชวงศ์มังรายครองแว่นแคว้นล้านนา ซึ่งในสมัยนั้นมีบ้านเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองในภาคกลางที่พระภิกษุเหล่านี้รู้จัก ที่สำคัญคืออยุธยาและละโว้หรือลพบุรี บ้านเมืองในภาคกลางเหล่านี้ล้วนได้รับพระพุทธศาสนา และศาสนาของพราหมณ์จากชมพูทวีปมาเป็นเวลานานแล้ว ก่อนเวลาการเขียนตำนานของล้านนา (เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑) ก็เป็นเวลาร่วม ๑,๐๐๐ ปีมาแล้ว



เวลา ๑,๐๐๐ ปีมิใช่เวลาสั้นๆ จึงน่าเป็นไปได้ที่ความเชื่อใหม่จากชมพูทวีปไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนา หรือศาสนาของพราหมณ์ได้เข้ามาครอบงำลึกลงถึงรากเหง้า จนคติเดิมเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษพื้นเมืองในท้องถิ่นภาคกลางได้สูญสิ้นไป ดังนั้นเมื่อภิกษุล้านนาแต่งตำนานที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองในภาคกลาง เช่น เรื่องพระนางจามเทวี จึงเล่าว่าเป็นธิดากษัตริย์แห่งกรุงละโว้ คำว่ากษัตริย์ในตำนานจามเทวีวงศ์นั้นจะหมายถึงอื่นใดมิได้ นอกไปจากหมายถึงราชวงศ์กษัตริย์ผู้สืบสายพระมหาสมมติจากชมพูทวีป



และเช่นเดียวกันกับกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา อันเป็นบ้านเมืองเก่าแก่สืบกันมาในภาคกลาง จึงได้รับการอธิบายว่า สืบมาจากวงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติเช่นเดียวกัน โดยมีรายละเอียดว่าสืบมาแต่พระเจ้าพรหมแห่งเมืองไชยปราการ (เชียงราย) ผู้สืบสายมาจากพระเจ้าสิงหนวัติ โอรสกษัตริย์สมมติวงศ์แห่งกรุงราชคฤห์ในชมพูทวีป



หลักฐานที่ชัดเจนเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ ตอนที่กล่าวถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ความว่า



...จุลศักราช ๙๓๐ ตัว ฟ้ามังทลาไปรบเมืองอโยธยาได้ แล้วฆ่าพระมหากษัตริย์อโยธยาอันเป็นชาติเชื้อวงศาแห่งพระยาพรหมกุมารเมืองโยนกนครเชียงแสนนั้นเสีย แล้วเอาพระยาพิษณุโลกอันเป็นชาติเชื้อเมืองละโว้เก่านั้นไปกินเมืองอโยธยา สืบไป...



ใคร่ขอเปรียบเทียบ เมื่อตำนานของล้านนากล่าวถึงผู้ครองเมืองสุโขทัยคือพระร่วงหรือพระยาร่วง เนื่องจากสุโขทัยพัฒนาขึ้นเป็นบ้านเมืองและนับถือพระพุทธศาสนา ก่อนหน้าบ้านเมืองศูนย์กลางของล้านนาเล็กน้อย ในช่วงเวลาที่มีการเขียนตำนานของล้านนา ทางสุโขทัยก็ยังปรากฏความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษอยู่ (เช่น ขุนจิดขุนจอด ในศิลาจารึกหลักที่ ๔๕) ดังนั้นเมื่อตำนานล้านนาอธิบายต้นตระกูลของราชวงศ์พระร่วง จึงกล่าวว่าเป็นลูกนางนาคหรือลูกของนางผีเสื้อ มิได้ยกให้เป็นเชื้อสายกษัตริย์สมมติวงศ์จากชมพูทวีป เหมือนกับกษัตริย์ของบ้านเมืองในภาคกลาง ที่ความเชื่อผีบรรพบุรุษดั้งเดิม ได้ถูกครอบงำโดยศาสนาจากชมพูทวีปหมดจนไม่เห็นเค้าเดิมแล้ว



กล่าวโดยสรุป เรื่องตำนานพระเจ้าพรหมมิใช่วัตถุประสงค์หลักของคำอธิบายความหมายในตำนานสิงหนวัติ แต่เสมือนเป็นคำอธิบายเพิ่มเติม ถึงบ้านเมืองที่ล้านนามีความเกี่ยวข้องด้วยขณะที่แต่งตำนาน เป็นบ้านเมืองที่การเชื่อถือผีบรรพบุรุษดั้งเดิมได้ลบเลือนไปหมดแล้ว เรื่องพระเจ้าพรหมซึ่งเป็นเชื้อสายสมมติวงศ์ตามคติทางศาสนา จึงได้รับการนำมาอธิบายถึงที่มาของราชวงศ์กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา



ดังนั้นพระเจ้าพรหมจึงมิใช่ผีบรรพบุรุษของชาวล้านนาที่นับถือสืบต่อกันมา แม้ว่ารายละเอียดของเรื่องราวพระเจ้าพรหม เช่น เรื่องช้างคู่ใจที่ได้มาจากแม่น้ำ จะมีความเหมือนกันกับเรื่องช้างของขุนเจือง ผู้เป็นผีแห่งภูมิภาคล้านนาล้านช้าง ก็มิได้หมายความว่าพระเจ้าพรหมในตำนานจะเข้ามาแทนที่ผีเจือง เรื่องรายละเอียดที่เหมือนกันเป็นเพียงการยืมเรื่องพื้นเมืองเข้ามาเสริมเรื่องที่แต่งขึ้นให้มีความพิสดารมากยิ่งขึ้นเท่านั้น



หรือแม้แต่เรื่องพระเจ้าพรหมปราบขอมดำ ก็น่าจะมีที่มาจากเรื่องพื้นเมืองดั้งเดิมของสุโขทัย เรื่องพระร่วงปราบขอมก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องหลังนี้น่าจะเป็นเรื่องสมอารมณ์ของการเขียนประวัติศาสตร์แบบรวมศูนย์ที่แพร่หลายเรื่องพระเจ้าพรหมเข้าสู่การสืบทอดตามระบบโรงเรียนยิ่งขึ้น



สรุป



จากแนวคิดทางพระพุทธศาสนา และหลักฐานที่เป็นตำนานสามเรื่อง คือสุวรรณโคมคำ สิงหนวัติ และลวจกราช (กับตำนานเบ็ดเตล็ด เช่น ตำนานพระธาตุดอยตุง) อาจสร้างคำอธิบายได้ว่า เป็นเรื่องที่ต้องการยกย่องกษัตริย์ในราชวงศ์ของพระเจ้ามังราย (ซึ่งสืบสายมาจากลวจกราช) ว่า แม้จะมิใช่วงศ์กษัตริย์ที่มาจากชมพูทวีป (อินเดีย) เหมือนกษัตริย์ในเรื่องสุวรรณโคมคำและสิงหนวัติ แต่ก็เป็นกษัตริย์ที่นับถือพระพุทธศาสนา จึงเป็นธรรมทายาทหรือหน่อพระพุทธเจ้า อันถือได้ว่าเป็นผู้สืบสายมาจากพระพุทธองค์ เป็นการสืบสายโดยทางธรรมมิใช่โดยสายโลหิตเหมือนวงศ์กษัตริย์ ซึ่งตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนาถือว่ามีความสำคัญมากกว่าการสืบสายโลหิต เพราะวงศ์กษัตริย์ที่เคยปกครองแผ่นดินที่ราบเชียงแสนที่ผ่านมา ๒ วงศ์นั้นก็มิได้เป็นหลักประกันว่าจะต้องเป็นคนดีเสมอไป ดังที่ตำนานสุวรรณโคมคำและสิงหนวัติกล่าวว่ามีทั้งดีทั้งไม่ดี



ตำนานของล้านนาทั้ง ๓ เรื่อง จึงมีข้อสรุปโดยรวมที่ต้องการเน้นพระธรรมคำสอน ในส่วนที่ไม่ให้ความสำคัญของชาติตระกูล แต่เห็นความสำคัญของการเป็นธรรมทายาทมากกว่า หรืออาจกล่าวด้วยสำนวนปัจจุบันว่า เห็นความสำคัญของการสืบสันดานมากกว่าการสืบสายเลือด



เรื่องลาวจกว่าเดิมเป็นชาวเขาอยู่บนดอยตุง (ไม่นับถือศาสนา) แต่ต่อมาเมื่อกษัตริย์ในวงศ์สิงหนวัติองค์หนึ่งนำพระธาตุรากขวัญมาไว้บนดอยตุง ลาวจกและเมียได้มีโอกาสเฝ้าปรนนิบัติรักษาเป็นเวลา ๒๐๐ ปีกว่า จึงได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ เมื่อถึงเวลาเริ่มต้นจุลศักราช (พ.ศ. ๑๑๘๑) แผ่นดินเชียงแสนว่างกษัตริย์ (ซึ่งถือว่าต้องสืบสายมาจากวงศ์กษัตริย์ซึ่งมีราชวงศ์เดียวในโลก) ลาวจกจึงลงจากสวรรค์มาเป็นลวจกราช ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์มังรายเป็นใหญ่เหนือที่ราบเชียงแสน ลวจกราชจึงมีความชอบธรรมที่จะเป็นต้นวงศ์กษัตริย์ที่แม้จะมิได้สืบสายเลือดจากวงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติ แต่สามารถเป็นกษัตริย์ได้เพราะเป็นผู้สืบสายจากพระพุทธองค์ คือเป็นธรรมทายาทนั่นเอง



เรื่องเช่นนี้ชี้ให้เห็นอีกอย่างหนึ่งถึงการผสมผสานความเชื่อท้องถิ่นเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษราชวงศ์มังรายที่มีอยู่ก่อน เมื่อนำพระพุทธศาสนาเข้ามาจึงไม่อาจนำคติเกี่ยวกับกษัตริย์วงศ์พระมหาสมมติมาลบความเชื่อเรื่องนี้ไปได้ จึงได้มีการปรับเรื่องโดยให้ผีบรรพบุรุษนับถือพระพุทธศาสนาเสียก่อน เมื่อตายไปขึ้นสวรรค์แล้วจึงได้เป็นกษัตริย์ลงมาครองแผ่นดินได้โดยชอบธรรม ตามสาระในพระธรรมที่เน้นการให้ความสำคัญในเรื่องการสืบธรรมทายาทมากกว่าการสืบสายกันในวรรณะ



ราชวงศ์ลวจกราชที่สืบมาถึงพระเจ้ามังราย และกษัตริย์ในราชวงศ์นี้ต่อๆ มา จึงเป็นธรรมทายาท และจะเป็นผู้ค้ำชูพระพุทธศาสนาตลอดไปตราบชั่ว ๕,๐๐๐ พระวสา บนผืนแผ่นดินเชียงแสนที่เคยมีวงศ์กษัตริย์ (ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง) มาปกครองอยู่ ๒ วงศ์ แล้วบ้านเมืองต้องล่มจมหายไปจากแผ่นดินเชียงแสนทั้ง ๒ เมืองก่อนหน้านี้แต่ดึกดำบรรพ์



เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นว่าเรื่องของพระเจ้าพรหมนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องกษัตริย์ที่สืบมาแต่วงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติในอัคคัญสูตร อันมีลักษณะของเรื่องที่ต้องการอธิบายในระดับที่เป็นโลกุตรธรรม หรือธรรมอันช่วยให้พ้นโลก แต่ในรายละเอียดของเรื่องที่เล่าย่อมหลีกไม่พ้นการนำเรื่องราวที่เป็นโลกย์ธรรมไปใส่ไว้ ดังจะเห็นว่าบทบาทบางตอนของพระเจ้าพรหมก็เป็นการยืมเรื่องราวของขุนเจือง ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษตนหนึ่งของพระเจ้ามังรายไปใช้ ซึ่งถ้าหากพิจารณาให้ลึกลงไปอีกก็จะพบอีกว่า เรื่องของขุนเจืองบางตอนก็มีความเหมือนกันกับเรื่องของพระเจ้ามังรายด้วย



เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นอาจกล่าวได้ว่า พระเจ้าพรหมในตำนานสิงหนวัตินั้น เป็นบุคคลที่ถูกสร้างขึ้น โดยมีพื้นฐานของเรื่องราวที่เป็นคติพื้นเมือง เรื่องขุนเจืองและตำนานเกี่ยวกับพระเจ้ามังราย ด้วยวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายที่มาของวงศ์กษัตริย์เมืองอื่นที่ชาวล้านนามีความสัมพันธ์ด้วย ซึ่งในที่นี้คือราชวงศ์กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา และเนื่องจากกรุงศรีอยุธยาอยู่ในภาคกลาง ที่คติทางศาสนาจากชมพูทวีปเข้ามาแพร่หลายก่อนหน้าการเขียนตำนานของล้านนานับพันปี คติความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับบรรพบุรุษในรูปของผีจึงถูกลบเลือนออกไปจนหมดสิ้น



ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการง่ายสำหรับพระภิกษุผู้ทรงความรู้ของล้านนาผู้แต่งตำนาน ที่จะอธิบายกษัตริย์ต้นราชวงศ์ของบ้านเมืองเหล่านี้ว่า มีเชื้อสายพระมหาสมมติวงศ์ตามคติทางพระพุทธศาสนา



ไม่เหมือนกับบรรพบุรุษของราชวงศ์พระเจ้ามังราย ที่ความทรงจำเกี่ยวกับต้นผีบรรพบุรุษลาวจกยังคงมีอยู่ เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาจึงต้องใช้ความกลมกลืนกับคติความเชื่อดั้งเดิม โดยใช้หลักธรรมอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับการเป็นผู้สืบธรรมทายาทจากพระพุทธองค์ มาสวมให้แก่ต้นเค้าผีในคติดั้งเดิม ให้มีความชอบธรรมต่อการเป็นลวจกราช ต้นราชวงศ์กษัตริย์พื้นเมืองของพระเจ้ามังราย (และผู้สืบราชวงศ์ต่อมาในขณะแต่งตำนานอยู่นั้น)




จึงนับเป็นความสับสนอย่างยิ่ง ที่หากจะมีการดึงบุคคลในระดับโลกุตระให้ลงมาปนเปกับบุคคลในระดับโลกียะ