จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561


#แปดเป็งคืออะไร ทำไมถึงเกี่ยวข้องกับพระเจ้าตนหลวง

ประเพณีประจำปี ๘ เป็ง ไหว้สาป๋ารมีพระเจ้าตนหลวง คำว่า “แปดเป็ง” เป็นงานประเพณีนมัสการพระเจ้าตนหลวง ซึ่งเป็นงานที่จัดว่ายิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญอย่างยิ่งของจังหวัดพะเยา ซึ่งเมื่อถึงเทศกาลประเพณีดังกล่าวผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมาสู่จังหวัดพะเยาเพื่อกราบนมัสการขอพรจากองค์พระและสร้างบารมีให้กับตนเองอย่างไม่ขาดสาย ผู้คนเบียดเสียดเดินกันไปมามากมายทั้งผู้คนจากอำเภอต่าง ๆ ภายในจังหวัดพะเยาเอง และต่างจังหวัด เช่น ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย แม้ต่างประเทศ เช่น เชียงตุง พม่า สินสองปันนา จีนตอนใต้ เดินทางมาเพื่อแสวงบุญกันอย่างล้นลาม แต่ด้วยเหตุการณ์ปัจจุบันทางการของแต่ละประเทศเข้มงวดกับประชาชนของตนจึงทำให้การเดินทางไม่สะดวกเหมือนอย่างในอดีต

ความหมายของแปดเป็ง

คำว่า “ แปดเป็ง ” นั้นเป็นภาษาพื้นเมืองของชาวล้านนาโดยแยกออกเป็นสองคำ คือ แปด กับคำว่า เป็ง คำว่า “ แปด ” ก็คือวันเพ็ญเดือน ๘ (เหนือ) ทางภาคกลางถือว่าเป็นเดือน ๖ ซึ่งการนับเดือน คนทางภาคเหนือโดยเฉพาะแถบล้านนาจะนับเดือนไวกว่าคนทางภาคกลางไปสองเดือน ดังนั้นพอถึงเดือน ๖ อันเป็นเดือนที่เสวยฤกษ์วิสาขะ หรือวันวิสาขบูชา (วันเพ็ญเดือน ๖ ) คนทางเหนือจึงถือว่าเป็นเดือน ๘ 

ในเรื่องดังกล่าวมีผู้ได้วิเคราะห์การนับเดือนไว้ว่า การนับวันเดือนปีของล้านนาตาม “ ปักกะตืน ” (มาจากคำว่า ปักษ์ หมายถึงข้างขึ้น ข้างแรม และ ทิน หมายถึง วัน) เป็นการนับตามจันทรคติ ส่วนของภาคกลาง (กรุงเทพฯ) นับตามสุริยคติซึ่งเรื่องนี้มีตั้งแต่ไทเขิน ไทลื้อ ความเชื่อเรื่องฤกษ์ยามจะคล้ายกับคนล้านนา

แต่การนับเวลาจะต่างกัน คือไทเขิน ไทลื้อ นับเดือนเร็วกว่าคนไทยกรุงเทพ ฯ ไป ๑ เดือน แต่ช้ากว่าคนล้านนาไป ๑ เดือน เช่น เดือน ๕ ของคนกรุงเทพ ฯ จะตรงกับเดือน ๖ ของไทเขิน ไทลื้อ และจะตรงกับเดือน ๗ ของไทล้านนา และอีกนัยหนึ่ง ไทล้านนานับเดือนก่อนคนกรุงเทพฯ ๒ เดือน เช่น เดือน ๘ ของไทล้านนาจะตรงกับเดือน ๖ ของคนกรุงเทพ ฯ และในการนับพุทธศักราชชาวไทลื้อ ไทใหญ่จะนับเร็วกว่าชาวสยาม ๑ ปี เช่น จุลศักราช ๑๓๕๑ ไทยสยามจะนับเป็นพุทธศักราช ๒๕๓๒ แต่ไทเขิน ไทลื้อ ไทใหญ่จะนับเป็นพุทธศักราช ๒๕๓๓ เหมือนของพม่าและลังกา (วิมล ปิงเมืองเหล็ก , บทความ มปท. ๒๕...)

คำว่า “เป็ง” ก็คือคืนวันเพ็ญ หรือคืนที่พระจันทร์เต็มดวงนั้นเอง ซึ่งมีค่าแทนคำว่า วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ

เมื่อรวมสองคำเข้าด้วยกันว่า “ แปดเป็ง” จึงมีความหมายว่า วันเพ็ญเดือน ๖ (๘ เหนือ) พระจันทร์เต็มดวงเสวยฤกษ์วิสาขะ ขึ้น ๑๕ ค่ำ นั่นเอง

วันแปดเป็งหรือคือวิสาขบูชา

ความสำคัญของวันแปดเป็ง ก็คือ เป็นวันที่เราทราบกันดีว่าเป็นวันวิสาขบูชา [1] ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวันที่มหัศจรรย์และวันสำคัญที่สุดของชาวโลก ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติได้ประกาศยกย่องและเชิดชูวันวิสาขบูชาให้เป็นวันสำคัญของโลกไปแล้วด้วย

ประสูติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติ ณ สวนลุมพินีวัน แคว้นสักกะ ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์อันเป็นของพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดากับเมืองเทวทหะของพระนางสิริมหามายาพระราชมารดา ปัจจุบันอยู่ในบริเวณประเทศเนปาล ชื่อเมืองลุมมิดเด เมื่อเช้าวันศุกร์ ปีจอ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (๘ เหนือ) ก่อนพุทธศักราชได้ ๘๐ ปี


ตรัสรู้ เมื่อพระองค์ทรงเบื่อหน่ายต่อทุกข์ในชีวิตแบบฆราวาสและต้องการแสวงหาความดับทุกข์จึงทรงออกผนวชด้วยวัย ๒๙ พรรษา ทรงศึกษาในสำนักครูอาจารย์ต่าง ๆ มากมายและทรงใช้ความเพียรพยายามหลากหลายวิธีการ แต่ไม่ได้ผลและยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้ ต่อมาพระองค์ทรงลองหันมาใช้ทางสายกลางตามแบบมัชฌิมาปฏิปทา คือการฝึกปฏิบัติอบรมทางจิตและด้วยวิธีนี้เองพระองค์จึงทรงสามารถใช้ความรู้ลงสู่ภาคปฏิบัติ เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวรวมเป็นระยะเวลานานถึง ๖ ปี จนได้สำเร็จเป็นพระอนุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการประกาศสัจจธรรมแห่งทฤษฎี หรือสูตรว่าความรู้แจ้งเห็นจริง “อริยสัจจ ๔” ในเวลาเช้ามืดของวันพุธขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ (๘ เป็ง) ปีระกา ก่อนพุทธศักราชได้ ๔๕ ปี ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ปัจจุบันอยู่ในเขตเมืองพุทธคยา แคว้นพิหาร ประเทศอินเดีย


ปรินิพพาน เมื่อพระองค์ ได้ทรงประกาศพระศาสนาให้ตั้งมั่นดีแล้วเป็นระยะเวลาถึง ๔๕ พรรษา พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะปรินิพพานด้วยวัย ๘๐ พรรษา เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ (๘ เป็ง) ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ปัจจุบันอยู่ในเขตพื้นที่เมืองกุสีนคร แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย

แปดเป็งทำไมจึงมาผูกพันกับพระเจ้าตนหลวง

เราจะเห็นว่า วันแปดเป็ง เป็นวันสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุฉะนี้ ส่วนที่จะเชื่อมโยงผูกพันกับพระเจ้าตนหลวงอย่างไรนั้น จะอาศัยเพียงว่าเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเดียวมิได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นวัดไหน ๆ ก็มีพระเจ้าตนหลวงกับประเพณี ๘ เป็งคงมีเต็มไปหมดเป็นแน่ แท้ที่จริงนั้นมีนัยยะสำคัญถึง ๕ ประการ ดังนี้

๑.วันเริ่มโยนหินถมหนองเอี้ยงก้อนแรก คือวัน ๘ เป็ง

ตามตำนานสองตายายได้หาวันดีในการเริ่มถมหนองเอี้ยง วันแรกที่โยนลงไปนั้นตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ (เหนือ) ซึ่งบริเวณที่จะสร้างองค์พระนั้นเป็นหนองน้ำแต่เดิม ดินก็อ่อนตัว จึงจำเป็นที่จะต้องปรับถมสภาพดินให้พื้นที่ดังกล่าวเสมอกันก่อนซึ่งตามตำนานต้องใช้เวลาในการถมถึง ๒ ปี ๗ เดือนจึงจะสามารถใช้การได้

๒.วันเริ่มก่อสร้างองค์พระเจ้าตนหลวง คือวัน ๘ เป็ง 

แม้ประวัติการเริ่มก่อสร้างจะไม่ชัดเจน แต่ปีที่สร้างได้ระบุชัดเจนว่า ๒๐๓๔ เป็นการสร้างที่มีการเตรียมการไว้อย่างดีมาก เช่น จำนวนอิฐที่จะใช้ก่อสร้าง, จำนวนวัสดุอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย ดังได้กล่าวเอาไว้แล้ว

๓.วันที่สร้างองค์พระเจ้าตนหลวงเสร็จเรียบร้อย คือวัน ๘ เป็ง
การสร้างที่ใช้ระยะเวลายาวนานถึง ๓๓ ปี ผ่านเจ้าผู้ครองเมืองพะเยาถึง ๓ รุ่นแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ขององค์พระเจ้าตนหลวงที่คนในสมัยโบราณสามารถสร้างสิ่งที่มีขนาดใหญ่และมหัศจรรย์ที่สุดในแถบถิ่นล้านนา

๔.วันเฉลิมฉลองครั้งแรก คือวัน ๘ เป็ง

ประวัติส่วนนี้ก็กล่าวเพียงว่าเมื่อองค์พระเจ้าตนหลวงเสร็จเรียบร้อยแล้วพญาเมืองตู้ เจ้าผู้ครองเมืองพะเยาได้ส่งสาสน์บอกพญาเมืองแก้วเจ้าเมืองเชียงใหม่ให้ทรงทราบแล้ว พระองค์ทรงปีติยินดีเป็นอย่างมาก จึงสั่งสร้างพระวิหารให้เสร็จภายใน ๒ ปีแล้วจึงเฉลิมฉลองพร้อมกับองค์พระที่เดียว

๕.ประเพณีที่ชาวบ้านถือปฏิบัติเป็นประจำปี คือวันวิสาขบูชา หรือวัน ๘ เป็ง

สิ่งที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าตนหลวงดังกล่าวมานั้นแม้ไม่ชัดเจนแต่ก็ประมาณได้จากพิธีกรรมที่กระทำสืบต่อกันมาคือวันวิสาขบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (๘ เหนือ) หรือวันแปดเป็งนั้นเอง แต่ข้อสังเกตมีว่าปีไหนมีอธิกมาส คือเดือน ๘ สองหน ทางวัดจะถือเอาเดือน ๘ หนแรกเป็นงานประเพณี ซึ่งยึดถือติดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนรวมปีปัจจุบัน ๕๑๔ (๒๕๔๘)

มีอะไรในงานประเพณี แปดเป็งนมัสการพระเจ้าตนหลว

เมื่อถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาซึ่งมักจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุก ๆ ปี วันวิสาขบูชามาถึงทางวัดจะจัดให้มีงานเฉลิมฉลองเพื่อให้ญาติโยมเข้ามากราบไหว้บูชาพระเจ้าตนหลวงเป็นระยะเวลาถึง ๑๐ วัน ๑๐ คืน และเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหนึ่งปีของทางจังหวัดพะเยาทีเดียว

ลักษณะงานโดยทั่วไปอาจแบ่งได้เป็น ๓ ส่วนใหญ่ คือ

๑.เขตมณฑลพุทธศาสนพิธี จะประกอบไปด้วยบริเวณพระวิหาร และรอบศาลาราย จำนวนประมาณ ๒ ไร่ เขตพุทธศาสนพิธีนี้เป็นเรื่องของกิจกรรมทางศาสนาและพิธีกรรม เป็นเรื่องของจิตวิญญาณจะมีประชาชนทั่วไปหลั่งไหลกันมากราบนมัสการพระเจ้าตนหลวง บ้างก็มานอนในพระวิหารหลวง บ้างก็นอนรอบศาลาราย เพื่อรอร่วมพิธีกรรมวันสุดท้าย อันสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างวิถีพุทธ เน้นถึงพฤติกรรมของคนที่แสดงออกมาโดยยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

ทางวัดเองได้จัดให้มีกิจกรรมหลากหลายเริ่มตั้งแต่วันแรกของงานจัดให้มีการบูชาพระรัตนตรัย, การสรงน้ำพระ, การตักบาตร ๑๐๘, การตักบาตรข้าวสาร, การบูชาพระประจำวันเกิด โดยจะมีพิธีกรรมอื่น ๆ อีกมากซึ่งตลอดงานจะมีพิธีกรได้แนะนำให้รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีและวิธีการนมัสการพระเจ้าตนหลวง เมื่อถึงวันสำคัญ คือวันสุดท้ายของงาน หรือวัน ๘ เป็ง อันเป็นวันพระใหญ่ขึ้น ๑๕ ค่ำพระจันทร์วันเพ็ญ เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่จะมีการทำบุญตักบาตร, ไหว้พระ,รับศีล, พระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา, ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์, รับพร ฯลฯ

ส่วนตอนกลางวันก็มีการฝึกอบรมวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตอนบ่ายจะถวายจตุปัจจัยให้กับพระสงฆ์ที่มาจากวัดต่าง ๆ กลางคืนก็มีพิธีเวียนเทียน, สวดมนต์ตั๋น (เป็นภาษาพื้นเมือง หมายความว่าการสวดมนต์ยาว), มีพระธรรมเทศนา, การสวดเบิก ไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง แต่ไม่ให้เกินตีห้า [3]

๒.เขตอารามิกชน จะประกอบไปด้วยบริเวณลานวัดทั้งหมด คือเขตนอกศาลารายออกมาถึงแนวกำแพงวัด จำนวน ๗๐ กว่าไร่ เขตนี้เป็นเรื่องของการออกร้านค้าขายเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ จิปาถะตั้งแต่สินค้าพลาสติก, ถ้วยกระเบื้อง ฯลฯ ที่พ่อค้าแม่ค้าจะนำมานาน ๆ ทีจะมีสินค้าราคาถูกมาวางขายกันผู้คนก็เดินชม เดินซื้อกันไป สินค้าโดยมากก็เป็นเครื่องประดับตกแต่ง เสื้อผ้า เครื่องอุปโภคบริโภค หรือแม้แต่ยาสมุนไพร และที่ดูแล้วนึกถึงอดีตก็คือ ได้มีพ่อค้าแม่ขายได้พากันนำของมาขายแบบแบกดิน คือนั่งขายกับพื้นเหมือนอดีต เช่น กระเทียม ผลไม้ ขนม แหนม เป็นต้น

เขตนี้เป็นเรื่องของวิถีชีวิตที่ผูกพันกับชีวิตประจำวันของชาวบ้านมากที่สุด คือกินเที่ยว พักผ่อน ต่อรองสินค้าซึ่งปี ๆ หนึ่งจะมีสินค้าแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาวางขายกันเต็มไปหมด เรียกได้ว่าทุกตารางนิ้วมีราคาก็ว่าได้

๓.เขตกิจกรรมบันเทิง จะเป็นบริเวณสนามหน้าวัดทั้งหมดจำนวน ๑๘ ไร่ เขตนี้เป็นกิจกรรมการแสดงมโหรสพต่าง ๆ มากมายทั้งชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน รถไต่ถัง มวย ภาพยนตร์ ดนตรี และการละเล่นต่าง ๆ อีกมากมาย กิจกรรมนี้เป็นการระดมผู้คนมาชุมนุมกันมิใช่น้อย ๆ 

ลูกค้าส่วนมากจะเป็นพวกเด็ก ๆ และวัยรุ่น ที่ชักชวนพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาดูงาน ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ววัดเป็นสถานที่สนองต่อบุคคล ๓ วัย กล่าวคือ วัยต้นของชีวิต, วัยทำงาน, วัยผู้สูงอายุ โดยจะแยกอธิบาย ดังนี้

วัยต้นของชีวิต คือเด็กและวัยรุ่นเป็นวัยที่ไม่ต้องการเหตุและผลมากมายนัก มักชื่นชอบในเรื่องที่สนุกสนานรื่นเริง ดังนั้นเขตกิจกรรมบันเทิงที่จัดนอกวัดหรือหน้าวัดซึ่งเป็นเรื่องของการละเล่นและถูกจริตของคนกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก อย่างน้อยแม้ไม่ลึกซึ้งในเรื่องของธรรมะ แต่ก็ทำให้คนกลุ่มนี้ได้มาใกล้ชิด ได้เห็นพิธีกรรม ได้มาไหว้พระ และได้มาเป็นเพื่อนผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นต้น

วัยทำงาน คือผู้ใหญ่คนวัยทำงานทั้งหลายที่ชีวิตกำลังวุ่นอยู่กับหน้าที่การงานเป็นวัยที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว วัยนี้จะสนใจในเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดคือเรื่องของการกินอยู่-มีใช้ วัยนี้จะหาซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคของที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน , เรื่องศรัทธากับสิ่งที่ตอบแทน เช่น อ้อนวอน แสวงโชค เป็นต้น ถือว่าเป็นวัยที่มีเหตุผลมากกว่ากลุ่มแรก

วัยสูงอายุ ผู้เฒ่าผู้แก่ โดยมากจะเน้นกิจกรรมในพระวิหารเป็นส่วนใหญ่ซึ่งมีกิจกรรมที่ให้คุณค่าทางจิตใจมากกว่า เพราะเป็นวัยที่ล่วงกาลผ่านวัยมามากจึงทำให้เห็นสัจจะของชีวิตหลายอย่าง จึงมุ่งถึงความดีสูงสุดและความสงบทางจิตใจมากขึ้น สามารถอดทนฟังและพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ลูกหลานบอกว่าน่าเบื่อ, เข้าใจยาก เช่น ธรรมะบรรยาย, การสวดมนต์, การสวดเบิก เป็นต้น

ที่มา/ 
บุญนิธิจันทร์ตองไชยะวุฑฒิกุล
พระครูโสภณปริยัติสุธี, รศ.ดร. ถิรธมฺโม
https://www.gotoknow.org/posts/443833

*ปัจจุบันรูปแบบงานแปดเป็งเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่มีเสน่ห์เหมือนครั้งในอดีต เป็นไปตามยุคสมัย*แอดมิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น