จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนนครลำปางในพงศาวดารไทย

เจ้าสองคำโสม เจ้าสามธรรมลังกา เจ้าสี่ดวงทิพย์ เจ้าหนึ่งกาวิละ เจ้าห้าหมูล่า เจ้าหกคำฝั้น เจ้าเจ็ดบุญมา


                                               เจ้าหนึ่งกาวิละ เป็นพระยาลำปาง ๑ เชียงใหม่ ๑



เจ้าสองคำโคม นครลำปาง ๒       
  สืบโอรสเป็นเจ้าหลวงพระยา ๑-๒  
เจ้าสามธรรมลังกา


                                                       เป็นพระยาช้างเผือกเชียงใหม่ ๒
 

                                                   เจ้าสี่ดวงทิพย์ พระยานครลำปาง ๓
                                          เป็นพระเจ้าประเทศราชฝ่ายเหนือสยามสมัยที่ ๒

 

เจ้าห้าหมูล่า เป็นอุปราชนครลำปางยุคหอคำดวงทิพย์


                                                     สืบราชบุตรเป็นเจ้าหลวงพะเยาที่ ๕



 เจ้าหกคำฝั้น เป็นพระยาเชียงใหม่ ๓
เจ้าเจ็ดบุญมา เป็นพระยาลำพูน ๑




                      ผู้รวมพลเมืองตั้งวงศ์เจ็ดตนสายเชียงแสนคราวบูรณะเมืองร้างสืบปัจจุบัน

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

พุทธทำนาย 16 ข้อ

พุทธทำนาย 16 ข้อ

พุทธทำนายในที่นี้ จะกล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายพระสุบิน (ความฝัน) ของพระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทำนายว่า เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้น ในยุคสมัยที่ศาสนาได้เสื่อมลง ซึ่งหลายอย่างได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน เนื้อความดังกล่าวปรากฏใน อรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย มีเนื้อความดังต่อไปนี้

วันหนึ่งพระเจ้าโกศลมหาราช เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ในปัจฉิมยามทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตรอันใหญ่หลวง 16 ประการ ทรงตระหนกพระทัยตื่นพระบรรทม ทรงพระดำริว่า เพราะเราเห็นสุบินนิมิตรเหล่านี้ จักมีอะไรแก่เราบ้างหนอ เป็นผู้อันความสะดุ้งต่อมรณภัย คุกคามแล้ว ทรงประทับเหนือพระแท่นที่ไสยาสน์นั้นแล จนล่วงราตรีกาล

ครั้นรุ่งเช้า พวกพราหมณ์ปุโรหิตเข้าเฝ้ากราบทูลถามว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์บรรทมเป็นสุขหรือพระเจ้าข้า? รับสั่งตอบว่า ท่านอาจารย์ทั้งหลาย เราจักมีความสุข ได้อย่างไร เมื่อคืนนี้เวลาใกล้รุ่ง เราเห็นสุบินนิมิตร 16 ข้อ ตั้งแต่เห็นสุบินนิมิตรเหล่านั้นแล้ว เราถึงความหวาดกลัวเป็นกำลัง เมื่อพวกปุโรหิตกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า โปรดตรัสเล่าเถิดพระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์สดับแล้ว จักทำนายถวายได้ จึงตรัสเล่าพระสุบิน ที่ทรงเห็นแล้วให้พวกพราหมณ์ฟัง แล้วตรัสว่า เพราะเหตุเห็นสุบินเหล่านี้ จักมีอะไรแก่เราบ้าง? พวกพราหมณ์พากันสลัดมือ. เมื่อรับสั่งถามว่า เพราะเหตุไรพวกท่านจึงพากันสลัดมือเล่า? พวกพราหมณ์จึงพากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระสุบินทั้งหลายร้ายกาจนัก รับสั่งถามว่า พระสุบินเหล่านั้นจักมีผลเป็นประการใด? พวกพราหมณ์จึงพากันกราบทูลว่า จักมีอันตรายใน 3 อย่างเหล่านี้ คือ อันตรายแก่ราชสมบัติ 1 อันตราย คือโรคจะเบียดเบียน 1 อันตรายแก่พระชนม์ 1 อย่างใดอย่างหนึ่ง. รับสั่งถามว่า พอจะแก้ไขได้ หรือแก้ไขไม่ได้ พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า ขอเดชะ พระสุบินเหล่านี้ หมดทางแก้ไขเป็นแน่แท้ เพราะร้ายแรงยิ่งนัก แต่พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย จักกระทำให้พอแก้ไขได้ เมื่อพวกหม่อมฉันไม่สามารถเพื่อจะแก้ไขพระสุบินเหล่านี้ได้แล้ว ขึ้นชื่อว่าความเป็นผู้สำเร็จการศึกษา จักอำนวยประโยชน์อะไร? รับสั่งถามว่า ท่านอาจารย์ทั้งหลาย จักกระทำอย่างไรเล่า ถึงจักให้คืนคลายได้ พวกพราหมณ์พากันกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์ต้องบูชายัญด้วยวัตถุอย่างละ 4 ทุกอย่างพระเจ้าข้า พระราชาทรงสะดุ้งพระทัย ตรัสว่า ท่านอาจารย์ทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เราขอมอบชีวิตไว้ในมือของพวกท่านเถิด พวกท่านรีบกระทำความสวัสดีแก่เราเร็วๆ เถิด พวกพราหมณ์พากันร่าเริงยินดี ว่าพวกเราต้องได้ทรัพย์มาก จักต้องได้ของเคี้ยวกินมามากๆ แล้วพากันกราบทูลปลอบพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า อย่าได้ทรงวิตกเลยพระเจ้าข้า แล้วพากันออกจากราชนิเวศน์ จัดทำหลุมบูชายัญที่นอกพระนคร จับฝูงสัตว์ 4 เท้า มากเหล่ามัดเข้าไว้ที่หลักยัญ รวบรวมฝูงนกเข้าไว้เสร็จแล้ว เที่ยวกันขวักไขว่ไปมา กล่าวว่า เราควรจะได้สิ่งนี้ๆ.

ครั้งนั้นแล พระนางมัลลิกาเทวีทรงทราบเหตุนั้น ก็เข้าเฝ้าพระราชากราบทูลถามว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกพราหมณ์พากันเที่ยวขวักไขว่ไปมา มีเรื่องอะไรหรือเพคะ? พระราชาตรัสว่า แน่ะนางผู้เจริญ เธอมัวแต่สุขสบาย จึงไม่รู้ว่าอสรพิษมันสัญจรอยู่ใกล้ๆ หูของพวกเรา. พระนางทูลถามว่า ข้าแต่มหาราช เรื่องนั้นคืออะไรเพคะ? พระราชารับสั่งว่า เราฝันร้ายถึงปานนี้ พวกพราหมณ์พากันทำนายว่า อันตรายใน 3 อย่าง ไม่อย่างใดอย่างหนึ่งก็จักปรากฏ เพื่อบำบัดอันตรายเหล่านั้นต้องบูชายัญ จึงต้องสัญจรไปมาอยู่บ่อยๆ พระนางมัลลิกากราบทูลถามว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ก็ผู้ที่เป็นยอดพราหมณ์ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ทูลกระหม่อมได้ทูลถาม ถึงการแก้ไขพระสุบินแล้วหรือเพคะ? ทรงรับสั่งถามว่า นางผู้เจริญ พระผู้เป็นยอดพราหมณ์ในโลก พร้อมทั้งเทวโลกนั้น เป็นใครกันเล่า? พระนางกราบทูลว่า ทูลกระหม่อมไม่ทรงรู้จักมหาพราหมณ์ โคดมผู้ตถาคต หมดกิเลสบริสุทธิ์แล้ว เป็นสัพพัญญู เป็นบุคคลผู้เลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ดอกหรือเพคะ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น คงทรงทราบเหตุในพระสุบินแน่นอน ขอเชิญทูลกระหม่อมเสด็จพระราชดำเนินไปกราบทูลถามเถิดเพคะ. พระราชาทรงรับสั่งว่า ดีละเทวี แล้วเสด็จไปยังพระวิหาร ถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วประทับนั่งอยู่ พระศาสดาทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ ตรัสถามว่า มหาบพิตร เหตุไรเล่าบพิตรจึงเสด็จมา ดุจมีราชกิจด่วน.

พระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อใกล้รุ่งหม่อมฉันเห็นมหาสุบิน 16 ข้อ สะดุ้งกลัว บอกเล่าแก่พวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์ทำนายว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระสุบินร้ายแรงนัก เพื่อระงับสุบินเหล่านั้นต้องบูชายัญ ด้วยยัญญวัตถุอย่างละ 4 ครบทุกอย่าง แล้วพากันเตรียมบูชายัญ ฝูงสัตว์เป็นอันมากถูกมรณภัยคุกคาม ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เป็นบุคคลผู้เลิศในโลกทั้งเทวโลก เญยยธรรมที่เข้าไปกำหนดอดีต อนาคต ปัจจุบัน ที่ยังมาไม่ถึงซึ่งคัลลองในญาณมุขของพระองค์นั้นมิได้มีเลย ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดทำนายผลแห่งสุบินของหม่อมฉันเหล่านั้นเถิด พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ขอถวายพระพร เป็นเช่นนั้นทีเดียวมหาบพิตร ในโลกทั้งเทวโลก เว้นตถาคตเสียแล้ว ผู้อื่นที่จะได้ชื่อว่าสามารถรู้เหตุ หรือผลของสุบินเหล่านี้ไม่มีเลย ตถาคตจักทำนายให้มหาบพิตร ก็แต่ว่ามหาบพิตรจงตรัสบอกพระสุบิน ตามทำนองที่ทรงเห็นนั้นเถิด พระราชาทรงรับพระพุทธดำรัสว่า ดีละ พระพุทธเจ้าข้า เริ่มกราบทูลพระสุบิน ตามทำนองที่ทรงเห็นอย่างถี่ถ้วน โดยทรงวางหัวข้อไว้ดังนี้ว่า

"โคอุสุภราชทั้งหลาย ๑ ต้นไม้ทั้งหลาย ๑ แม่โคทั้งหลาย ๑ โคทั้งหลาย ๑ ม้า ๑ ถาดทอง ๑ สุนัขจิ้งจอก ๑ หม้อน้ำ ๑ สระโบกขรณี ๑ ข้าวไม่สุก ๑ แก่นจันทน์ ๑ น้ำเต้าจม ๑ ศิลาลอย ๑ เขียดขยอกงู ๑ หงส์ทองล้อมกา ๑ เสือกลัวแพะ ๑

สำหรับรายละเอียดของพระสุบิน รวมทั้งพุทธทำนายแต่ละข้อนั้น จะขอแยกกล่าวเป็นเรื่องๆ ต่อไป

......... พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสให้พระเจ้าปเสนทิโกศล เลิกบูชายัญ ด้วยพระพุทธดำรัสว่า เพราะพระสุบินเป็นปัจจัย ภัยยังไม่มีแก่มหาบพิตรดอก มหาบพิตรจงสั่งให้เลิกยัญเสียเถิด พระราชทานชีวิตทานแก่มหาชน .........

พุทธทำนายข้อที่ 1

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นสุบินข้อ 1 อย่างนี้ก่อนว่า โคผู้สีเหมือนดอกอัญชัน 4 ตัว ต่างคิดว่าจักชนกัน พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจากทิศทั้ง 4 เมื่อมหาชนประชุมกันคิดว่า พวกเราจักดูโคชนกัน ต่างแสดงท่าทางจะชนกัน บรรลือเสียงคำรามลั่น แล้วไม่ชนกัน ต่างถอยออกไป หม่อมฉันเห็นสุบินนี้เป็นปฐม อะไรเป็นผลของสุบินนี้ พระเจ้าข้า?


มหาบพิตร ผลของสุบินข้อนี้ จักไม่มีในชั่วรัชกาลของมหาบพิตร ในชั่วศาสนาของตถาคต แต่ในอนาคต เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ในรัชกาลของพระราชาผู้กำพร้า ผู้มิได้ครองราชย์โดยธรรม และในกาลของหมู่มนุษย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อกุศลธรรมลดน้อยถอยลง อกุศลธรรมหนาแน่นขึ้น ในกาลที่โลกเสื่อม ฝนจักแล้ง และตีนเมฆจักขาด ข้าวกล้าจักแห้ง ทุพภิกขภัยจักเกิด เมฆทั้งหลายตั้งขึ้นจากทิศทั้ง 4 เหมือนจะย้อยเม็ด พอพวกผู้หญิงรีบเก็บข้าวเปลือก เป็นต้น ที่เอาออกผึ่งแดดไว้เข้าภายในร่ม เพราะกลัวจะเปียก เมื่อพวกผู้ชายต่างถือจอบถือตะกร้าพากันออกไป เพื่อจะก่อคันกั้นน้ำ ก็ตั้งเค้าจะตก ครางกระหึ่ม ฟ้าแลบ แล้วก็ไม่ตกเลย ลอยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แล้วไม่ชนกันฉะนั้น


นี้เป็นผลของสุบินนั้น แต่ไม่มีอันตรายไรๆ แก่มหาบพิตร เพราะเรื่องนั้นเป็นปัจจัย มหาบพิตรเห็นสุบินนี้ ปรารภอนาคต ฝ่ายพวกพราหมณ์อาศัยการเลี้ยงชีวิตของตน จึงทำนายดังนี้.


หมายเหตุ จะเห็นได้ว่าเรื่องการที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำท่าว่าจะตกแล้วไม่ตกนั้น ก็เริ่มมีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน.

พุทธทำนายข้อที่ 2

rระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นสุบินข้อที่ 2 อย่างนี้ว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ แทรกแผ่นดินพอถึงคืบหนึ่งบ้าง ศอกหนึ่งบ้าง เพียงแค่นี้ก็ผลิดอกออกผลไปตามๆ กัน นี้เป็นสุบินข้อที่ 2 ที่หม่อมฉันได้เห็น อะไรเป็นผลของสุบินนี้ พระเจ้าข้า?


มหาบพิตร ผลแม้ของสุบินข้อนี้ ก็จักมีในกาลที่โลกเสื่อม เวลามนุษย์มีอายุน้อย ด้วยว่าสัตว์ทั้งหลายในอนาคตจักมีราคะกล้า กุมารีมีวัยยังไม่สมบูรณ์ จักสมสู่กะบุรุษอื่น เป็นหญิงมีระดู มีครรภ์ พากันจำเริญด้วยบุตรและธิดา ความที่กุมารีเหล่านั้นมีระดู เปรียบเหมือนต้นไม้เล็กๆ มีดอก กุมารีเหล่านั้นจำเริญด้วยบุตรและธิดา ก็เหมือนต้นไม้เล็กๆ มีผล ภัยแม้มีนิมิตรนี้เป็นเหตุ ไม่มีแก่มหาบพิตรดอก.

พุทธทำนายข้อที่ 3

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิดในวันนั้น นี้เป็นสุบินข้อที่ 3 ของหม่อมฉัน อะไรเป็นผลแห่งสุบินนั้น พระเจ้าข้า?

มหาบพิตร แม้ผลของสุบินนี้ ก็จักมีในอนาคตเหมือนกัน จักมีผลในเวลาที่มนุษย์ทั้งหลาย พากันละทิ้งเชษฐาปจายิกกรรม คือความเป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ เพราะในอนาคต ฝูงสัตว์จักมิได้ตั้งไว้ซึ่งความยำเกรงในมารดาบิดา หรือในแม่ยายพ่อตา ต่างแสวงหาทรัพย์สินด้วยตนเองทั้งนั้น เมื่อปรารถนาจะให้ของกินของใช้แก่คนแก่ๆ ก็ให้ ไม่ปรารถนาจะให้ก็ไม่ให้ คนแก่ๆ พากันหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนเองก็ไม่ได้ ต้องง้อพวกเด็กๆ เลี้ยงชีพ เป็นเหมือนแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมลูกโคที่เกิดในวันนั้น แม้ภัยมีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ไม่มีแก่มหาบพิตร.

พุทธทำนายข้อที่ 4

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นฝูงชนไม่เทียมโคใหญ่ๆ ที่เคยพาแอกไป ซึ่งสมบูรณ์ด้วยร่างกายและเรี่ยวแรง เข้าในระเบียบแห่งแอก กลับไปเทียมโครุ่นๆ ที่กำลังฝึกเข้าในแอก โครุ่นๆ เหล่านั้นไม่อาจพาแอกไปได้ ก็พากันสลัดแอกยืนเฉยเสีย เกวียนทั้งหลายก็ไปไม่ได้ นี้เป็นสุบินข้อที่ 4 ของหม่อมฉัน อะไรเป็นผลของสุบินนี้ พระเจ้าข้า?

,หาบพิตร ผลของสุบินแม้ข้อนี้ ก็จักมีในรัชสมัยของพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ในอนาคตเหมือนกัน ด้วยว่าในภายหน้า พระราชาผู้มีบุญน้อย มิได้ดำรงในธรรม จักไม่พระราชทานยศแก่มหาอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิต ฉลาดในประเพณี สามารถที่จะยังสรรพกิจให้ลุล่วงไปได้ จักไม่ทรงแต่งตั้งอำมาตย์ผู้ใหญ่ ผู้เป็นบัณฑิต ฉลาดในโวหารไว้ในที่วินิจฉัยคดีในโรงศาล แต่พระราชทานยศแก่คนหนุ่มๆ ตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้วนั้น แต่งตั้งบุคคลเช่นนั้นไว้ในตำแหน่งผู้วินิจฉัยอรรถคดี คนหนุ่มพวกนั้น ไม่รู้ทั่วถึงราชกิจ และการอันควรไม่ควร ไม่อาจดำรงยศนั้นไว้ได้ ทั้งไม่อาจจัดทำราชกิจให้ลุล่วงไปได้ เมื่อไม่อาจก็จักพากันทอดทิ้งธุระการงานเสีย ฝ่ายอำมาตย์ที่เป็นบัณฑิตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อไม่ได้ยศ ถึงจะสามารถที่จะให้กิจทั้งหลายลุล่วงไป ก็จักพากันกล่าวว่า พวกเราต้องการอะไรด้วยเรื่องเหล่านี้ พวกเรากลายเป็นคนภายนอกไปแล้ว พวกเด็กหนุ่มเขาเป็นพวกอยู่วงใน เขาคงรู้ดี แล้วไม่รักษาการงานที่เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเสื่อมเท่านั้นจักมีแก่พระราชาเหล่านั้น ด้วยประการทั้งปวง เป็นเสมือนเวลาที่คนจับโครุ่นๆ กำลังฝึก ยังไม่สามารถจะพาแอกไปได้ เทียมไว้ในแอก และเป็นเวลาที่ไม่จับเอาโคใหญ่ๆ ผู้เคยพาแอกไปได้ มาเทียมแอกฉะนั้น แม้ภัยมีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ย่อมไม่มีแก่มหาบพิตร.

พุทธทำนายข้อที่ 5

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนพากันให้หญ้าที่ปากทั้งสองข้างของมัน มันเคี้ยวกินด้วยปากทั้งสองข้าง นี้เป็นสุบินที่ 5 ของหม่อมฉัน อะไรเป็นผลของสุบินนี้ พระเจ้าข้า?

มหาบพิตร ผลของสุบินแม้นี้ ก็จักมีในรัชกาลของพระราชาผู้ไม่ดำรงในธรรม ในอนาคตเหมือนกัน ด้วยว่าในกาลภายหน้า พวกพระราชาโง่เขลา ไม่ดำรงธรรม จักทรงแต่งตั้งมนุษย์โลเล ไม่ประกอบด้วยธรรม ไว้ในตำแหน่งวินิจฉัยคดี คนเหล่านั้นเป็นพาล ไม่เอื้อเฟื้อในบาปบุญ พากันนั่งในโรงศาล เมื่อให้คำตัดสิน ก็จักรับสินบนจากมือของคู่คดีทั้งสองฝ่ายมากิน เป็นเหมือนม้ากินหญ้าด้วยปากทั้งสองฉะนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุก็ย่อมไม่มีแก่มหาบพิตรดอก.

พุทธทำนายข้อที่ 6


rระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นrหาชนขัดถูถาดทองราคาตั้งแสนกระษาปณ์ แล้วพากันนำไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง ด้วยคำว่า เชิญท่านเยี่ยวใส่ในถาดทองนี้เถิด หมาจิ้งจอกแก่นั้นก็ถ่ายปัสสาวะใส่ในถาดทองนั้น นี้เป็นสุบินข้อที่ 6 ของหม่อมฉัน อะไรเป็นผลแห่งสุบินข้อนี้ พระเจ้าข้า?


มหาบพิตร ผลของสุบินนี้ก็จักมีในอนาคตเหมือนกัน ด้วยว่า ในกาลภายหน้า พวกพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ทรงรังเกียจกุลบุตรผู้สมบูรณ์ด้วยชาติเสีย แล้วไม่พระราชทานยศให้ จักพระราชทานให้แก่คนที่ไม่มีสกุลเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สกุลใหญ่ๆ จักพากันตกยาก สกุลเลวๆ จักพากันเป็นใหญ่ ก็เมื่อพวกมีสกุลเหล่านั้น ไม่อาจเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ จักคิดว่า เราต้องอาศัยพวกเหล่านี้เลี้ยงชีวิตสืบไป แล้วก็พากันยกธิดาให้แก่ผู้ไม่มีสกุล การอยู่ร่วมกับคนพวกไม่มีสกุลของกุลธิดาเหล่านั้น ก็จักเป็นเช่นเดียวกับถาดทองรองเยี่ยวหมาจิ้งจอก ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ย่อมไม่มีแก่มหาบพิตร.

พุทธทำนายข้อที่ 7


พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นอย่างนี้ บุรุษผู้หนึ่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั่ง กัดกินเชือกนั้น เขาไม่ได้รู้เลยทีเดียว นี้เป็นสุบินข้อที่ 7 ของหม่อมฉัน อะไรเป็นผลแห่งสุบินข้อนี้ พระเจ้าข้า?

มหาบพิตร ผลแม้ของสุบินข้อนี้ ก็จักมีในอนาคตเหมือนกัน ด้วยว่าในกาลภายหน้า หมู่สตรีจักพากันเหลาะแหละโลเลในบุรุษ ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว ชอบเที่ยวเตร่ตามถนนหนทาง เห็นแก่อามิส เป็นหญิงทุศีล มีความประพฤติชั่วช้า พวกนางจักกลุ้มรุมกันแย่งเอาทรัพย์ที่สามีทำงาน มีกสิกรรม และโครักขกรรมเป็นต้น สั่งสมไว้ด้วยยาก ลำบากลำเค็ญ เอาไปซื้อสุราดื่มกับชายชู้ ซื้อดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ มาแต่งตน คอยสอดส่องมองหาชู้ โดยส่วนบนของบ้านที่มิดชิดบ้าง โดยที่ซึ่งลับตาบ้าง แม้ข้าวเปลือกที่เตรียมไว้สำหรับหว่านในวันรุ่งขึ้น ก็เอาไปซ้อม จัดทำเป็นข้าวต้ม ข้าวสวย และของเคี้ยวเป็นต้น มากินกัน เป็นเหมือนนางหมาจิ้งจอกโซ ที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่นแล้ว หย่อนลงไว้ใกล้ๆ เท้าฉะนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ยังไม่มีแก่มหาบพิตร.

พุทธทำนายข้อที่ 8


พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมลูกใหญ่ใบหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ประตูวัง ล้อมด้วยตุ่มเป็นอันมาก วรรณะทั้ง 4 เอาหม้อตักน้ำมาจากทิศทั้ง 4 และทิศน้อยทั้งหลาย เอามาใส่ลงตุ่มที่เต็มแล้วนั่นแหละ น้ำก็เต็มแล้วเต็มอีก จนไหลล้นไป แม้คนเหล่านั้นก็ยังเทน้ำลงในตุ่มนั้นอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่มีผู้ที่จะเหลียวแลดูตุ่มที่ว่างๆ เลย นี้เป็นสุบินข้อที่ 8 ของหม่อมฉัน อะไรเป็นผลของสุบินนี้ พระเจ้าข้า?

,หาบพิตร ผลแห่งสุบินนี้จักมีในอนาคตเหมือนกัน ด้วยว่าในกาลภายหน้า โลกจักเสื่อม แว่นแคว้นจักหมดความหมาย พระราชาทั้งหลายจักตกยาก เป็นกำพร้า องค์ใดเป็นใหญ่ องค์นั้นจักมีพระราชทรัพย์เพียงแสนกระษาปณ์ในท้องพระคลัง พระราชาเหล่านั้นตกยากถึงอย่างนี้ จักเกณฑ์ให้ชาวชนบททุกคน ทำการเพาะปลูกให้แก่ตน พวกมนุษย์ถูกเบียดเบียน ต้องละทิ้งการงานของตน พากันเพาะปลูกปุพพันพืช (อาหาร มีข้าวสาลี เป็นต้น) แลอปรันพืช (ของว่างหลังอาหาร มีถั่ว งา เป็นต้น) ให้แก่พระราชาทั้งหลายเท่านั้น ต้องช่วยกันเฝ้า ช่วยกันเก็บเกี่ยว ช่วยกันนวด ช่วยกันขน ช่วยกันเคี่ยวน้ำอ้อย เป็นต้น และช่วยกันทำสวนดอกไม้ สวนผลไม้ พากันขนปุพพันพืช เป็นต้น ที่เสร็จแล้ว ในที่นั้นๆ มาบรรจุไว้ในยุ้งฉางของพระราชาเท่านั้น แม้ผู้ที่จะมองดูยุ้งฉางเปล่าๆ ในเรือนทั้งหลายของตน จักไม่มีเลย จักเป็นเช่นกับการเติมน้ำใส่ตุ่มที่เต็มแล้ว ไม่เหลียวแลตุ่มเปล่าๆ บ้างเลยนั่นแล ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ จะยังไม่มีแก่มหาบพิตร.

พุทธทำนายข้อที่ 9

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นโบกขรณีสระหนึ่ง ดารดาดไปด้วยปทุม 5 สี ลึก มีท่าขึ้นลงรอบด้าน ฝูงสัตว์ สองเท้า สี่เท้า พากันลงดื่มน้ำในสระนั้นโดยรอบ น้ำที่อยู่ในที่ลึกกลางสระนั้นขุ่นมัว ในที่ซึ่งสัตว์ สองเท้า สี่เท้า พากันย่ำเหยียบ กลับใสสะอาดไม่ขุ่นมัว หม่อมฉันได้เห็นอย่างนี้ นี้เป็นสุบินข้อที่ 9 ของหม่อมฉัน อะไรเป็นผลของสุบินนี้ พระเจ้าข้า?
มหาบพิตร ผลแห่งสุบินนี้จักมีในอนาคตเหมือนกัน ด้วยว่าในกาลภายหน้า พระราชาทั้งหลาย จักไม่ตั้งอยู่ในธรรม ลุอคติ (มีความลำเอียง ) ด้วยอำนาจความพอใจเป็นต้น เสวยราชสมบัติ จักไม่ประทานการวินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรม มีพระหฤทัยมุ่งแต่สินบน โลเลในทรัพย์ ขึ้นชื่อว่าคุณธรรมคือความอดทน ความเมตตา และความเอ็นดูของพระราชาเหล่านั้น จักไม่มีในหมู่ชาวแว่นแคว้น จักเป็นผู้กักขฬะ หยาบคาย คอยแต่เบียดเบียนหมู่มนุษย์ เหมือนหีบอ้อยด้วยหีบยนต์ จักกำหนดให้ส่วยต่างๆ บังเกิดขึ้น เก็บเอาทรัพย์ พวกมนุษย์ถูกรีดส่วยอากรหนักเข้า ไม่สามารถจะให้อะไรๆ ได้ พากันทิ้งคามนิคมเป็นต้นเสีย อพยพไปสู่ปลายแดน ตั้งหลักฐาน ณ ที่นั้น ชนบทศูนย์กลางจักว่างเปล่า ชนบทชายแดนจักเป็นปึกแผ่นแน่นหนา เหมือนน้ำกลางสระโบกขรณีขุ่น น้ำที่ฝั่งรอบๆ ใส ฉันใด ก็ฉันนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ย่อมไม่มีแก่มหาบพิตร.

พุทธทำนายข้อที่ 10


พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้เห็นข้าวสุก ที่คนหุงในหม้อใบเดียวกันแท้ๆ แต่หาสุกทั่วกันไม่ เป็นเหมือนผู้หุงตรวจดูแล้วว่าไม่สุก เลยแยกกันไว้เป็น 3 อย่าง คือ ข้าวหนึ่งแฉะ ข้าวหนึ่งดิบ ข้าวหนึ่งสุกดี นี้เป็นสุบินที่ 10 ของหม่อมฉัน อะไรเป็นผลแห่งสุบินข้อนี้ พระเจ้าข้า?

,หาบพิตร ผลแม้ของสุบินข้อนี้ จักมีในอนาคตเหมือนกัน ด้วยว่าในกาลภายหน้า พระราชาทั้งหลายจักไม่ดำรงในธรรม เมื่อพระราชาเหล่านั้นไม่ดำรงในธรรมแล้ว ข้าราชการก็ดี พราหมณ์และคฤหบดีก็ดี ชาวนิคม ชาวชนบทก็ดี รวมถึงมนุษย์ทั้งหมด นับแต่สมณะและพราหมณ์ จักพากันไม่ตั้งอยู่ในธรรม แม้เทวดาทั้งหลายก็จักไม่ทรงธรรม ในรัชกาลแห่งอธัมมิกราชทั้งหลาย ลมทั้งหลายจักพัดไม่สม่ำเสมอ พัดแรงจัด ทำให้วิมานในอากาศของเทวดาสั่นสะเทือน เมื่อวิมานเหล่านั้นถูกลมพัดสั่นสะเทือน ฝูงเทวดาก็พากันโกรธ แล้วจักไม่ให้ฝนตก ถึงจะตกก็จะไม่ตกกระหน่ำทั่วแว่นแคว้น มิฉะนั้น จักไม่ตกให้เป็นอุปการะแก่การใด การหว่านในที่ทั้งปวงจักไม่ตกกระหน่ำทั่วถึง แม้ในชนบท แม้ในบ้าน แม้ในตระพังแห่งหนึ่ง แม้ในสระลูกหนึ่ง เหมือนกันกับในแคว้นฉะนั้น เมื่อตกตอนเหนือของตระพัง ก็จักไม่ตกในตอนใต้ เมื่อตกในตอนใต้ จักไม่ตกในตอนเหนือ ข้าวกล้าในตอนหนึ่งจักเสียเพราะฝนชุก เมื่อฝนไม่ตกในส่วนหนึ่ง ข้าวกล้าจักเหี่ยวแห้ง เมื่อฝนตกดีในส่วนหนึ่ง ข้าวกล้าจักสมบูรณ์ ข้าวกล้าที่หว่านแล้วในขอบขัณฑสีมาของพระราชาพระองค์เดียวกัน จักเป็น 3 สถาน ด้วยประการฉะนี้ เหมือนข้าวสุกในหม้อเดียวมีผลเป็น 3 อย่างฉะนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ จะยังไม่มีแก่มหาบพิตร.

พุทธทำนายข้อที่ 11


พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นคนทั้งหลายเอาแก่นจันทน์ มีราคาตั้งแสนกษาปณ์ ขายแลกกับเปรียงเน่า นี้เป็นสุบินข้อที่ 11 ของหม่อมฉัน อะไรเป็นผลแห่งสุบินนี้เล่า พระเจ้าข้า?

มหาบพิตร แม้ผลแห่งสุบินนี้ก็จักมีในอนาคต ในเมื่อศาสนาของตถาคตเสื่อมโทรมนั่นแล ด้วยว่าในกาลภายหน้า พวกภิกษุอลัชชีเห็นแก่ปัจจัย จักมีมาก พวกเหล่านั้น จักพากันแสดงธรรมเทศนา ที่ตถาคตกล่าวติเตียนความลโมภในปัจจัยไว้ แก่ชนเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งปัจจัย 4 มีจีวรเป็นต้น จักไม่สามารถแสดงให้พ้นจากปัจจัยทั้งหลาย แล้วตั้งอยู่ในฝ่ายธรรมนำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ มุ่งตรงสู่พระนิพพาน (ภิกษุจะแสดงธรรมเพราะความอยากได้ลาภจากผู้ฟัง แทนที่จะแสดงธรรมเพราะปรารถนา ให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง คือความพ้นทุกข์ บรรลุมรรคผลนิพพาน และธรรมที่แสดงนั้น ก็จะเป็นธรรมขั้นพื้นฐาน เช่น ความมักน้อย สันโดษ การให้ทาน เป็นต้น ไม่ใช่ธรรมขั้นสูงที่จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน ) ชนทั้งหลายก็จะฟังความสมบูรณ์แห่งบทและพยัญชนะ และสำเนียงอันไพเราะอย่างเดียวเท่านั้น แล้วจักถวายเอง และยังชนเหล่าอื่นให้ถวายซึ่งปัจจัยทั้งหลาย มีจีวรเป็นต้น อันมีค่ามาก ภิกษุทั้งหลายอีกบางพวก จักพากันนั่งในที่ต่างๆ มีท้องถนน สี่แยก และประตูวังเป็นต้น แล้วแสดงธรรมแลกรูปิยะ มีเหรียญกษาปณ์ ครึ่งกษาปณ์ เหรียญบาท เหรียญมาสก เป็นต้น โดยประการฉะนี้ ก็เป็นเอาธรรมที่ตถาคตแสดงไว้ มีมูลค่าควรแก่พระนิพพาน ไปแสดงแลกปัจจัย 4 และรูปิยะ มีเหรียญกษาปณ์และเหรียญครึ่งกษาปณ์เป็นต้น จักเป็นเหมือนฝูงคนเอาแก่นจันทน์มีราคาตั้งแสน ไปขายแลกเปรียงเน่าฉะนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ยังไม่มีแก่มหาบพิตร.

พุทธทำนายข้อที่ 12


พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ อะไรเป็นผลแห่งสุบินนี้ พระเจ้าข้า?

มหาบพิตร ผลแห่งสุบินนี้ก็จักมีในอนาคตกาล เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ในรัชกาลของพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ด้วยว่าในครั้งนั้นพระราชาทั้งหลาย จักไม่พระราชทานยศแก่กุลบุตรผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ จักพระราชทานแก่ผู้ไม่มีสกุลเท่านั้น พวกนั้นจักเป็นใหญ่ อีกฝ่ายหนึ่งจักยากจน ถ้อยคำของพวกไม่มีสกุล ดุจกระโหลกน้ำเต้า ดูประหนึ่งหยั่งรากลงแน่นในที่เฉพาะพระภักตร์พระราชาก็ดี ที่ประตูวังก็ดี ที่ประชุมอำมาตย์ก็ดี ที่โรงศาลก็ดี จักเป็นคำไม่โยกโคลง มีหลักฐานแน่นหนาดี แม้ในสังฆสันนิบาต (ที่ประชุมสงฆ์) เล่า ในกิจกรรมที่สงฆ์พึงทำและคณะพึงทำก็ดี ทั้งในสถานที่ดำเนินอธิกรณ์เกี่ยวกับบาตร จีวร และบริเวณเป็นต้นก็ดี ถ้อยคำของคนชั่วทุศีลเท่านั้น จักเป็นคำนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ มิใช่ถ้อยคำของภิกษุผู้ลัชชี (ผู้มีความละอายที่จะทำชั่ว คือผู้ไม่กล้าทำชั่วเพราะมีความละอายใจ ที่จะทำเช่นนั้น คือภิกษุที่ดีนั่นเอง) เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จักเป็นเหมือนกาลเป็นที่จมลงแห่งกระโหลกน้ำเต้า แม้ด้วยประการทั้งปวง ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ยังไม่มีแก่มหาบพิตร. สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้อยคำของผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติที่ควรจะได้รับความเชื่อถือ (ซึ่งถ้อยคำเหล่านั้นควรมีน้ำหนักเบาประดุจผลน้ำเต้า ซึ่งควรจะเบาจนลอยน้ำได้) กลับได้รับการยอมรับจากผู้เป็นใหญ่ ประดุจว่าเป็นถ้อยคำที่มีน้ำหนักมากน่าเชื่อถือ เหมือนผลน้ำเต้าที่ควรจะลอยน้ำ แต่กลับถูกมองเหมือนกับว่ามีน้ำหนักมากจนจมน้ำได้

พุทธทำนายข้อที่ 13

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นศิลาแท่งทึบใหญ่ขนาดเรือนยอด ลอยน้ำเหมือนดังเรือ อะไรเป็นผลแห่งสุบินนี้ พระเจ้าข้า?

มหาบพิตร ผลแห่งสุบินแม้นี้ ก็จักมีในกาลเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยว่าในครั้งนั้น พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมทั้งหลาย จักพระราชทานยศแก่คนไม่มีสกุล พวกนั้นจักเป็นใหญ่ พวกมีสกุลจักตกยาก ใครๆ จักไม่ทำความเคารพในพวกมีสกุลนั้น จักกระทำความเคารพในพวกที่เป็นใหญ่ฝ่ายเดียว ถ้อยคำของกุลบุตรผู้ฉลาดในการวินิจฉัย ผู้หนักแน่น เช่นกับศิลาทึบ จักไม่หยั่งลงดำรงมั่นในที่เฉพาะพระภักตร์ของพระราชา หรือในที่ประชุมอำมาตย์ หรือในโรงศาล เมื่อพวกนั้นกำลังกล่าว พวกนอกนี้จักคอยเยาะเย้ยว่า พวกนี้พูดทำไม แม้ในที่ประชุมภิกษุ พวกภิกษุก็จักไม่เห็นภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ผู้ควรทำความเคารพว่าเป็นสำคัญ ในฐานะต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ทั้งถ้อยคำของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักเหล่านั้น ก็จักไม่หนักแน่นมั่นคง จักเป็นเหมือนเวลาเป็นที่เลื่อนลอยแห่งศิลาทั้งหลายฉะนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ยังไม่มีแก่มหาบพิตร. สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้อยคำของผู้ที่มีคุณสมบัติที่ควรจะได้รับความเชื่อถือ (ซึ่งถ้อยคำเหล่านั้นควรมีน้ำหนักมากประดุจแท่งหินใหญ่ ซึ่งควรจะจมน้ำ) กลับไม่ได้รับการยอมรับเชื่อถือจากผู้เป็นใหญ่ ประดุจว่าเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนัก ไม่น่าเชื่อถือ เหมือนแท่งหินใหญ่ที่ควรจะจมน้ำ แต่กลับถูกมองเหมือนกับว่าไม่มีน้ำหนัก จนลอยน้ำได้

พุทธทำนายข้อที่ 14


พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ ขนาดดอกมะซาง วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ๆ กัดเนื้อขาดเหมือนตัดก้านบัวแล้วกลืนกิน นี้เป็นสุบินข้อที่ 14 อะไรเป็นผลแห่งสุบินนี้ พระเจ้าข้า?

มหาบพิตร ผลแห่งแม้สุบินข้อนี้ ก็จักมีในอนาคต ในเมื่อโลกเสื่อมโทรมดุจกัน ด้วยว่าในครั้งนั้น พวกมนุษย์จะมีราคะจริตแรงกล้า ชาติชั่ว ปล่อยตัวปล่อยใจ ตามอำนาจของกิเลส จักต้องเป็นไปในอำนาจแห่งภรรยาเด็กๆ ของตน ผู้คนมีทาสและกรรมกรเป็นต้นก็ดี สัตว์พาหนะมีโคกระบือเป็นต้นก็ดี เงินทองก็ดี บรรดามีในเรือนทุกอย่าง จักต้องอยู่ในครอบครองของพวกนางทั้งนั้น เมื่อพวกสามีถามถึงเงินทองโน้นๆ ว่าอยู่ที่ไหน หรือถามถึงจำนวนสิ่งของว่ามีที่ไหนก็ดี พวกนางจักพากันตอบว่า มันจะอยู่ที่ไหนๆ ก็ช่างเถิด กงการอะไรที่ท่านจะตรวจตราเล่า ท่านเกิดอยากรู้สิ่งที่มีอยู่ และไม่มีอยู่ในเรือนของเราละหรือ แล้วจักด่าด้วยประการต่างๆ ทิ่มตำเอาด้วยหอกคือปาก กดไว้ในอำนาจดังทาสและคนรับใช้ ดำรงความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ของตนไว้สืบไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จักเป็นเหมือนเวลาที่ฝูงเขียดขนาดดอกมะซาง พากันขยอกกินฝูงงูเห่า ซึ่งมีพิษแล่นเร็วฉะนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็จักไม่มีแก่มหาบพิตรดอก.

พุทธทำนายข้อที่ 15


พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นฝูงพญาหงษ์ทอง ที่ได้นามว่าทองเพราะมีขนเป็นสีทอง พากันแวดล้อมกา ผู้ประกอบด้วยอสัทธรรม 10 ประการ เที่ยวหากินตามบ้าน อะไรเป็นผลแห่งพระสุบินนี้ พระเจ้าข้า?

มหาบพิตร ผลแห่งสุบินนี้ ก็จักมีในอนาคต ในรัชกาลของพระราชาผู้ทุรพลนั่นแหละ ด้วยว่าในภายหน้าพระราชาทั้งหลาย จักไม่ฉลาดในศิลปะ มีหัสดีศิลปะเป็นต้น ไม่แกล้วกล้าในการยุทธ ท้าวเธอจักไม่พระราชทานความเป็นใหญ่ ให้แก่พวกกุลบุตรที่มีชาติเสมอกัน ผู้รังเกียจความวิบัติแห่งราชสมบัติของพระองค์อยู่ จักพระราชทานแก่พวกพนักงานเครื่องสรงและพวกกัลบกเป็นต้น ซึ่งอยู่ใกล้บาทมูลของพระองค์ พวกกุลบุตรผู้สมบูรณ์ด้วยชาติและโคตร เมื่อไม่ได้ที่พึ่งในราชสกุล ก็ไม่สามารถเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ จักพากันปรนนิบัติบำรุงฝูงชนที่ไม่มีสกุล มีชาติและโคตรทราม ผู้ดำรงอิสริยยศ จักเป็นเหมือนฝูงพญาหงษ์ทองแวดล้อมเป็นบริวารกา ฉะนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ยังไม่มีแก่มหาบพิตร.

พุทธทำนายข้อที่ 16


พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าต่อไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลก่อนๆ เสือเหลืองพากันกัดกินฝูงแกะ แต่หม่อมฉันได้เห็นฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง กัดกินอยู่มุ่มม่ำๆ ทีนั้นเสืออื่นๆ คือเสือดาว เสือโคร่ง เห็นฝูงแกะอยู่ห่างๆ ก็สะดุ้งกลัว ถึงความสยดสยองพากันวิ่งหนี หลบเข้าพุ่มไม้และป่ารก ซุกซ่อนเพราะกลัวฝูงแกะ หม่อมฉันได้เห็นอย่างนี้ อะไรเป็นผลแห่งสุบินนี้ พระเจ้าข้า?


มหาบพิตร ผลแห่งสุบินแม้นี้ ก็จักมีในรัชกาลแห่งพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ในอนาคตเหมือนกัน ด้วยว่าในครั้งนั้น พวกไม่มีสกุลจักเป็นราชวัลลภ เป็นใหญ่เป็นโต พวกคนมีสกุลจักอับเฉาตกยาก ราชวัลลภเหล่านั้นพากันยังพระราชาให้ทรงเชื่อถือถ้อยคำของตน มีกำลังในสถานที่ราชการ มีโรงศาลเป็นต้น ก็พากันรุกเอาที่ดินไร่นาเรือกสวนเป็นต้น อันตกทอดสืบมาของพวกมีสกุลทั้งหลายว่า ที่เหล่านี้เป็นของพวกเรา เมื่อพวกผู้มีสกุลเหล่านั้นโต้เถียงว่า ไม่ใช่ของพวกท่าน เป็นของพวกเรา แล้วพากันมาฟ้องร้องยังโรงศาลเป็นต้น พวกราชวัลลภก็พากันบอกให้เฆี่ยนตีด้วยหวายเป็นต้น จับคอไสออกไป พร้อมกับข่มขู่คุกคามว่า พ่อเจ้าไม่รู้ประมาณตน มาหาเรื่องกับพวกเรา เดี๋ยวจักไปทูลพระราชา ให้ลงพระราชอาญาต่างๆ มีตัดตีน ตัดมือ เป็นต้น พวกผู้มีสกุลกลัวเกรงพวกราชวัลลภ ต่างก็ยินยอมให้ที่ทางที่เป็นของตน ว่า ที่ทางเหล่านี้ ถ้าเป็นของท่าน ก็เชิญครอบครองเถิด แล้วพากันกลับบ้านเรือนของตนนอนหวาดผวาไปตามๆ กัน แม้ภิกษุผู้ชั่วช้าทั้งหลายเล่า ก็จักพากันเบียดเบียนภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักตามชอบใจ พวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักเหล่านั้น ไม่ได้ที่พำนัก ก็พากันเข้าป่า แอบแฝงอยู่ในที่รกๆ ข้อที่กุลบุตรผู้มีชาติสกุลทั้งหลาย และภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักทั้งหลาย ถูกคนชาติชั่ว และถูกภิกษุผู้ลามกทั้งหลาย เข้าไปประทุษร้ายอย่างนี้ จักเป็นเหมือนกาลที่พวกเสือดาว และเสือโคร่งทั้งหลาย พากันหลบหนีเพราะกลัวฝูงแกะฉะนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ยังไม่มีแก่มหาบพิตร ด้วยสุบินนี้ที่มหาบพิตรเห็นแล้ว ปรารภอนาคตทั้งนั้น แต่พวกพราหมณ์มิได้ทำนายสุบินนั้นด้วยความจงรักภักดีในพระองค์โดยถูกต้องเท่าที่ถูกที่ควร ทำนายไปเพราะอาศัยการเลี้ยงชีพ เพราะเห็นแก่อามิสว่า พวกเราจักได้ทรัพย์กันมากๆ

...... พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสให้พระเจ้าปเสนทิโกศล เลิกบูชายัญ ด้วยพระพุทธดำรัสว่า เพราะพระสุบินเป็นปัจจัย ภัยยังไม่มีแก่มหาบพิตรดอก มหาบพิตรจงสั่งให้เลิกยัญเสียเถิด พระราชทานชีวิตทานแก่มหาชน .........

เจ้าผู้ครองนครพะเยา { ยุคฟื้นฟู }

เจ้าผู้ครองนครพะเยา (ยุคฟื้นฟู) (พ.ศ. 2387 - พ.ศ. 2456) เป็นตำแหน่งที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเจ้าหลวงน้อยอินทร์, เจ้าผู้ครองนครลำปาง องค์ที่ ๘ กับ พระเจ้ามโหตรประเทศ, พระเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ ๕ ขณะดำรงพระยศ เจ้าอุปราชนครเชียงใหม่ ได้ทูลขอตั้งเมืองเชียงรายโดยให้เป็นเมืองขึ้นของเชียงใหม่ และตั้งเมืองงาว เมืองพะเยา เป็นเมืองขึ้นของนครลำปาง ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เจ้าหลวงวงศ์เป็น "พระยาประเทศอุดรทิศ" ผู้ครองเมืองพะเยา ตั้งแต่นั้นมา

จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเปลี่ยนอำนาจการบริหารปกครองประเทศใหม่โดยยกเลิกมณฑลเปลี่ยนมาเป็นจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองจึงได้ยกเลิกไป พระยาประเทศอุดรทิศเจ้าเมืองพะเยาองค์สุดท้ายได้กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง ทางการจึงตั้งนายคลาย บุษยบรรณ มาเป็นนายอำเภอเมืองพะเยา จังหวัดเชียงราย

[แก้] รายนามเจ้าผู้ครองนครพะเยา (ยุคฟื้นฟู)1.เจ้าหลวงมหาวงศ์ (เจ้าน้อยพุทธวงศ์ ณ ลำปาง) (พ.ศ. 2387 - พ.ศ. 2391) ราชโอรสองค์ที่ ๕ ใน พระเจ้าคำโสม , พระเจ้าผู้ครองนครลำปาง องค์ที่ ๔ โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ เจ้าน้อยพุทธวงศ์ ณ ลำปาง เป็น พระยาประเทศอุดรทิศ เมื่อ พ.ศ. 2387 เป็นต้นราชตระกูล "มหาวงศ์"

2.เจ้าหลวงมหายศ (เจ้าน้อยมหายศ ณ ลำปาง) (พ.ศ. 2391 - พ.ศ. 2398) ราชโอรสองค์ที่ ๗ ใน พระเจ้าคำโสม , พระเจ้าผู้ครองนครลำปาง องค์ที่ ๔ เสกสมรสกับเจ้าหญิงพิมพา ศีติสาร พระธิดาเจ้าฟ้าเมืององค์ มีราชบุตร-ธิดา คือ เจ้าหญิงฟองสมุทร เจ้าราชบุตรแก้ววิราช และเจ้าราชบุตรจันทยศ

3.เจ้าหลวงฟ้าเมืองแก้วขัตติยะ (เจ้าฟ้าขัตติยะ ศีติสาร) (พ.ศ. 2398 - พ.ศ. 2403) ราชบุตรของเจ้าฟ้าเมืององค์ เสกสมรสกับเจ้าหญิงอุบลวรรณา ณ ลำปาง ราชธิดาองค์สุดท้าย ใน พระเจ้าคำโสม , พระเจ้าผู้ครองนครลำปาง องค์ที่ ๔ มีราชบุตรและราชธิดาทั้งสิ้น 5 พระองค์ คือ เจ้าหลวงอินทะชมภู เจ้าหญิงบัวทิพย์ เจ้าหลวงไชยวงศ์ เจ้าน้อยมหายศ และเจ้าหลวงมหาไชย

4.เจ้าหลวงอินทะชมภู (เจ้าหนานอินต๊ะชมภู ศีติสาร) (พ.ศ. 2403 - พ.ศ. 2413) ราชบุตรของเจ้าฟ้าขัตติยะ ศีติสาร เสกสมรสกับเจ้าหญิงฟองสมุทร (พระธิดาของเจ้าหลวงมหายศ) มีราชธิดา คือ เจ้าหญิงอุษาวดี (เสกสมรสกับเจ้าราชสัมพันธวงศ์ (เจ้าคำผาย) ณ ลำปาง ราชบุตรของเจ้าชวลิตวรวุธ หรือเจ้าน้อยหมู ณ ลำปาง ราชโอรสใน เจ้าหลวงนรนันท์ไชยชวลิต, เจ้าผู้ครองนครลำปาง องค์ที่ ๑๑) เจ้าหญิงบุษย์ (เสกสมรสกับเจ้าราชบุตรแก้วเมืองมูล ต้นสกุล ณ ลำปาง สายพะเยา(ราชโอรสใน เจ้าสุริยะจางวาง หรือเจ้าน้อยคำป้อ ณ ลำปาง ราชโอรสใน เจ้าหลวงวรญาณรังษี, เจ้าผู้ครองนครลำปาง องค์ที่ ๙)

5.เจ้าหลวงอริยะราชา (เจ้าน้อยขัตติยะ ณ ลำปาง) (พ.ศ. 2413 - พ.ศ. 2437) ราชบุตรของพระราชมหาอุปราชาหมูหล้าและเจ้าหญิงสนธนา ณ ลำปาง มีราชบุตร 2 องค์ คือ เจ้าบุรีรัตน์เมืองพะเยา (เจ้าเมืองแก้ว) และเจ้าราชบุตรศรีสองเมือง (เจ้าน้อยใจเมือง)

6.เจ้าหลวงไชยวงศ์ (เจ้าหนานไชยวงศ์ ศีติสาร) (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2448) ราชบุตรของเจ้าฟ้าขัตติยะ ศีติสาร มีชายา 2 องค์ คือ เจ้าหญิงกาบแก้วและเจ้าหญิงอุ้ม มีราชบุตร-ธิดารวมทั้งสิ้น 10 องค์ คือ เจ้าราชวงศ์เมืองพะเยา (เจ้าน้อยอินทร์) พระญาบุรีรัตน์ (เจ้าน้อยพรหม) เจ้าน้อยแก้วมูล เจ้าน้อยวงศ์ เจ้าหนานเทพ เจ้าน้อยแก้ว เจ้าน้อยแสงฟ้า เจ้าหญิงบัวจี๋น (คู่แฝด) เจ้าหญิงบัวคำ (คู่แฝด) และเจ้าหญิงตุ้ม (แม่เจ้าคือเจ้าหญิงอุ้ม)

7.เจ้าหลวงมหาไชย (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) (พ.ศ. 2449 - พ.ศ. 2456) ราชบุตรของเจ้าฟ้าขัตติยะ ศีติสาร มีชายาทั้งสิ้น 3 องค์ คือ เจ้าหญิงจำปี เจ้าหญิงบัวเหลียว และเจ้าหญิงบัวไหว ศักดิ์สูง (พระธิดาเจ้าบุรีรัตน์เมืองพะเยา) และมีราชบุตร - ธิดา ทั้งสิ้น 5 องค์ คือ เจ้าอืด เจ้าหญิงบัวเงา เจ้าหญิงจ๋อย เจ้าศรีนวล เจ้าภูมิประเทศ

[แก้] สายสกุลเจ้าผู้ครองนครพะเยามีการรวบรวมประวัติสายสกุลเจ้าหลวงเมืองพะเยาไว้มีทั้งสิ้น 12 สกุล คือ

1.มหาวงศ์ ต้นสกุล คือ เจ้าหลวงมหาวงศ์ เจ้าผู้ครองนครพะเยา (ยุคฟื้นฟู) องค์ที่ 1

2.วิรัตน์เกษม ต้นสกุล คือ เจ้าราชบุตรแก้ววิราช บุตรเจ้าหลวงมหายศ (เจ้าผู้ครองนครพะเยา (ยุคฟื้นฟู) องค์ที่ 2)

3.จันทยศ ต้นสกุล คือ เจ้าราชบุตรจันทยศ บุตรเจ้าหลวงมหายศ (เจ้าผู้ครองนครพะเยา (ยุคฟื้นฟู) องค์ที่ 2)

4.ศีติสาร ต้นสกุล คือ เจ้าฟ้าญาร้อย (เจ้าน้อยศีธิวงศ์)

5.ศักดิ์สูง ต้นสกุล คือ เจ้าบุรีรัตน์เมืองพะเยา หรือเจ้าเมืองแก้ว

6.ไชยเมือง ต้นสกุล คือ เจ้าราชบุตรศรีสองเมือง หรือเจ้าน้อยใจเมือง

7.สูงศักดิ์

8.สุยะราช ต้นสกุล คือ เจ้าราชสัมพันธวงศ์หรือเจ้าคำผาย

9.ศักดิ์ศรีดี

10.วงศ์สุวรรณ

11.เทาวัลย์ หรือ เถาวัลย์

12.ณ ลำปาง (สายพะเยา)

“นางอั้วเชียงแสน”เมืองพะเยา เป็นชู้เพื่อ…?

ในวาระ : พะเยายุคสร้างเมือง 1 ศักดิ์ ส.รัตนชัย เปิดประเด็นข่าวประวัติศาสตร์ต้องวิเคราะห์ใหม่ ราชวงศ์ลวจังกราช กับข่าวการเสวนาวิชาการ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุ­ไชย 26 ส.ค.2551 เรื่อง ย้อนรอยพระนางจามเทวี ข่าวหนังสือเรื่องดอยตุง ฉบับใหม่ 2551 กรมศิลปากรพิมพ์ “พิเศษ เจียร์จันทร์พงศ์” สรุปผลวิเคราะห์ตำนานหลักประวัติศาสตร์พระธาตุดอยตุง ที่เคยเข้าใจกันว่าเป็นของราชวงศ์ลวจังกราช


ความเชื่อใหม่ คือ วัดพระธาตุดอยตุง สร้างโดยราชวงศ์สิงหนวติ ผลประชุมตำนานมูลศาสนาฉบับต่างๆ มารวมกันโดยสมาคมประวัติศาสตร์ไทย ร่วมตำนานเชียงใหม่เชียงตุงโวหารต่างๆ คณะสงฆ์สวนดอก-ป่าแดงเชียงใหม่ทะเลาะใส่ใคล้กัน สมัยพระเจ้าติโลกราช(ร.9)ยกเมธังกรเถระสู่สังฆราชาแทนพระมหา­าณคัมภีร์เถระต้องหลีกหนีไปเชียงตุง-เชียงแสน-ลำปาง ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร บันทึกในหนังสือสมาคมประวัติศาสตร์ไทยโดยข้อมูลใหม่คือ มีการสร้างจารึกใหม่เชียงใหม่ ทำลายจารึกทุกหลักของลำพูน คงเหลือรอดไว้เพราะอยู่ในป่าคู่วัดพระยืน(คือหลักจารึกของพระสุมณเถระจากสุโขทัยพ.ศ.1913 ยกตำแหน่งพระเจ้ากือนา(ร.6)เป็นตำแหน่งท้าวสองแสนนา)



บัดนี้ยังไม่มีงานวิจัยฉบับใดแกะประเด็นหาคำตอบ เหตุใด ยุคจารึกชินกาลมาลีปกรณ์ และหนังสือยุคพระเมืองแก้ว(ร.11)ไม่ยอมใช้คำว่า ล้านนา



ความเข้าใจเรื่องปฐมบรรพวงศ์ชาวเหนือทังมวล ว่าสืบแต่ลาวจกแผ่ซ่านซืมอยู่บนฐานภูมิปั­­าเข้าใจเช่นนี้มา 500 ปี เช่น ตำนานชินกาลมาลีปกรณ์แห่งเชียงราย สืบช่วงต่อลิขิตะเผ่าภาษาคำเมือง รุ่นประชาธิปไตย รัตนโกสินทร์ อาทิ แสน ธรรมยศ บก.นิตยสารโยนก สมาคมชาวเหนือ เขียนประวัติศาสตร์ลำปาง รวมทั้งผู้เคยเชื่อตามในเมืองเหนือก็มี ศักดิ์ ส รัตนชัย ด้วยผู้หนึ่ง เมืองใต้ เช่น จิตต์ ภูมิศักดิ์ เคยเชื่อตามเช่นนั้น ศรีศักร วัลลิโภดม นับเป็นคนแรกชี้ภูมิหลังราชวงศ์ลาวจกมิได้สร้างเมือง โดยประวัติชัดเจนด้วยภูมิเมืองเช่นราชวงศ์สิงหนวติ ก็ยกประโยชน์ให้ พิเศษ เจียร์จันทร์พงศ์ ที่ทำหน้าที่ภูมิปั­­ากรมศิลปากรในวันนี้ และก็ไม่ลืมแผ่บทอัศจรรย์ใจแก่ผลประวัติศาสตร์ให้ พระยาประชากิจกรจักร ผู้แต่งพงศาวดารโยนกที่ชาวเชียงรายในเชียงราย ชาวเชียงรายแห่งสกุลเชียงแสนพระยาเจ่งลำปาง เรียกชื่อกษัตริย์องค์หนึ่งของตนเองสมัย พ.ศ.1805 ว่า เม็งราย



ภูมิหลัง ภูมิเมือง ภูมิวงศ์เชียงรายวันนี้ คงเหลือภูมิปั­­าคู่นักโบราณคดีรุ่นประวัติศาสตร์จารึกหน่วยศิลปากร 7 เชียงแสน บนเสาอิฐฉาบปูนบนแผ่นโลหะว่า เม็งราย กลางเมืองเชียงราย คงเหลือที่คุณบุ­ฤทธิ ตุลาพันธ์พงศ์ เจ้าของหัวและ บก.นสพ.เก่าแก่บนแผงหนังสือนักอ่านเมืองเหนือที่เชียงใหม่ คือ นสพ.เม็งราย



แต่กรอบเสวนา มีเวลาเพียงคร่าวๆคือพะเยายุค ก่อนและหลังสุโขทัย ยุคตระกูลเมืองพร้าว ยุคเจ้าหลวงพะเยา ๑ คือเจ้าหลวงมหาวงศ์ เจ้าพะเยา ๒ คือ เจ้าหลวงมหายศ เจ้าหลวงพะเยา ๓ คือเจ้าหลวงฟ้าเมืองแก้วขัตติยะวงศา เจ้าหลวงพะเยา ๔ คือ เจ้าหลวงอริยะ เจ้าหลวงพะเยา ๕ คือเจ้าหลวงอินต๊ะชมภู เจ้าหลวงพะเยา ๖ คือเจ้าหลวงไชยวงศ์ เจ้าหลวงพะเยาที่ ๗ คือเจ้าหลวงมหาไชย



เมืองพะเยาก็โชคดีที่มีทายาทแม่เจ้าทรายมูลอยู่สหรัฐเขียนสั่งสมสืบสร้างหลักฐานตระกูลประวัติศาสตร์สู่พิพิธภัณฑ์ภาพภูมิหลังบรรพบุรุษพะเยา คือ คุณอนุวัฒน์ ไชยเมือง แห่งสำนักจิตรกรลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา



พะเยาแห่งภูมิหลัง ภูมิเมือง ภูมิวงศ์ ในวิสัยทัศน์ภูมิข่าววันนี้

โดยแผนพัฒนาฯของกระทรวงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2551-2554 เปิดท่องเที่ยวภาคเหนือ คราวประชุมสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และแผนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จัดประชุมทุกจังหวัดภาคเหนือที่เชียงใหม่ เป็นโอกาสเปิดกว้างแต่ก็แคบข้อบั­­ัติโดยมีผู้เสนอติงแผนพัฒนาด้วยเงิน 1,350 ล้านบำรุงความเป็นศูนย์ถาวรที่เชียงใหม่ ให้ทุกจังหวัดรายรอบมีประตูช่องเดียว คือ “ประตูล้านนา” ศูนย์กลางแผนที่วงกลมลูกเบี้ยวยกไปขึ้นเส้นรอบวงรัศมีเชียงใหม่ ผู้แทนองค์ประชุมภาคเหนือ จากลำปางเพียงรายเดียวใน 17 จังหวัดเสนอขอเปิดประเด็น “ประตูจามเทวีระหว่างลำปาง-เชียงใหม่-ลำพูน” ศูนย์กลางภาคเหนือตัวจริงทางภูมิศาสตร์และแผนที่คมนาคมกรมทางหลวงแผ่นดิน



แต่ก็สายไปเมื่อมติฟ้าผ่า งบหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบล้านบาท ปี 2551-2554 เป็นของเชียงใหม่เสียแล้ว โดยได้อ่อยวาระการประชุมเพียงให้รับรู้ ภูมิเมืองสนามบินท่องเที่ยวรับแขกต่างประเทศที่มาลงเชียงใหม่วันละ 85 เที่ยวบินรายได้วันละ หนึ่งพันล้านบาท (ททท.) แผนให้แขกมีกุลีขนกระเป๋า มีโรงแรมหรูๆพักอยู่ได้ที่เชียงใหม่



จังหวัดอื่นความหวังเพียงแขกหอบเป้สู่แหล่งเป้ารีสอร์ทท่องป่า จังหวัดอื่นๆภาคเหนือลือชื่อเมืองช้างรวมทั้งนกหนูแมลงเล็กๆเป็นอาหารได้ พลอยหายไปกับงบมหาศาลของรัฐบาล ท่องเที่ยวยกภาคเหนือเพียงประเทศสวนสัตว์หมีตัวเดียว คือ แพนด้าชื่อจีนๆ ทุ่มโถมนาทีพื้นที่โฆษณา เริ่มแต่เด็กทุกวัยๆ คลุมถึงค่านิยมหมีการ์ตูน



“หลินปิงอยู่ไทยอีกไม่นานรู้ผล” รอคำตอบจีนลุ้มผสมพันธุ์ใหม่ คือ ข่าวพาดหัวหน้า1ไทยนิวส์ ฉบับ 29 ส.ค.2553 ภูมิปั­­ากลุ่มบริหารแผนเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยโดยภูมิเมืองสวนสัตว์ ถึงอย่างไรก็เพียงระดับประเทศ ถ้านำความคิดแบบไทยๆนี้ไปใช้กับอาฟริกา ยีราฟ แรด ม้าลายฯ คู่ค่านิยมโลกหนังทาซานคงหมดทั้งทวีป !!!



ภูมิหลัง ภูมิเมือง ภูมิวงศ์ แห่งวิสัยทัศน์ภูมิข่าวเหนือกิ่วลม

ประเด็นศึกษาอาณาจักรขัตติยวงศาห­ิง ยุทธประวัติศาสตร์วิจัยพะเยา ขึ้นกับข้อมูลใหม่งานชำระประวัติ ศาสตร์ไทย หลังสัมมนานานาชาติเรื่องไทยศึกษา ครั้งที่ 4 นครคุนหมิง พ.ศ.2533 หนองแสมี 2 แห่ง คือ หนองแสตาลีฟู และหนองแสคุนหมิง หากนักประวัติศาสตร์ไทยขาดข้อมูลนี้



การเมืองเม็งรายกับพ­ายี่บายุคอาณาจักร 2 ฝั่งฟ้าหนองแส ก็เสมือนตาบอดคลำช้าง ศักดิ์ ส.ได้นำข้อมูลสู่หลักฐานงานตำราประวัติศาสคร์ฉบับทูลเกล้าถวายสมเด็จองค์พระเทพรัตนราชสุดาฯ ณ มหาวิทยาลัยโยนก ปี 2539 ก็จะมีผู้ใดรังสรรค์ประวัติศาสตร์ไทย โดยขาดบุคคลที่ 1 ผู้กุมอำนาจหนองแส กำชะตาถึงพะเยาให้สมบูรณ์ได้กระไรเล่า ?



พงศาวดารภาค 61 ที่ว่าดีที่สุดขณะนี้ ปริเฉทแรกเป็นวงศ์หิรั­นครเงินยาง ก็คือ เรื่องของลาวจก องค์แห่งภูมิพงศาวดารก็บอกโทนโท่ว่า ราชวงศ์นี้สถาปนาจากราชวงศ์โอปปาติกะ ก็คือเรื่องของผี ประวัติลาวจกเขียนโดยระบบอำมาตยาธิปไตยเวียงปรึกษา ยุควัฒนธรรมลัวะไทย ถิ่นฐานบ้านลัวะหลังคากาแล ไทยไม่มีกาแล



ส่วนตำนานสิงหนวติกุมารแม้จะเป็นเรื่องเก่าก็เขียนขึ้นโดยราชวงศ์ลาวยุคล้านช้าง ยังไม่มีพงศาวดารฉบับใดเขียนด้วยมือชาวถิ่นมาตุภูมิยุคฟื้นอาณาจักรฝ่ายเหนือเป็นของชนเผ่าเรียกตนว่า “คนเมือง” ที่กระจายกันอยู่เป็นราชวงศ์ฝ่ายเหนือ ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน และชนเผ่าเจ้าของภาษาคำเมืองที่อ่านนับ เลขยี่สิบ ว่า ซาว แพ้ ที่หมายถึง ชนะ โดยภูมิหลังชาวพงศาวดารเหนือ? โดยเจ้าของวิถีชีวิตบนพื้นที่ประวัติศาสตร์ชนเผ่า?



จากบุคคลที่ 1 ภูมิหลังกิ่วลมวันนี้ คือแอ่งเกาะแก่ง ร่องธาร ต้นน้ำภูลังกาผีปันน้ำ ที่ให้น้ำแม่วังแห่งสี่แควเจ้าพระยา น้ำอิง-แม่ลาวสู่แม่กกสบโขง เหนือบริเวณเขื่อนกิ่วลมที่จริง คือ สันพรมแดนช่องเขาแบ่งอาณาเขตพะเยาเชียงแสนกับเขลางค์แหล่งพระร่วงกับขุนงำเมือง สังเกตการณ์รบระหว่างกองทัพเมงรายกับยีบาก่อนอาณาจักรเชียงใหม่ ร่องน้ำแห่งนี้ จึงคือ พรมแดนพะเยากับกุมกามก่อนสถาปนานครเชียงใหม่ สู่ยุคสามเมืองหลวง สามกษัตริย์ลุ่มโขงเข้าพระยา ช่องว่างคนเขียนประวัติศาสตร์ตนเองยุคนี้ก็อยู่ในกลุ่มภูมิวงศ์ขีตติยนารี



เหตุใดกษัตริย์ลาวเมงวงลาวจก จึงส่งราชบุตรเมงรายเชื่อมสุวรรณบรรลังก์กับธิดาเครือคำข่ายไทยเชียงรุ้ง ขณะที่สหายงำเมืองของเมงราย คือ เขยแห่งราชินีกุลเชียงแสน บนพื้นถิ่นร่องช้างแม่อิงสบเชียงของพระร่วง?



ก่อนยุค 3 กษัตริย์ พะเยา คือ อาณาจักรภูกามยาวอารยธรรมเหนือแอ่งต้นน้ำแม่วัง ต้นน้ำงาวสู่แม่ยมด้วยสิทธิสมบูรณ์ตำแหน่งกษัตริย์ 1 ใน 3 ลุ่มโขงเจ้าพระยา ที่แผ่ศักดานุภาพคลุมลุ่มโขงอินโดจีน 700 ปีคือ อำนาจรัฐอุปโหลกพะเยา ที่เหลือเพียงแต่ชื่อ ก่อนบัลลังก์พะเยาจะถูกโค่นอย่างสมบูรณ์ เพราะ 600 ปี พะเยา คือ เศษหนึ่งของเมืองหลวงเชียงใหม่คลุมแม่ปิง แม่วังและแม่อิง พอ 500 ปี เมืองหลวงสุโขทัยตอนเหนือคาบส่วนแม่อิงสบเชียงของ ร่องธาร ร่องช้าง ตำหนักพระร่วงอั้วเชียงแสนก็หลุดลอยไปเป็นอำนาจเมืองหลวงเชียงใหม่ กษัตริย์เดียวเมืองหลวงเดียว ยุค 500 ปี คือ ยุคเมืองหลวงติโลกราช ยุคปราบได้ล้านนา 57 หัวเมือง ก็คือ ยุคอาศัยความหมดอิสรภาพของพะเยา ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน รวมส่วนแบ่งแยกสุโขทัยเป็นปัจจัย



ตำนานที่คนรุ่นใหม่อ่านเข้าใจคนละอย่าง คือ ภาคส่วนพระนางติโลกปสุดาจำลองภาคภูมิอดีตชาติสู่ห้องจามเทวี เช่น ภาคส่วนห้องจามเทวี(เชียงใหม่) เสร็จทัพแม่สลิดมาอธิษฐานบ่อน้ำเลี้ยงมืองลัมพกัปปะ วัดพระธาตุลำปางหลวง พำนัก ณ เวียงตาลห้างฉัตร รวมทั้งตำนานเขตลานนาถึงเมืองลองยุคจามเทวีเชียงใหม่ แต่เด็กรุ่นใหม่จะเข้าใจได้ง่ายในภูมิหลังแบบภูมิอวตาล ของปิเตอร์ แจ๊คสัน เจ้าของผลงานอวตาล หนังเรื่อง Avatar



จากการสัมมาสมาพันธ์ท่องเที่ยว17 จังหวัดภาคเหนือ เดือนมีนาคม 2553 ที่แก่งกิ่วลม ก็หันมาทบทวนเนื้อหาประวัติศาสตร์อาณาจักรพะเยา แต่ครั้งสัมมนาร่วมคณะภาคเหนือ และเริ่มรื้อฟื้นประวัติศาสตร์โดยองค์แห่งประวัติศาสตร์ตัวจริงสู่ฐานวิเคราะห์สอบสวนใหม่กรณีศึกษา พฤติกรรมในเขตพระตำหนักรับราชอาคันตุกะเมืองพะเยา สมัยพระร่วงอั้วเชียงแสน เปรียบเทียบ เมื่อ 700 ปีก่อนที่พะเยา กับเขตพระตำหนักกษัตริย์โรมันจูเลียตซีซ่าในอียิปต์กับคลีโอพัตตรา



ประวัติภูมิวงศ์ฝ่ายห­ิงพะเยาจากข้อมูลตำนานพื้น เมืองเชียงใหม่ พระนางอั้วเชียงแสนขัดเคืองพระทัยไม่ยอมไปหางำเมืองอีกเลย ในคำกล่าวพระยางำเมืองว่า แกงอ่อมอั้วเชียงแสนลำดี เสียแต่ชามปากกว้าง น้ำแกงก็นัก และพระนางก็หย่องไปหาพระร่วงที่พระตำหนักหลายครั้ง…..กับข่าวประวัติพระตำหนักรับราชอาคันตุกะ กษัตริย์โรมันจูเลียตซีซ่าแห่งราชสำนักอียีปต์ ที่ตกเป็นเมืองขึ้นอาณาจักรโรมัน



โครงสร้างพงศาวดารราชินิกุลอียิปต์ก็เหมือนๆ พะเยา คือ กรีกได้ปกครองและเป็นวงศ์กษัตริย์อียิปต์ที่ไม่ต้องขึ้นกับกรีกเป็นราชวงศ์ปโตเลมี คลีโอพัตราถือเป็นราชินิกุลที่ต้องสืบอำนาจโดยสืบครรภ์สายเลือดวงอียิปต์ แม้จะร่วมกับอนุชาวัย 12 ขวบของตนเอง แต่อียิปต์ก็ต้องตกเป็นเมืองขี้นโรมัน ก็เหมือนพะเยาเป็นเมืองขึ้นเชียงราย เมื่อพระยาเม็งรายยกทัพมา แต่พระยางำเมืองกลับยอมยกบางส่วนของพะเยาพร้อมคนพะเยา ขึ้นอำนาจเชียงราย



ความมุ่งหมายคลีโอภัตรา คือ ต้องการอิสรภาพเพื่ออียิปต์โดยสืบโอรสกับกษัตริย์ซีซ่าอย่างเสี่ยงภัยต่อการเข้าสู่เขตพระตำหนัก โดยวิธีเข้าสู่ห้องลับพร้อมวิธีลึกลับ สู่การสืบโอรสพระนามปโตเรมีซีซ่าร์ เป็นราชินีกรุงโรมคลุมบัลลังก์กษัตริย์ห­ิง โดยสายโลหิตขัตติยะนารีอียิปต์



จะถือกษัตริย์จูเลียตซีซ่าเป็นชู้เยื่องสามั­ชนธรรมดาได้กระนั้นหรือ ภูมิหลังซี่ซ่าพระชนมายุ 54 ปี ขณะที่คลีโอพัตราเจริ­ชันษา 21 ปี มีโอรสกับอนุชาอายุ 12 ปีตามประเพณีสืบสันตติวงศ์สายราชินิกุล เป็นตัวตนอยู่



ประเด็นศึกษาอาณาจักรขัตติยวงศ์ห­ิง ยุทธประวัติศาสตร์วิจัยพะเยา คือ หัวเรื่องในช่องว่างประวัติศึกษา ภูมิหลัง ภูมิเมือง ภูมิวงศ์ แห่งวิสัยทัศน์ภูมิข่าว เมืองแกงอ่อมลำดี ภูมิเมืองคร่อมแก่งกิ่วลมสองอาณาจักร์ฝั่งฟ้าสิเนหา งำเมือง-พระร่วงเจ้า ซึ่งยังไม่น่าปิดฉากง่ายดายที่ตรงนี้.

ที่มาหนังสือพิมพ์พะเยารัฐ

คนพยาว..มาจากไหนไผฮู้

“ภายหลังรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าให้เจ้านายบุตรหลานจากราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนเมืองนครลำปาง และเจ้านายเชื้อสายพะเยาเก่าจากราชวงศ์พะเยา-เวียงพร้าว ๑๒ ขุน ได้อพยพนำชาวพะเยาเก่ากลับมายังเมืองพะเยาในวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๕ โดยมีเจ้าหลวงมหาวงศ์,เจ้าอุปราชมหายศ,เจ้าฟ้าเมืองแก้วขัตติยะ, เจ้าราชวงศ์แก้วมนุษย์, เจ้าราชบุตรขัตติยะ(เจ้าอริยะ) ได้นำชาวพะเยาที่หลบหนีสงครามพม่าไปอาศัยอยู่ที่เมืองลำปางนานถึง ๕๖ ปีได้กลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิม โดยได้เข้าพำนักที่บ้านตุ่นหรือสันเวียงใหม่เป็นเวลานาน ๑ ปี จากนั้นจึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเวียงนครพะเยา เมื่อวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖(เดือน ๘ เหนือ) จุลศักราช ๑๒๐๖ ฉศก ปีกามสี พุทธศักราช ๒๓๘๗”(อธิบายภาพเขียนด้านบน ภาพโดย อนุวัฒน์ ไชยเมือง)


อนุวัฒน์ ไชยเมือง ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์เมืองพะเยา กล่าวว่า “เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของพะเยายุคฟื้นฟู” มีชาวพะเยาจำนวนมากที่ไม่เคยทราบข้อมูลในส่วนนี้ ส่วนให­่จะทราบแต่เพียงเรื่องราวของยุคพะเยาเก่าในสมัยพ­างำเมือง แม้แต่พะเยายุคกลาง คือ ยุคพ­าเมือง­งี่ (ต้นปฐมราชวงศ์เวียงพร้าว), พ­าหัวเคียน, พ­าเมืองตู้ ก็จะรับทราบเพียงการก่อสร้างพระเจ้าตนหลวงเท่านั้น ซึ่งชาวพะเยาในปัจจุบันนี้สืบเชื้อสายมาจากพะเยายุคกลางเป็นเชื้อสายโยนกเชียงแสนได้อพยพหนีกองทัพของพระเจ้าบุเรงนองที่ยกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ ชาวพะเยาได้ถูกพม่ากวาดต้อนไปไว้ที่เมืองหงสาวดี ส่วนหนึ่งหนีไปทางเมืองเวียงจันทร์ และส่วนสุดท้ายเป็นกลุ่มเชื้อสายราชวงศ์ที่หนีจากเมืองท่าวังทองออกไปทางแจ้ห่มและเมืองวังเหนือและข้ามเข้าไปอยู่แถบป่าทึบเมืองพร้าวในตำนานกล่าวว่าหลบอยู่นานถึง ๕ ปี ภายหลังพม่าที่ครองเชียงใหม่จึงป่าวประกาศให้ผู้ที่หลบซ่อนตัวตามป่าเขาเข้าไปสวามิภักดิ์และให้ผู้ที่สืบทอดเชื้อสายเจ้าเมืองเก่าไปปกครองเมืองพะเยาตามเดิมโดยยึดเอาบุตรหลานของเจ้าเมืองไปเป็นตัวประกันที่เมืองหงสาวดี

อาจารย์ศักดิ์ รัตนชัย ได้มาสอบถามข้อมูลเรื่องวงศ์เจ้าพะเยาที่เมืองพะเยา เมื่อปี ๒๕๑๘ โดยมาพบปะกับทายาทเจ้าหลวงเมืองพะเยาหลายสายตระกูล โดยมีแม่เจ้าสวน ศักดิ์สูงได้ให้ข้อมูลว่า เจ้าพะเยาสืบมาจากเชื้อสายเจ้าเวียงพร้าว คือเป็นเชื้อสายของพ­าเมืองตู้ และท่านได้นำทีมงานสถานีโทรทัศน์ลำปางเข้าไปสำรวจเส้นทางการอพยพของชาวพะเยาหนีพม่ายุคก่อนในป่าเมืองแจ้ห่ม เมืองวังเหนือ เมืองงาว เมืองพร้าว พบถ้ำต่างๆที่ใช้เป็นที่หลบภัยของชาวพะเยาท่านมีหลักฐานหลายชิ้นที่จะนำมาเปิดเผยในอนาคตนี้
ส่วนขุนเจื่อง, พ­างำเมืองและพ­าเมงรายนั้น อ.ศักดิ์ ระบุว่า ไม่ได้เป็นคนเมืองสายโยนกเชียงแสน แต่เป็นชาวลั๊วะแห่งราชวงศ์ลวจักราช แต่มีอำนาจปกครองอาณาจักรพะเยาโดยมีชาวโยนก หรือ“คนเมือง” เป็นผู้รับใช้และส่วนหนึ่งก็แฝงตัวอยู่ในตำแหน่งขุนนางหรืออำมาตยา หลังสิ้นราชวงศ์งำเมืองพะเยาแทบล่มสลายเพราะอำนาจของราชวงศ์เมงรายเข้ามาแทนที่ ภายหลังเมื่อผู้ครองเมืองเชียงใหม่วงศ์เมงรายอ่อนแอก็มักจะถูกเสนาอำมาตย์ปลดออกจากตำแหน่งกษัตริย์ได้ เมืองเชียงใหม่เข้มแข็งที่สุด คือ ในยุคของพระเจ้าติโลกราช ซึ่งยึดบรรลังก์มาจากพระเจ้าสามฝั่งแกนผู้เป็นบิดาของตัวเอง โดยมีขุนนางแห่งเมืองพร้าว คือ เจ้าหมื่นเงิน(อ้างตามบันทึกสกุลพะเยาเก่าของพ­าบุรีรัตน์เจ้าน้อยพรหม ศีติสาร ตำแหน่งผู้พิพากษาฝ่ายเสนายุติธรรมเมืองพะเยา โอรสของเจ้าหลวงไชยวงศ์) ,เจ้าหมื่นโลกนครลำปาง (คนนี้เป็นน้าของพระเจ้าติโลก) ช่วยเป็นกำลังให้ แต่ภายหลังได้ระแวงจึงสั่งสังหารผู้ที่เคยช่วยตนเองขึ้นสู่อำนาจเสียสิ้น

สำหรับมุมมองในเรื่องการเมืองการปกครองนั้น เมืองพะเยาในยุคฟื้นฟูที่มีพม่าเข้ามาเกี่ยวข้องในการปกครองรวมถึงการล่าอาณานิคมของต่างชาติ แล้วนำไปสู่การรวมราชอาณาจักรลานนาเข้ากับราชอาณาจักรสยาม โดยกุศโลบายที่แยบยลของสยาม จนทำให้อำนาจการปกครองของเจ้านายฝ่ายเหนือที่มีมายาวนานได้ล่มสลายไป

นักประวัติศาสตร์ และผู้รู้ท่านใด มีข้อมูลเพิ่มเติมต่อจากคุณอนุวัฒน์ ไชยเมือง โปรดส่งให้พะเยารัฐตีพิมพ์ เพื่อการศึกษาค้นคว้าต่อไป จักขอบพระคุณยิ่ง

ที่มาหนังสือพิมพ์พะเยารัฐ

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

ภาพเจ้าเมืองเก่าๆครั้งอดีต


ภาพเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง สองภาพแรกภาพเจ้าก้อนแก้วอินแถลงกับราชบุตร ซึ่งเจ้าฟ้าองค์นี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้พม่าประกาศอิสระภาพจากอังกฤษตามสนธิสัญญาปางหลวง แต่กลับถูกพม่าหักหลังไม่ยอมปล่อยรัฐไทยใหญ่ให้เป็นอิสระ ภายหลังที่พระองค์สิ้นพระชนน์ก็มีเจ้าฟ้าปกครองมาอีกไม่กี่องค์ก็ถูกพม่ากวาดล้าง พวกราชวงศ์เจ้าฟ้าไทยใหญ่ต่างๆอพยพหลี้ภัยไปยังจีนบ้าง ไทยบ้าง อาทิเจ้าเมืองเชียงตุง เจ้าเมืองนาย เป็นต้น ต่อมาได้รับพระราชทานนามสกุล ณ เชียงตุง ณ นาย เป็นต้น



ภาพพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าเมืองเชียงใหม่และเจ้าหญิงเมืองเชียงตุง เป็นงานระหว่างเจ้าแก้วนวรัตน์หรือเจ้าอินทรวิชยานนไม่แน่ใจว่าองค์ใดซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ กับเจ้าสุคันธาพระธิดาของเจ้าก้อนแก้วอินแถลง งานนี้จัดขึ้นที่หอคำหรือพระราชวังเชียงตุงปัจจุบันทหารพม่าได้ทุบหอคำทิ้งแล้วสร้างโรงแรมทับที่เดิมสร้างความเจ็บแค้นให้ชาวเมืองเชียงตุงเป็นอันมาก



                   ภาพเจ้าหญิงและเจ้าชายเป็นภาพของราชบุตร ราชธิดาเมืองใดไม่ทราบแน่ชัด


            
ภาพเจ้าเมืองน่าน เจ้าสุริยวงศ์ผริตเดช


                                                               ภาพเจ้าหญิงเมืองเชียงตุง
                                                    ภาพเจ้าหญิงเชียงใหม่ เจ้าอุบลวรรณนา


ภาพพิธีอภิเษกสมรสเจ้าเชียงใหม่กับพระธิดาจากเชียงตุง


ภาพเจ้าชายาดารารัศมีใน ร.5เจ้าหญิงจากเชียงใหม่และพระประยูรวงศ์จากเชียงใหม่ที่ได้เข้ามาศึกษาร่ำเรียนที่กรุงเทพ



                                                             ภาพเจ้าเมืองลำพูน



ภาพเจ้าบุญวาท


                                        ภาพพระธิดาอีกพระองค์ของเจ้าก้อนแก้วอินแถลง



ภาพท้องพระโรงไม่แน่ใจว่าใช่เมืองยองห้วยหรือเชียงตุง


                                                        ภาพช่างซอในคุ้มหลวงเชียงใหม่


ภาพเก่าๆของชาวลับแลเมืองอุตรดิต


นั่ง...เจ้าฟ้ารัตนก้อนแก้วอินแถลง เจ้าพ่อ


                                                 ยืนซ้าย เจ้าขุนเมือง

                                                ยืนกลาง เจ้าฟ้ากองไตย

                                                ยืนขวาสุด เจ้าฟ้าพรมลือ (ชายาคือเจ้าทิพวรรณ (ณ ลำปาง) ณ เชียงตุง





ชีวิตของ " เจ้านางสุคันธา (ณ เชียงตุง) ณ เชียงใหม่ "

........ร่างเล็กในชุดเสื้อลูกไม้คอจีนแขนกระบอกสีขาวสะอาด และ ผ้าซิ่นยาวกรอมเท้าสีน้ำตาลเข้ม นั่งสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ยาวเก่าคร่ำ มือเหี่ยวย่นขยับขึ้นลงตามตัวอักขระภาษาเขิน เป็นชื่อของตนเองก่อนจะส่งกระดาษแผ่นนั้นมาให้คนรุ่นหลังอย่างเราๆได้เห็นเป็นบุญตา จากนั้นจึงขานไขถึงวัยวันเก่าๆลงในเครื่องบันทึกเสียงที่ตั้งรออยู่ตรงหน้า ด้วยน้ำเสียงเนิบช้าจนเป็นจังหวะดเดียวกับการหมุนของแถบบันทึก ที่ค่อยๆผ่านไปทีละคำทีละประโยค หางเสียงที่เล่าพริ้วสั่นนิดๆด้วยกรังสนิมแห่งกาลเวลา หากแต่ดวงตาคู่นั้นเองที่ส่องประกายสุกใสนั้นก็ยิ่งเจิดจ้าควบคู่ไปกับรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้า

" ฉันอายุเกือบร้อยแล้ว " คือคำกล่าวที่เจ้านางเชียงตุงมักย้ำเสมอคล้ายจะประกาศถึงหนทางอันยาวนานที่ได้ล่วงผ่านตั้งแต่ครั้งที่นครแห่งนี้ยังทรงศักดิ์และสิทธิ์ เป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งแห่งรัฐฉาน จวบจนกระทั่งมรสุมทางการเมืองที่โหมกระหน่ำเป็นเหตุให้ราชวงศ์เชียงตุงต้องแตกกระสานซ่านเซ็น ทุกวันนี้

......สภาพเมืองเชียงตุงสมัยที่ท่านยังเล็กอยู่เป็นอย่างไรค๊ะ..

สมัยนั้นเชียงตุงมีเมืองบริวารเป็นเมืองเล็กๆประมาณยี่สิบกว่าเมือง เมืองใหญ่ๆอีกสิบเก้าเมือง ชายแดนด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำสาละวิน ด้านหนึ่งติดกับแม่สาย ด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำโขง

สมัยที่เจ้าพ่อ (เจ้าแก้วอินแถลง)ยังอยู่ ชีวิตก็สนุกสบายดี ฉันไม่ได้ไปเรียนที่เมืองนอกหรอก เพราะว่าเป็นผู้หญิง เขาเลยไม่ส่งไป ส่วนผู้ชายส่งไปที่อังกฤษ หรือไม่ก็ไปเรียนที่ต่องกี ซึ่งเป็นเมืองที่เจ้าผู้ครองนครไปประชุมกันทุกปี และเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยภูเขาสูง เลยทำให้อากาศหนาวมาก เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของรัฐบาลอังกฤษในสมัยนั้น เจ้าฟ้าของแต่ละเมืองจะทรงสร้างบ้านไว้องค์ละหลัง เพื่อเป็นที่พักเวลาประชุมที่นั่น จำได้ว่าเวลามีประชุมที่นั่น เจ้าพ่อต้องออกงานเลี้ยงแทบทุกคืน เดี๋ยวคนนั้นเลี้ยงเดี๋ยวคนนี้เลี้ยง

.......แตกต่างจากเชียงใหม่ไหมค๊ะ...

อากาศที่เชียงตุงไม่ต่างจากเชียงใหม่เท่าไหร่ เนื่องจากมีภูเขามากเหมือนกัน แต่ภ้าเป็นหน้าร้อน บางวันอากาศร้อนเหมือนกรุงเทพก็มี พอย่างเข้าหน้าหนาวอากาศหนาวจนตัวสั่นเลย ตอนนั้นไฟฟ้าก็ยังไม่มี ต้องคีบถ่านแดงๆใส่เตาดินคล้ายๆเตาอั้งโล่มาตั้งไว้กลางห้อง แล้วพวกเราพี่น้องก็นั่งวงล้อมคุยกันบางทีก็ทานขนมเส้นไปด้วย ขหนมเส้นมีอยุ่สองชนิดคือ คือขนมเส้นน้ำจ๋าง และ ขนมเส้นน้ำเจ็ม น้ำเจ็มใส่หมูสับต้มกับมะเขือเทศ ส่วนน้ำจ๋างใส่เครื่องในหมูทอดกรอบ ถ้าไม่ใช่ขนมเส้นก็อาจจะทานข้าวเหนียวกับผักอีกสองสามอย่าง เพื่อเป็นการแก้เบื่อเวลาที่ต้องนั่งนานๆ

.........แล้วเรื่องภาษาหล่ะค๊ะ.....

ที่เชียงตุงใช้ภาษาเขินเป็นภาษาพูดและภาษาพม่าเป็นภาษาเขียน ซึ่งลักษณะของภาษาเขินไม่แตกต่างจากภาษาไทยเหนือสักเท่าไหร่ ทั้งคำพูดและตัวอักษร อย่างภาษาไทย ท่อง ก-ฮ ว่า กอ ไก่ ขอ ไข่ แต่เขินจะท่างว่า กะ ขะ ภาษาเขินพูดคำว่ากินข้าวเหมือนกับภาษาเหนือ สุมาแอ่ว แปลว่า มาเที่ยว สู แปลว่า เธอ เฮา แปลว่าฉัน แต่ถ้าเป็นไทยลื้อจะเรียกตัวเองว่าข้อย

.........ท่านคงจะมีพี่น้องหลายคน.....

พี่น้องที่เป็นพ่อเดียวแม่เดียวกันมีทั้งหมด ห้าคน แม่ของฉันเป็นลูกข้าราชการในเชียงตุง ส่วนยายฉันเป็นลูกพระยาแขก ก็เพราะว่าท่านจะคอยทำหน้าที่เป็นผู้นำเจ้าฟ้าเมืองต่างๆ เข้าถวายคำนับเจ้าพ่อ

เจ้าพ่อท่านจ้างครูไทยสองคนมาอยู่ที่คุ้ม ชื่อแม่ครูแจ่ม กับแม่ครุบุญชุบ เป็นครูไทยที่มาจากเชียงใหม่นี่แหละ ให้คอยหัดละครไทยให้ใครก็ได้ที่อยากจะเรียน สมัยนั้นตั้งเป็นวงละครไทยเลยนะ เพราะคนไปหัดกันมากเต็มที ส่วนละครพม่านั้นมีอีกวงหนึ่ง สอนโดยคนพม่าอีกเหมือนกัน แต่ละครพม่านั้นมีในเชียงตุงมานานแล้ว เวลาในคุ้มมีงานอะไรสำคัญจะเล่นละครพม่า

ตอนที่ฉันอายุได้หกขวบเจ้าพ่อจ้างครูมาสอนพิเศษภาษาเชียงตุงให้พวกพี่ๆด้วยความเป็นเด็ก ฉันเลยเข้าไปนั่งเรียนร่วมกับเขาด้วย ทำให้รู้ภาษาเชียงตุงก่อนเข้าโรงเรียน ทั้งที่สมัยก่อนเด็กอายุหกขวบถือว่ายังเล็กมาก ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ สามขวบก็อ่านหนังสือได้แล้ว พออายุได้เก้าขวบก็เข้าโรงเรียนกินนอนที่โรงเรียนมาแมร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนแม่ชี

ที่สอนโดยมาแมร์จากอิตาลี่เด็กในเชียงตุงทุกคนต้องเรียนสองภาษาคือ ภาษาพม่า และภาษาอังกฤษ นอกไปจากภาษาท้องถิ่น

สมัยนั้นมีโรงเรียนอยู่สองโรงเรียน โรงเรียนหนึ่งคือ โรงเรียนแม่ชี ซึ่งรับเด็กผู้หญิงชาวเขามาเรียนหนังสือ และสอนปักเสื้อผ้าไปด้วย ส่วนพวกชาวเมืองมาเรียนแบบเช้าไปเย็นกลับโดยแยกห้องเรียนกับพวกเรา ฉันเลยไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาชาวเขา ส่วนอีกโรงเรียนหนึ่งคือโรงเรียนบาทหลวง โรงเรียนนี้รับเด็กผู้ชายชาวเขามาเรียนด้วยเหมือนกัน ถ้าหากตอนกลางคืนมีขโมย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นที่โรงเรียนแม่ชี มาแมร์จะเป็นคนตีฆ้อง เสียงดัง ง้อง ง้องแล้วพวกเด็กนักเรียนโรงเรียนบาทหลวง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กชาวเขาจะวิ่งมาช่วยที่นี่ฉันต้องไปกินนอนอยู่ที่นั่นตั้งหลายปี จนกระทั่งเรียนจบชั้นหก ถึงได้ออกมาช่วยเจ้าพ่อทำงาน

...........สมัยนั้นมีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่สนิทๆไหมค๊ะ......

เพื่อนรุ่นเดียวกันกับฉันสมัยนั้นเป็นลูกสาวเจ้าเมืองย๊อง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเชียงตุงญาติทางเจ้าพ่อชื่อว่า เจ้าเทพธิดา เดี๋ยวนี้เสียชีวิตแล้ว เรากินนอนอยู่โรงเรียนเดียวกัน สมัยนั้นลูกของเจ้าพ่อที่ไปอยู่โรงเรียนเดียวกันมีสามคน คนใช้อีกสองคน และเจ้าเทพธิดาอีกหนึ่งคน นอนห้องเดียวกัน

สมัยก่อน การคัดเลือกเด็กที่จะเอามาเป็นคนใช้เจ้านายนั้น เขาจะไม่เลือกจากเด็กที่เป็นลูกขุนนาง แต่เลือกจากลูกของคนชั้นธรรมดา พวก " นาง " หรือ " ชาย " ในเชียงตุงมีคำเรียกคนตามชนชั้นต่างๆกันอย่างคำว่า " อุ๊นาง " หมายถึงลูกสาวพระยา "อุ๊ไจ๊" หมายถึงลูกชายพระยา มาตอนหลังถึงไม่เรียก " อุ๊ " กันแล้วเพราะไม่เหลือคนที่มียศตำแหน่งถึงขั้น " อุ๊ " เหลือแต่ นาง กับ ชาย เฉยๆ ขั้นต่ำลงมา จะเป็นไอ้ กับ อี

ส่วนพระนั้น มีหลายชั้น มีคำเรียกต่างกัน ตั้งแต่ ตุ๊ สิทธิ ครูบา จนถึง อายธรรม (อา-ยะ-ทำ) อายธรรมคือตำแหน่งใหญ่ที่สุดเทียบได้กับสังฆราชของไทย แต่คำว่าพระในภาษาไทยหมายถึงเณรของเชียงตุง

.........ที่ว่าเรียนจบมาช่วยเจ้าพ่อทำงานนั้น ทำอะไรบ้างค๊ะ.......

ฉันเรียนจบอายุได้สิบกว่าปี เจ้าพ่อให้เป็นเลขาฯของท่าน คอยรับใช้ท่านสลับกับพี่สาวอีกสองคน เจ้าบัวสวรรค์ และเจ้าทิพเกสร ผลัดกันทำงานคนละวัน สมัยนั้นเจ้าพ่อมีไร่กาแฟด้วย ฉันต้องทำหน้าที่เป็นคนคอยทำบัญชีว่าไร่แห่งนี้มีต้นกาแฟกี่ต้น ให้ผลมาเท่าไหร่

สมัยชีวิตสาวๆของฉันสนุกมากกลางวันก็เล่นเทนนิส เนื่องจากเจ้าพ่อทรงดำริให้ สร้างสนามขึ้นในคุ้ม บางครั้งก็มีภรรยาหมอฝรั่งและภรรยาข้าหลวงมาร่วมเล่นด้วย ส่วนคนอื่นๆในเวียงที่สามารถมาเล่นเทนนิสได้จะต้องเป็นพวกลูกสาวขุนนาง เพราะเจ้าพ่อไม่อนุญาติให้ผู้ชายเข้ามาภายในคุ้ม แต่ฉันเล่นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่น้องสาวฉัน เจ้าบุญฟองซิเล่นเก่ง

..........นอกจากเล่นเทนนิสแล้วมีกิจกรรมอย่างอื่นอีกไหมค๊ะ....

ฉันกับน้องๆชอบขับรถยนต์ไปเที่ยวตามในเวียง สมัยนั้นไม่มีใครในเชียงตุงมีรถยนต์ นอกจากเจ้าพ่อ ซึ่งมีอยู่ สองสามคัน รวมทั้งพี่ชายใหญ่และเจ้าพรมลือ เวลาเราไปไหนด้วยรถยนต์จึงสะดวกสบาย แต่เนื่องจากพื้นทีในเวียงเป็นที่ดอน ไม่เสมอกัน มีเนินสูงต่ำอยู่มากมาย เวลาขับรถยนต์จะต้องขับขึ้นลงเนิน บางทีขับไปแล้วเครื่องดับตอนนั้นยังใช้ระบบเก่าอยู่ เป็นแท่งเหล็กหมุนเพื่อสตาร์ทเครื่องอยู่ มีบางครั้งที่เราหมุนไม่ไหวก็จะให้น้องสองคนที่ไปด้วยกันช่วยเข็นรถไปบนยอดเนิน แล้วผลักรถลงมาเพื่อให้สตาร์ได้ง่ายขึ้น แต่บางครั้งแทนนิสก็อยากเล่านขับรถก็อยากขับ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง

........คุ้มใหญ่โตขนาดไหนค๊ะ.....

เนื้อที่ของคุ้มกว้างประมาณสิบกว่าไร่ภายในนั้นนอกจากตำหนักของเจ้าพ่อและตำหนักของเจ้าย่าแล้ว เจ้าพ่อยังสร้างบ้านไว้หลังหนึ่ง สำหรับเจ้านางของเจ้าพ่อคลอดลูกเนื่องจากเมื่อก่อนลูกๆทุกคนของเจ้าพ่อคลอดบนตึงใหญ่หรือตำหนักของเจ้าพ่อ แต่ท่านมีลูกหลายคน ภายหลังจึงสร้างอีกหลังหนึ่งสำหรับเป็นที่คลอดโดยเฉพาะ

ตำหนักของเจ้าพ่อเป็นตึกสามชั้นแบบแขก ชั้นบนสุดเป็นที่ไว้หิ้งพระ นอกนั้นเป็นที่ว่างเพราะไม่มีใครขึ้นไปอยู่พวกเราเด็กๆเลยชอบขึ้นไปเล่นกันข้างบนนั้น มีอยู่วันหนึ่ง พี่ชายใหญ่ (เจ้าฟ้ากองไตย) กลับจากศาลากลางมาเห็นเข้า เลยโดนพี่ดุเสียยกใหญ่เลย

บนตำหนักมีห้องถึงเก้าห้อง แต่ละห้องใหญ่โตมากแบ่งออกเป็นสามปีกด้วยกัน ปีกซ้ายเป็นห้องของเจ้าพ่อ ส่วนห้องโถงใหญ่ตรงปีกกลางนั้น เอาไว้สำหรับออกขุนนางเวลามีงานใหญ่งานโต ถัดไปทางด้านหลังอีกห้องหนึ่งเป็นห้องคลัง สำหรับเก็บเงินท้องพระคลัง ฉันยังจำได้ว่า เวลาที่พวกพนักงานเทเงินออกมานับ บางทีเราโชคดีเราเล่นกันอยู่ข้างล่าง จะมีเงินไหลลอดออกมาจากพื้นข้างบนได้มาครั้งละแถบๆ แต่เดี๋ยวนี้เค้าเรียกว่าเงินจ๊าด ตามพม่าแล้ว

นอกจากนี้ยังมีห้องถัดไปทางหลังตึกอีกหนึ่งห้อง เป็นห้องของมหาเทวี ปีกขวาเป็นห้องของเจ้าจอมอีกสามห้อง และห้องมหาดเล็กอีกหนึ่งห้อง ส่วนชั้นล่าง ที่ส่วนหนึ่งแบ่งไว้สำหรับต้อนรับเวลามีงานปีใหม่ หรือจะจัดงานเลี้ยงพวกเจ้าเมืองที่ขึ้นกับเมืองเชียงตุงเมื่อเข้ามาคารวะเจ้าพ่อในพิธีคารวะ

ต่อ


.....พิธีคารวะคืออะไรค๊ะ......

พิธีนี้จัดขึ้นปีละสองครั้ง ปีใหม่และออกพรรษาเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความจงรักภักดีของเจ้าเมืองต่างๆในอาณัติของเชียงตุง พิธีนี้มีอยู่สองวันด้วยกัน วันแรกเรียกว่าวันกิ่นป๋าง เป็นวันที่เจ้าเมืองทุกคนจะรัปทานอาหารร่วมกับเจ้าพ่อ โดยมีอาหารหลักเป็นพิเศษอยู่ห้าอย่างคือ แกงฮังเล น้ำซุปถั่วลันเตา ผักกุ่มดอง แคบหมูกับน้ำพริกอ่อง และข้าวเหนียว

เสร็จจากนั้นวันที่สองถือเป็นวันคารวะ ในวันนี้เจ้าพ่องจะประทับบนแท่นแก้วส่วนพวกเจ้าเมืองจากสามสิบกว่าเมืองจะทยอยกันเข้าไปในห้องพร้อมกับดอกไม้ธูปเทียนมาวางไว้ตรงหน้าแท่นที่เจ้าพ่อประทับคนละขัน เชื่อไหมว่าเขาปักเทียนเล่มใหญ่อย่างกับท่อนไม้(ทำมือประกอบ) มาในขันที่ทำจากเงินแท้ ตีเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมบางๆ เจาะรูตรงกลางประดับด้วยดอกบานไม่รู้โรยทั้งข้างบนข้างล่าง เสียบมาโดยรอบเทียนจำนวนห้าดอก หลังจากนั้นเจ้าเมืองจะ " สูมา " หรือไหว้เจ้าพ่อ เจ้าพ่อให้พรตอบแล้วพวกช่างฟ้อนก็มาฟ้อนหางนกยูงให้พวกแขกบ้านแขกเมืองดู เป็นอันเสร็จพิธี

........เจ้าพ่อของท่านดุไหมค๊ะ.....

ไม่ดุเพราะท่านเป็นอุบาสกที่เคร่งครัดมาก ยึดศีลห้าเป็นหลักประจำใจ สมัยนั้นถือเป็นกฏเลยว่า ถ้าใครไม่คือศีลห้า ไม่รับเข้าทำงานราชการ ลูกผู้ชายทุกคนต้องบวชเรียนเมื่อถึงเกณฑ์ จะบวชเณรหรือบวชพระก็ได้ เวลาเด็กคนไหนอายุครบยี่สิบเมื่อไหร่จะต้องจัดงานบวชเณรให้และถ้าเป็นคนธรรมดาสามัญ จะให้เณรนั่งแห่ไปบนม้าส่วนช้างนั้น เจ้าพ่อเท่านั้นจึงจะมีได้ ท่านมีช้างหลายเชือก เวลาปล่อยช้างออกมาเรียกว่าเต็มลานคุ้มเลย เจ้าพ่อท่านเชี่ยวชาญมากสามารถปีนข้ามจากช้างเชือกหนึงไปอีกเชือกหนึ่งได้โดยไม่ต้องลงมาที่พื้อนและท่านจะมี " อาเปี่ยวต่อ" หรือสาวใช้สามสี่คนคอยนั้งเฝ้ารับใช้ผู้ชายอีกสี่คนไว้สำหรับให้เจ้าพ่อเรียกใช้

เรื่องคดีความอะไรในเชียงตุงเจ้าพ่อเป็นผู้ตัดสินเพียงผู้เดียว ฝรั่งไม่เกี่ยว เพียงแต่มาเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น สมัยนั้น ข้าหลวง รองข้าหลวง หมอ และนานทหารอังกฤษจะมาพักกันที่ดอยเหมย พวกอังกฤษชอบที่นี่มาก เป็นสถานที่น่าอยู่ เนื่องจากเป็นดอยสูงที่สุดและสวยที่สุดในเชียงตุง

.......ท่านปกครองอย่างไรค๊ะ......

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ฝรั่งกำลังล่าเมืองขึ้น แคว้นสิบสองปันนาซึ่งเป็นพวกไทยลื้อได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน และถูกครอบครองโดยคนสามชาติด้วยกัน เมืองย็อง เมืองแฮ่ เมืองขัน เมืองลื้อ เมืองหลุย ขึ้นกับอังกฤษ แต่ยกให้เชียงตุงปกครอง เมืองเชียงรุ่ง เมืองน้า เมืองลา เมืองหัน นั้นขึ้นกับจีน ส่วนเมืองที่เหลือตกเป็นของฝรั่งเศส

ต่อมาเมืองทั้งห้าเมืองที่เชียงตุงปกครองโดยเชียงตุงเกิดไม่พอใจขึ้นมาต้องการที่จะขึ้นกับอังกฤษโดยตรง ไม่อยากถูกปกครองโดยเชียงตุงอีกต่อไปคิดตั้งตัวเป็นกบฏ เจ้าฟ้ากองไตย พี่ชายของฉัน ซึ่งเป็นอุปราชเมืองเชียงตุงในสมัยนั้น จึงขอประทานอนุญาติจากเจ้าพ่อไปสืบราชการที่เมืองย็อง จากนั้นท่านก็จัดการแต่งตัวเป็นฝรั่ง เดินทางไปกับคณะข้าหลวงของอังกฤษโดยไม่มีใครในเมืองทราบเลยว่าท่านคืออุปราช

ระหว่างที่พวกเจ้านายและข้าราชการเมืองย็องเข้าหารือกับข้าหลวงอังกฤษเรื่องขอขึ้นตรงกับอังกฤษ วันนั้นเองที่พี่ชายฉันสั่งจับกบฏเมืองย็องได้ทั้งกลุ่ม ภายหลังกบฏกลุ่มนี้ได้ถูกส่งไปติดคุกที่เมืองตองกี จำได้ว่าสมัยก่อนที่เจ้าพ่อปกครองโทษประหารของเชียงตุงคือ การตัดหัวและแขวนคอ แต่เนื่องจากเจ้าพ่อถือศีลเลยลดโทษประหารซึ่งเป็นโทษหนักที่สุดเหลือเพียงติดคุกนานเพียงสิบปี สำหรับคดีฆ่าคนตาย

.................ท่านมีโอกาสไปเที่ยวไหนไกลๆไหมค๊ะ.....

ฉันไม่เคยไปเที่ยวไหนไกลๆหรอก แค่เมืองพม่าเท่านั้นเอง สมัยนั้นที่สนุกหน่อยคือการได้มีโอกาสได้ติดตามเจ้าพ่อไปประชุมที่ ต่องกี เพราะเขามักจะมีงานเลี้ยงที่นั้นทุกคืน นอกจากนั้นก็ไปเที่ยวเมืองย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์กับเจ้าแม่ ที่มัณฑะเลย์นั้นฉันกับเจ้าแม่ได้ไปนมัสการพระเจ้าละแข่งเป็นภาษาพม่า แปลว่าพระโพธิสัตว์ ยังจำได้ว่าทั่วทั้งองค์เหลืองอร่ามงดงามไปด้วยทองเปลวจกาศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชน เขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก ถ้าเป็นคนบาปจะมองไม่เห็นองค์ท่านส่วนเจดีย์ชะเวดากองที่อย่างกุ้งนั้นไม่มีตำนานอะไร แต่พอไปถึงที่นั่นจะมีคนตั้งแผงขายทองเปลวเป็นทองคำแท้หนักห้าบาท อยู่ทั้วบริเวณองค์เจดีย์ แต่พอซื้อแล้วคนขายจะเป็นคนนำขึ้นไปปิดองค์เจดีย์ให้เราฉันกำลังจะได้ไปเที่ยวเมืองมะละแหม่งอยู่แล้วพอดีพี่สาวโทรเลขมาเรียกตัวกลับไปเลยยังไม่มีโอกาสได้เห็นสักที

.........ที่เชียงตุงมีงานเทศกาลบ้างไหมค๊ะ.....

แต่ละปีจะมีงานอยู่สองครั้ง งานหนึ่งคืองานที่โป่งน้ำร้อน ซึ่งอยู่ไกล้กับเมืองไทยห่างจากเวียงมาก ประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ที่นั่นจะมีบ่อน้ำร้อนอยุ่สามบ่อ แต่ละบ่อกว้างเท่าห้องห้องหนึ่ง ขนาดใหญ่กว่าบ่อน้ำร้อนที่เชียงใหม่ เวลาที่น้ำเดือดแต่ละครั้งฟองอากาศจะกระเด็นสูงขึ้นไปเป็นเมตรแล้วไปตกลงในร่องที่เขาทำรองไว้ นอกจากนั้นเขายังทำร่องไว้อีกร่องหนึ่งเป็นร่องน้ำเย็นที่รองมาจากบ่น้ำอีกแห่งหนึ่งต่อลงมายังที่อาบน้ำที่ทำเอาไว้ซึ่งหางจากบ่อน้ำร้อนประมาณกิโลเมตรหนึ่งได้แล้วน้ำร้อนกับน้ำเย็นก็จะมาผสมกันพอดี เจ้าพ่อโปรดให้สร้างห้องอาบน้ำสำหรับข้าราชบริพาร สามห้อง สำหรับเจ้าพ่อหนึ่งห้อง สำหรับพวกเราผู้หญิงหนึ่งห้อง สำหรับราษฎรอีกหนึ่งห้อง

ห้องอาบน้ำไม่ได้ทำแบบหรูหราอะไรเพียงแต่ใช้ฟากไม้ไผ่มาทำเป็นฝกั้นพลับพลาภายในนั้นทำเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ลึกแค่เอว ใครมีชุดอาบน้ำก็ใส่รวมกันเป็นงานหน้าหนาวที่ใหญ่โต และมีการละเล่นสนุกๆหลายอย่าง พอตกกลางคืนมีหนังมีละครตอนกลางวันมีซอ บางปียาวนานถึงเจ็ดวันบางปีก็ห้าวันแต่ถ้าปรกติไม่มีงานฉันกับน้องๆจะขับรถยนต์ไปที่นั่นด้วยตัวเองบ่อยๆ พอถึงเดือนห้าจะมีงานบอกไฟ เหมือนบ้องไฟอย่างเชียงใหม่ในงานนี้แต่ละหมู่บ้านจะแข่งกันทำบอกไฟแล้วนำมาจุดแข่งกันในวันนั้น บอกไฟของบ้านไหนที่ขึ้นได้สูงสุดจะได้รับเงินรางวัลจากเจ้าพ่อ เป็นเงินแผ่นรูปกังสดาล เจาะรูตรงกลาง ร้อยด้าย ทำเป็นพวงคล้องคอผู้ชนะ

..............ทราบว่างานสงกรานต์ที่นั่นคล้ายกับที่เชียงใหม่.......

จะว่าคล้ายก็ได้ งานปีใหม่สงกรานต์ที่นั่นถือเป็นงานรื่นเริงประจำปีอีกงานหนึ่งของเชียงตุง วันที่ 13 เมษายน เรียกว่าวันสังขารล่อง วันนี้พวกชาวบ้านจะเลือปผู้ชายมาแต่งตัวด้วยผ้าสีแดง เอามะละกอสองลูกผูกเชือกห้อยคอ ทำอะไรก็ได้ให้น่าเกลียด(หัวเราะ) แล้วสมมุติให้เป็นตัวสงกรานต์จากนั้นจะนำตัวสงกรานต์แห่ไปตามถนน เพื่อไปทิ้งในแม่น้ำเขินที่อยู่นอกเมืองเรียกว่าการไล่สงกรานต์ ถือเป็นการขับไล่โชคร้ายออกไปหรือสิ่งไม่ดีออกไป

วันรุ่งขึ้นเรียกว่าวันเนาชาวบ้านทุกคนจะร่วมกันขนทรายจากแม่น้ำเขินและแม่น้ำลาภ ซึ่งอยู่ไกลเวียงออกไปมาที่วัดเพื่อเตรียมไวสำหรับก่อเป็นเจดีย์ทรายในวันรุ่งขึ้นในระหว่างนี้ในคุ้มจะจัดพิธีคารวะขึ้น วันสุดท้ายเรียกว่า วันปีใหม่หรือวันพญาวัน ทุกคนจะแต่งตัวสวยงามแล้วจึงพากันไปทำบุญและก่อเจดีย์ทรายที่วัด

วัดประจำของเจ้านายมีอยู่สามวัดคือ วัดหัวข่วง วัดพระแก้ว วัดเชียงอินทร์ เป็นธรรมเนียมเลยว่าทางคุ้มจะต้องส่งข้าวไปที่วัดเหล่านี้ทุกวัน

.............ท่านพบกับเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ (สามี)ได้อย่างไรค๊ะ......

พบกันตอนอายุยี่สิบสองปีเท่ากัน แต่ฉันแก่กว่าเจ้านนท์สิบกว่าวัน เจ้าแว่นแก้ว พี่สาวของฉัน มีคนมาสู่ขอเมื่ออายุสิบหก เลยถูกเจ้าพ่อบังคับให้แต่งงานนั่งร้องไห้ร้องห่มไม่มีโอกาสได้รู้จักกับชายคนอื่นเลยต้องโดนจับคลุมถุงชนตั้งแต่เด็ก ฉันเองไม่เคยรู้จักเจ้านนท์มาก่อน แต่ตอนนั้นจะมีนักสืบหรือแม่สื่อเป็นคนสืบให้ว่าคนที่มาสู่ขอนั้นมีประวัติ นิสัยใจคอเป็นอย่างไร หลังจากหมั้นได้แปดเดือนก็แต่งงาน

............วันพิธีแต่งงานเป็นอย่างไรบ้างค๊ะ........

มีเรียกขวัญ ผูกข้อมือ เจ้าพ่อท่านส่งจดหมายไปเชิญเจ้าเมืองต่างๆมาร่วมงานด้วยแต่การเดินทางสมัยนั้นยังลำบากอยู่ และไม่ใช่งานแต่งของเจ้าฟ้าคนสำคัญอะไรเขาเลยส่งของขวัญมาแทนงานหมั้น ไม่มีพิธีหรอกมีแต่เลี้ยงข้าวและสวมแหวนเท่านั้นเอง ส่วนพิธีแต่งงานมีสองวัน วันแรกเป็นวันผูกข้อมือ จะมีคนออกมาอ่านหนังสือกล่าวขวัญอวยพรให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเสร็จแล้วแขกผู้ใหญ่จะเอาด้ายผูกข้อมือใครที่เตรียมของขวัญมาก็ให้คู่บ่าวสาวในตอนนั้นวันต่อมาเป็นวันดำหัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องยืนบนแท่นสูงเพื่อให้แขกพรมน้ำอวยพร

ฉันจำได้แม่นว่า วันนั้นเจ้านนท์ใส่เสื้อครุยยาว ที่เรียกกันว่าเสื้อคำ ซึ่งเป็นเสื้อเฉพาะของเจ้าฟ้าเชียงตุงที่ได้รับพระราชทานจากกษัตริย์อังวะ และสวมชฎา ทีแรกท่านสวมชฎา แต่บอกว่าเจ็บ ตอนหลังทนไม่ไหวเลยต้องถอดออกแล้วใช้ผ้าเคียนหัวแบบธรรมดาแทน หลังจากที่คู่สมรสกล่าวเสร็จจึงจะดำหัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว เป็นการพรมน้ำไม่ใช่ดำหัวจริงๆ จากนั้นจะมีการแห่คู่บ่าวสาวหนึ่งรอบก่อนเสร็จพิธี ถ้าเป็นสมัยก่อนนั้นไปอีกคู่บ่าวสาวต้องนั่งแห่ไปบนหลังช้าง แต่พอมาถึงสมัยฉัน เจ้าสาวกลับนั่งแห่ไปบนรถยนต์ประดับประดาด้วยดอกไม้ฉันต้องนั่งรถจากตำหนักเจ้าพรมลือเพื่อไปรับเจ้าบ่าวที่ศาลากลาง แล้วเจ้าบ่าวจะขี่ช้างตามเจ้าสาวไปที่บ้านฉัน ถ้าเป็นงานแต่งระดับเจ้าผู้ครองนคร ต้องกมีการเลี้ยงอาหารฝรั่ง เนื่องจากในเชียงตุงมีฝรั่งมาพักอยู่มากเหมือนกัน

หลังจากแต่งงานได้สิบกว่าวันก็เดินทางมาเชียงใหม่เลย โดยมีเจ้าฟ้าพรมลือ กับ เจ้านางบุยยงค์ ซึ่งเป็นเจ้าแม่อีกองค์หนึ่งมาส่ง ท่านมาพักอยู่ด้วยสักห้าวันก็กลับไป

........ระยะแรกๆที่ท่านมาอยู่เชียงใหม่ต้องปรับตัวมากไหมค๊ะ......

ไม่ลำบากเลย เพราะภาษาพูดเราคล้ายกัน พอแต่งงานแล้วฉันก็มาอยู่ที่คุ้มใหญ่ของเจ้าหลวง (เจ้าแก้วนวรัตน์) แถวตลาดเจ๊กโอ่ง ท่านทำบ้านไว้หลังหนึ่งให้ลูกสาวคนโตอยู่ ส่วนอีกหลังหนึ่งให้พวกลูกสะใภ้อยู่ อยู่ที่นั้นได้สักพักนึง จนลูกคนที่สามอายุได้สองเดือนกว่า เจ้าหลวงก็สินพระชมน์หลังจากนั้นพี่สาวคนโตของเจ้าหลวงต้องการคุ้มใหญ่คืน ฉันกับเจ้านนท์และลูกๆก็เลยย้ายมาอยู่ที่เจดีย์เวียง อยู่ได้ปีหนึ่งก็มาซื้อบ้านหลังนี้คุ้มนั้นต่อมาก็ได้ถูกขายไป เมื่อก่อนที่ดินยังราคาถูกมากจำได้ว่าซื้อบ้านหลังนี้พร้อมที่ดินอีกห้าไร่ในราคา สองพันบาท

.........ชีวิตแต่งงานของท่านเป็นอย่างไรค๊ะ.....

ตอนที่เห็นหน้าเจ้านนท์ครั้งแรกก็รู้สึกเฉยๆ(หัวเราะ) แต่พอแต่งงานไปแล้วก็ถึงได้รู้ว่าท่านเป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ ผู้หญิงเรามีเรื่องสบายใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ ถ้าสามีเราไม่เจ้าชู้ก็ดี ฉันว่ามันเป็นกรรมเวร เพราะไม่มีใครได้เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนแต่ต้องมาอยู่ร่วมกัน เจ้านนท์ท่านเคยทำป่าไม้กระยาเลยที่สันป่าตอง มีช้างอยู่สามตัว แต่ทำได้ไม่กี่ปีก็เลิกไป ไม่ได้ทำต่อ แล้วจากนั้นท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ท่านเพิ่งเสียไปได้สองปีที่แล้ว อยุได้แปดสิบเอ็ดปี เรามีลูกด้วยกันห้าคน เป็นชายสามหญิงสองชื่อ รัตนินดนัย วิไลวรรณ สัมภสมพล ไพฑูรย์ศรี วีรยุทธ ที่ชื่อคล้องจองกันก็เพราะเจ้านนท์ไปขอให้เจ้าคุณวัดเทพศิรินทร์ตั้งชื่อให้ลูกทุกคน

..............หลังจากแต่งงานไปแล้วเป็นแม่บ้านอย่างเดียวเหรอค๊ะ......

หลังจากแต่งงานแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรพอดีได้ไปเที่ยวเมืองมัณฑเลย์กับเจ้าแม่ เห็นเขาทำยาเส้นใส่กระเช้าเล็กๆเที่ยวเดินขายริมทาง เป็นยาอมสูตรพม่า ทำจากชะเอมคลุกกับมะขามเปียกกับยาอีกสามสี่อย่างเลยซื้อมาชิมดู เห็นว่าเข้าท่าดี ตอนหลังลองเอามาทำดู พอทำแล้วเห็นว่าไช้ได้เลยทำขายอยู่พักหนึ่ง

วิธีทำก็ไม่ยากอะไรแต่เป็นเพราะขายดีมา เลยต้องจ้างลูกจ้างมาช่วยจะมีแขกคนหนึ่งมาบดชะเอมเป็นผงเตรียมไว้ก่อนถ้าเป็นมะขาม ต้องใช้มะขามเปียกต้มน้ำแล้วเคี่ยวให้เหลือแต่เนื้อ เสร้จแล้วนำมาคลุกกับยาและชะเอม ปั้นเป็นเม็ดตากแห้งสมัยนั้นฉันทำขายถึงสามรสนอกจากรสมะขามแล้วยังมีรสมะนาวและมะกรูด บางทีมะนาวมีไม่พอ ก็ต้องบดสัมโอใส่เพิ่มลงไป ใส่กระปุกเล็กๆราคาขวดละสิบบาท ไปฝากขายที่ร้านตันตราภันฑ์ ร้านเกษตรสโตร์ ที่ลำพูนก็มีคนรู้จักกันเอาไปขาย ที่กรุงเทพฯก็มีขาย รายได้ดีทีเดียว บางเดือนเคยได้ถึงห้าพันบาท ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่ามาก แต่ตอนหลังลุกจ้างขโมยยาไปขาย ประจวบกับทางเทศบาลสั่งปรับตันตราภัณฑ์ โทษฐานขายยาไม่มีใบอนุญาติ เขาเลยบอกเลิกไม่รับ ฉันเลยไม่ทำตั้งแต่นั้นมา

.............ได้ทำอาหารพื้นเมืองของเชียงตุงให้ลูกๆทานหรือป่าวค๊ะ.....

ฉันทำกับข้าวไม่ค่อยเก่งเลยไม่เคยทำอาหารเชียงตุงให้เขาลองทาน แต่ที่นั่นอาหารหลักๆประเภทแกงฮังเล แกงแคอย่างเมืองเชียงใหม่ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีงานใหญ่โตต้องมีน้ำซุปถั่วลันเตา

วันธรรมดานอกจากจะทานอาหารสามมื้อแล้วช่วงบ่ายยังมีมื้อเล็กๆ เป็นพวกน้ำชา กาแฟ และขนมแบบฝรั่ง ส่วนมื้อเย็นจะเสร์ฟอาหารพื้นเมืองและอาหารฝรั่งพร้อมกัน เนื่องจากเรามีคนครัวฝรั่งที่เจ้าพ่อจ้างมาประจำอยู่ที่คุ้ม ส่วนคนครัวพื้นเมืองที่ประจำอยุ่ที่คุ้มมีอยู่ห้าคนจะคอยทำอาหารเลี้ยงคนทั้งคุ้ม จำได้ว่าพอถึงเวลาอาหาร คนรับใช้ของแต่ละคนจะมารับอาหารจากในครัวไปเสริฟให้เจ้านาย

............ช่วงที่รัฐบาลไทยส่งคนไปปกครองเชียงตุงท่านก็ไม่ได้อยู่เชียงตุงแล้วใช่มั้ยค๊ะ.....

ค่ะ ตอนนั้นฉันมีลูกคนที่สามแล้ว พอดีเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยถูกญี่ปุ่นบังคับให้เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายอักษะ พอดีช่วงนั้นญุ่ปุ่นได้เข้าครอบครองพม่า ไทยจึงต้องส่งคนไปปกครองเชียงตุงแทนญี่ปุ่น พอสงครามสงบลง ญี่ปุ่นถอยจากพม่าแล้ว ไทยจึงต้องถอยออกจากเชียงตุงด้วยแล้วหลังจากนั้นอีกไม่นานอังกฤษก็ประกาศปลดปล่อยพม่าเป็นเอกราช แต่ก่อนที่จะปลดปล่อยอังกฤษได้ถามความสมัครใจของชาวเชียงตุงว่าต้องการขึ้นอยู่กับไทยหรือขึ้นอยู่กับพม่า เนื่องจากหมู่ข้าราชการเชียงตุงเห็นว่าระหว่างที่ไทยไปปกครองเชียงตุงนั้น ทหารไทยไปรุงรังกับคนเชียงตุง ถ้าบ้านไหนมีเงินก็ขึ้นปล้นเอาทองคำไป คนเชียงตุงเลยเกลียดชังคนไทยหันไปเลือกขึ้นกับพม่าแทน

..........ก่อนหน้านั้นทราบมาว่าเชียงตุงมีเรื่องมากมาย......

หลังจากที่เจ้าฟ้ากองไตย พี่ชายคนละแม่ของฉัน เป็นโอรสของเจ้าแม่นางฟอง ได้รับการแต่งตั้งจากอังกฤษให้เป็นผู้ครองนครเชียงตุงต่อจากเจ้าพ่อได้เพียงเจ็ดเดือน ก็ถูกลอบปลงพระชมน์ มหาเทวีชาวสีป้อต้องหนีไปสินพระชมน์ที่เมืองตองกี พอไทยเข้าครองเชียงตุงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้แต่งตั้งให้เจ้าฟ้าพรมลือ โอรสของมหาเทวี ของเจ้าพ่อเป็นผู้ครองนคร ต่อมาได้แต่งงานกับเจ้าทิพวรรณ หลานเจ้าหลวงลำปาง ที่ลำปาง แต่หลังจากที่เชียงตุงเกิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้าพรมลือกับครอบครัวจึงได้โยกย้ายมาอยู่เชียงใหม่

..........ช่วงสงครามนั้นลำบากไหมค๊ะ....

ไม่ลำบากอะไรหรอก เพราะที่บ้านไม่เป็นอะไรเลย แต่เจ้านนท์ท่านกล้ว พวกเราทั้งครอบครัวเลยต้องพากันไปหลบที่ทุ่งเสี้ยว แถวสันป่าตอง ช่วงนั้นสัมพันธมิตรจะทิ้งระเบิดบินข้ามหลังคาบ้านเราไปทิ้งระเบิดที่สถานีรถไฟ พอเสียงหวอดัง เราต้องไปหลบในหลุมหลบภัยเดียวกันถึงห้าหกคน มาหลังๆเครื่องกระป๋องเริ่มหมด แป้ง นม ที่ใช้เลี้ยงเด็กอ่อนก็ไม่มี ต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แทน

..........แล้วระหว่างนั้นทางเชียงตุงเป็นอย่างไรบ้างค๊ะ....

ช่วงเกิดสงครามฉันไม่ได้ข่าวจากทางเชียงตุงเลย มารู้ข่าวว่าเจ้าฉายเมือง กับ เจ้าขุนศึกน้องชายหนีพวกญี่ปุ่นไปอยู่กับพวกสัมพันธ์มิตรแล้ว ทั้งสองก็พูดออกอากาศทางวิทยุว่า เรามาอยู่ที่นี่สบายดีด้วยเหตุที่เขาหายไปโดยไม่มีใครรู้เรื่องแต่เขาต้องออกหนีโดยไม่ให้ญี่ปุ่นรู้ตัวเลยกลัวทุกคนเป็นห่วง ต้องประกาศทางวิทยุแทน พอเราได้ยินเสียงเขาทางวิทยุก็สบายใจ

............แต่หลังสงครามยิ่งแย่กว่า......

ตอนนั้นแต่งงานมาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว นายพลอูนุ นายกรัฐมนตรีพม่ายุคนั้น รวมทั้งเจ้าฟ้าเมืองต่างๆที่มีอิทธิพลสูงถูกพวกที่ทำการปฏวัติจับเข้าคุก เจ้าฟ้าย็องหุ่ย ซึ่งตอนแรกเป็นประธานาธิบดีของพม่าภายหลังมาสิ้นพระชมน์ในคุก คนที่ไปรับพระศพมาเห็นแต่รอยรองเท้าและรอยช้ำเต็มพระวรกาย เดี๋ยวนี้ที่นั่นเหลือเพียงน้องชายคนหนึ่งกับน้องสาวสองคน เจ้าฟ้าที่เป็นผู้ชายต้องย้ายไปเมืองต่องกีหมดเพราะเกรงว่าพวกข้าบ้าน คนเมืองที่ยังจงรักภักดีอยู่จะก่อกบฎ คุ้มที่ฉันเคยอยู่ เดี๋ยวนี้ก็โดนรื้อทิ้งไปแล้ว เขาเล่าว่ามีคนไปดูเวลาที่เขารื้อแล้วไปพูดคัดค้านว่า รื้อทิ้งทำมัย...เสียดาย เลยโดนจับเข้าคุกแบบขังลืมก็มี

..............ท่านได้กลับไปเยี่ยมเชียงตุงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ค๊ะ.....

เมื่อสาบสิบกว่าปีก่อนตอนที่แม่ตาย แม่ฉันตายเมื่ออายุได้เจ็ดสิบกว่าปี ส่วนเจ้าพ่อสิ้นพระชมน์เมื่อพระชนมายุได้ประมาณหกสิบพรรษา เนื่องจากสุขภาพไม่แข็งแรงมีโรคประจำตัว ทั้งโรคหืดและนิ่ว รวมทั้งได้ยาไม่ดีด้วย

เมื่อเจ้าฟ้าองค์ใดสิ้นพระชมน์เขาจะไม่เผาศพ แต่ก่อกู่เป็นฐานปูนทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เจาะช่องตรงกลาง สลักเสลาลวดลายสวยงาม จากนั้นจึงนำพระศพบรรจุไว้ในกู่ ปิดให้สนิท แล้วเอาปราสาทที่ทำด้วยกระดาษมาครอบไว้บนกู่ เมื่อเสร็จพิธีแล้วสัปเหล่อจะเป็นคนมาเผาปราสาทนั้น ที่กู่จะจารึกชื่อไว้ว่าทีเจ้าฟ้าองค์ใดบ้าง ถ้าหากว่า มหาเทวีหรือพระโอรสธิดาสิ้นพระชมน์จะแยกศพไว้ต่างหาก เพื่อบรรจุไว้ในกู่อีกแห่งหนึ่ง โดยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากุดสุสาน ในเชียงตุงจึงมีหลายแห่ง สุสานสำหรับเจ้านายแห่งหนึ่ง สำหรับคนธรรมดาแห่งหนึ่ง มีสุสานในเชียงตุงห้าแห่งเท่านั้นเอง

..........ลูกๆตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างค๊ะ.......

เขารักแม่กันหมดทุกคน ตอนที่พวกเขายังเล็ก ไม่ได้ส่งไปเรียนหนังสือที่เมืองนอกหรอก แต่ส่งไปเรียนที่กรุงเทพฯกันหมด ตอนนี้ลูกสาวคนหนึ่งทำงานที่กรุงเทพฯ ลูกชายคนหนึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพฯ สาขาแม่สาย ลูกชายคนเล็กเป็นผู้จัดการธนาคารที่สันกำแพง ลูกสาวอีกคนก็ทำงานที่เชียงใหม่ เขาก็พอมีพอกิน ส่วนลูกชายคนโตที่เสียไปเขาก็เป็นปู่คนแล้ว

...........ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป้นทวดแล้วซิค๊ะ..

ค่ะ (หัวเราะ) แล้วถ้าเหลนแต่งงานไปจะเป็นอะไรอีกหล่ะ

...........ทราบมาว่าท่านนั่งกรรมฐานด้วย......

ค่ะเริ่มนั่งกรรมฐานมาเมื่ออายุสี่สิบกว่าๆ ตอนนั้นใจอยากเข้าวัด เริ่มปล่อยทางโลกแล้ว เนื่องจากฉันสนใจธรรมมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ที่แม่เคยพาไปวัด เลยไปหาเอาเองว่าวัดไหนดี ในเชียงใหม่นี้มีวัดดีๆหลายแห่ง ฉันไปวัดพระศีรเป็นแห่งแรก แล้วเจ้าคุณวัดพระศรี ท่านนิมนต์พระอาจารย์ ทองวัดบางวาน มาเป็นผู้สอนกรรมฐานให้ ฉันเห็นว่าวิธีการกำหนดลมหายใจเข้าออกของท่านนั้นถูกกับนิสัยเรา เลยติดตามท่านนั่งกรรมฐานมาตลอดช่วงนั้นใครจะหาตัวฉันได้ต้องไปที่วัด ให้คนเอากับข้าวไปส่งให้ บางทีไปอยุ่วัดถึงสามเดือน ไปอยุ่วัดสนุกดี เดี๋ยวนี้ฉันก็นั่งกรรมฐานอยู่แต่นั้งอยู่ที่บ้านทุกเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วบางทีถึงกับเห็นตัวเราลอยอยู่บนเพดานและยังเห็นตัวเราอีกคนยังนั่งอยู่กับพื้นแต่พระอาจารย์บอกว่าไม่ให้ยึดติดในสิ่งที่เห็น ฉันเลยไม่สนใจว่าว่าเราจะนั่งถึงขั้นไหนแล้ว เพียงแต่นั่งกรรมฐานเพื่อให้จิตใจเราสงบเท่านั้น

...............บันทึกชีวิตความยาวเกือบสามชั่วโมงนี้อาจเป็นเพียงประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งในจำนวนหลายล้านหน้า และอาจะเป็นเพียงมุมมองหนึ่งจากสมาชิกราชนิกุลลำดับสุดท้ายของสองราชวงศ์ ทั้งเชียงตุง และ เชียงใหม่

........แต่ก็เป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของกาลเวลาที่ไม่น่าผ่านเลย..........

เจ้าวิไลวรรณ ลูกสารเจ้าอินทนนท์และเจ้านางสุคันธา ซึ่งปัจจุบันท่านก็ยังเป้นเจ้าอยู่



เจ้านางสุคันธา (ณ เชียงตุง) ณ เชียงใหม่
จากหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ฉบับวันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2546 ปีที่ 24 ฉบับที่ 5


เจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ สายใยรักสองราชสำนัก เชียงใหม่-เชียงตุง
โดย สมโชติ อ๋องสกุล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๖ เจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ พระธิดาเจ้าหอคำเชียงตุงเจ้าฟ้าก้อนแก้นอินทรแถลง ผู้เป็นชายาของเจ้าอินทนนท์ราชบุตรของเจ้าแก้วนวรัฐเจ้าหลวงเชียงใหม่ ได้สิ้นลมหายใจด้วยวัยชรา ๙๓ ปี ที่นครเชียงใหม่ ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดเจดีย์หลวง โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธฮ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชทานพวงมาลา และได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานผ้าไตร ๕ ชุด พร้อมพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ณ ฌาปนกิจสถานสันกู่เหล็กในวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๖

ในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์ จึงขอบันทึกเรื่องราวความสัมพันธ์ของเชียงใหม่-เชียงตุง เป็นเครื่องเคารพศพ "เจ้านางคนสุดท้ายแห่งสองราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุง"

1. ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุง

กับเชียงใหม่ในสมัยราชวงศ์มังราย

เชียงใหม่มีความสัมพันธ์กับเชียงตุงมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังราย โดยตำนานเมืองเชียงตุงกล่าวว่า พญามังรายเป็นผู้สร้างเมืองเชียงตุงเมื่อ พ.ศ. ๑๘๑๐ ตำนานระบุว่าเดิมเมืองเชียงตุงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวลัวะมาก่อน ต่อมาพญามังรายได้ขยายอาณาเขต "ครุบชิงเอาเมืองทัมมิละมาเป็นเมืองขึ้นแห่งตน" ในระยะแรกได้ให้มังคุม และมังเคียนซึ่งเป็นลัวะไปครองเมือง ต่อมาโปรดให้เจ้าน้ำท่วมซึ่งเป็นหลาน (พงศาวดารเชียงตุงว่าเป็นลูก) ครองเชียงตุง

ในสมัยพญาไชยสงคราม (พ.ศ. ๑๘๕๔-๑๘๖๘) ได้ส่งราชบุตรคือเจ้าน้ำน่านไปครองเมืองเชียงตุง โทษฐาน "บ่ซื่อต่อกูผู้เป็นพ่อ" ครั้นสมัยพญาแสนพู (พ.ศ. ๑๘๖๘-๑๘๗๗) และสมัยพญาคำฟู (พ.ศ. ๑๘๗๗-๑๘๗๙) ได้ส่งขุนนางมาครองเชียงตุง

ต่อมาในสมัยพญาผายูได้ส่งราชบุตรคือเจ้าเจ็ดพันตูเชี้อสายราชวงศ์มังรายไปปกครองเชียงตุง ในสมัยเจ้าเจ็ดพันตูครองเชียงตุง เชียงตุงเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านอาณาจักรและพุทธจักร โดยในปี พ.ศ. ๑๘๘๒ พญาผายู (พ.ศ. ๑๘๗๙-๑๘๗๗) ได้ส่งพระเถระจากเชียงใหม่ขึ้นไปเชียงตุงเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาหนยางกวง พระเถระหงษ์ได้สร้างวัดขึ้นในที่ป่าช้านอกเวียง ให้ชื่อว่าวัดราชฐานหลวง ซึ่งต่อมาชาวเชียงตุงได้เรียกว่า วัดยางกวง

ในสมัยพญากือนา (พ.ศ. ๑๘๙๘-๑๙๒๘) พุทธศาสนาในเชียงใหม่ได้เจริญรุ่งเรืองมากทรงนิมนต์พระมหาสมุนเถรจากสุโขทัยมาเผยแผ่ศาสนาลังกาวงศ์ที่เชียงใหม่ มีศูนย์กลางที่วัดสวนดอก ต่อมาจึงเรียกนิกายสวนดอก พญากือนาทรงสนับสนุนให้พระภิกษุจากเชียงแสนเชียงตุง มาศึกษาพุทธศาสนานิกายสวนดอกที่วัดสวนดอก ทำให้เชียงตุงได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาจากเชียงใหม่ โดยวัดในเชียงตุงรุ่นแรกเช่นวัดยางกวงเป็นนิกายสวนดอกเชียงใหม่

ต่อมาในสมัยพญาสามฝั่งแกน พระมหาญาณคัมภีร์ได้นำพุทธศาสนาจากลังกามาเชียงใหม่เรียกว่า "ลังกาวงศ์ใหม่" มีศูนย์กลางที่วัดป่าแดง จึงเรียก "นิกายป่าแดง" ต่อมานิกายป่าแดงได้แพร่หลายออกจากเชียงใหม่ไปทั่วล้านนาถึงเชียงตุง ซึ่งใน พ.ศ. ๑๙๘๙ พระยาสิริธัมมจุฬาเจ้าเมืองเชียงตุงได้สร้างวัดป่าแดงถวายเป็นวัดฝ่ายอรัญวาสี

ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุงและเชียงใหม่ได้ดำเนินอย่างดีสืบมา จนกระทั่งล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าเป็นระยะเวลา ๒๐๐ ปีเศษ เชียงตุงรัฐชายขอบของล้านนาจึงต้องขึ้นต่อพม่าด้วย จนใน พ.ศ. ๒๓๑๗ พญาจ่าบ้าน (บุญมา) และเจ้ากาวิละได้ร่วมกับกองทัพกรุงธนบุรีขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ เชียงใหม่จึงมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของสยามตั้งแต่นั้นมา ความขัดแย้งระหว่างสยามและพม่าได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงใหม่และเชียงตุงเริ่มเปลี่ยนไป นำไปสู่สงครามเชียงตุงในสมัยรัตนโกสินทร์หลายครั้ง (ดู สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อมรินทร์ ๒๕๓๙ หน้า ๑๘๘-๑๘๙)

2.. การอพยพชุมชนไทเขิน
จากเชียงตุงมาสู่เชียงใหม่

ในสมัยพระเจ้ากาวิละครองเชียงใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ นั้น ภารกิจสำคัญคือการขับไล่พม่าที่ยังอยู่เชียงแสนออกจากดินแดนล้านนาและเร่งฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่โดยรวบรวมกำลังคนที่อพยพหนีภัยสงครามไปอยู่ตามป่าเขาและจากเมืองต่างๆ เข้ามาไว้ในเมืองเชียงใหม่ ทรงใช้วิธีการเกลี้ยกล่อมและส่งกองกำลังเข้าตีเมืองต่างๆ หลายครั้ง เช่นในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๓๔๑-๒๓๔๔ มีการ "เทครัว" คนจากแถบแม่น้ำคง (สาละวิน) เช่น เมืองปุ บ้านงัวลาย บ้านสะต๋อย บ้านวังลุง วังกาด สร้อยไร ท่าช้าง บ้านนาฯ มาไว้ที่เชียงใหม่ และใน พ.ศ. ๒๓๔๕ สามารถตีเมืองสาดและเมืองเชียงตุงได้สำเร็จ

ในปี ๒๓๔๗ กองทัพเชียงใหม่ร่วมกับกองทัพสยามตีเชียงแสนได้สำเร็จ มีการ "เทครัว" คนไทยวนจากเชียงแสนไปไว้ที่ต่างๆ เช่น ๑. บ้านฮ่อมในเชียงใหม่ ๒. อำเภอคูบัว จังหวัดราชบุรี ๓. อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ฯลฯ จากนั้นพระเจ้ากาวิละได้มอบหมายให้ท้าวแก่นคำนำกองกำลังขึ้นไปเชียงตุงเกลี้ยกล่อมให้เจ้าเมืองเชียงตุงขณะนั้นคือเจ้ามหาสิริชัยสารัมพยะยอมสวามิภักดิ์ ซึ่งเจ้าเมืองเชียงตุงยินยอมและพร้อมนำเจ้านาย ขุนนาง และชาวเขินจากเชียงตุงมาอยู่ในเชียงใหม่

ครั้งนั้นพระเจ้ากาวิละโปรดให้เจ้านายไทเขิน ขุนนางและกลุ่มช่างมีฝีมืออยู่พื้นที่ระหว่างกำแพงชั้นในและชั้นนอกรอบวัดนันทาราม วัดดาวดึงษ์ วัดธาตุคำ วัดเมืองมาง วัดศรีสุพรรณ ส่วนกลุ่มคนที่เป็นเกษตรกรได้อยู่รอบนอกเวียง เช่น ที่วัดป่างิ้ว วัดสันต้นแหน วัดสันข้าวแคบ วัดสันกลาง วัดสันก้างปลา ในเขตอำเภอสันกำแพง และแถบอำเภอดอยสะเก็ดที่วัดป่าป้องเป็นชุมชนไทเขินสืบมาถึงปัจจุบัน
๓. สายสัมพันธ์รัก

เชียงตุง-เชียงใหม่-ลำปาง

เจ้าฟ้าเชียงตุงที่มาอยู่ในเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๗ เป็นลูกๆ ของเจ้าฟ้าชายสามเจ้าหอคำเชียงตุง (พ.ศ. ๒๒๐๓-๒๓๐๙ และ พ.ศ. ๒๓๑๒-๒๓๒๙) มี ๘ คนคือ ๑. เจ้ากระหม่อมต้นสกุลพรหมศรี ๒. เจ้าแสนเมือง ๓. เจ้าฟ้ามหาศิริชัยสารัมพยะหรือเจ้าฟ้ากองไท ๔. เจ้าเมืองเหล็ก (เจ้าดวงทิพย์) ๕. เจ้ามหาขนาน (เจ้าดวงแสน) ๖. เจ้ามหาพรหม (สมรสกับเจ้าศรีแก้ว ธิดาของเจ้าบุรีรัตน์ (น้อยกาวิละ) อนุชาของเจ้าพุทธวงศ์เจ้าหลวงเชียงใหม่เป็นต้นสกุลสิโรรสและกาวิละเวส ๗. เจ้านางศรีแก้ว ๘. เจ้านางคำแดง (ดู จิตติ เทพรัตน์. จากเจียงตุ๋งมาฮอดเจียงใหม่ บ้านไทยเขินวัดนันทราม ๒๕๔๕ หน้า ๒๖-๒๗)

ในบรรดาพี่น้องดังกล่าวมีเจ้ามหาขนาน (เจ้าดวงแสง) คนเดียวที่ไม่ยอมมาเชียงใหม่ ขอต่อสู้กับพม่าโดยมีฐานที่เมืองหลวย เมืองยาง ต่อมาพม่าให้ท้าวคำวังคนของเจ้ามหาขนานเกลี้ยกล่อมสำเร็จ และยกเจ้ามหาขนานเป็นเจ้าเมืองเชียงตุง เรียกว่าเจ้าฟ้าหลวงเขมรัฐมหาสิงหะบวรสุธรรมราชาธิราช ซึ่งผู้สืบสายทายาทในสายนี้คนหนึ่ง คือเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่

กล่าวถึงเจ้ามหาขนาน (เจ้าดวงแสง) ผู้เป็นเจ้าหอคำเชียงตุงมีบุตร ๗ คน ลูกคนที่ ๗ ชื่อเจ้าฟ้าโชติกองไท (เกิดจากเทวีเชียงแขงจึงเป็นเจ้าฟ้าเชียงแขง) ได้ครองเชียงตุงสืบต่อจากพี่ชายคนโตคือเจ้าหนานมหาพรหม

เจ้าฟ้าโชติกองไทมีลูก ๖ คน ลูกคนที่ ๔ คือเจ้าฟ้าก๋องคำฟู ได้เป็นเจ้าหอคำเชียงตุงสมัยอังกฤษเข้ามาปกครองพม่า ครองเชียงตุงได้ ๙ ปีก็พิราลัย ลูกคนที่ ๕ ของเจ้าฟ้าโชติกองไท คือ เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลง ขึ้นเป็นเจ้าหอคำเชียงตุงสืบแทน

เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลงมีชายา ๖ คน มีลูกรวม ๑๙ คน (ดู อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง ๒๗ มกราคม ๒๕๓๓. หน้า ๑๑๙-๑๒๐) ในจำนวนนี้มี ๓ คนมีสายสัมพันธ์รักกับคนในล้านนา คือ

๑. ลูกชายคนหนึ่งที่เกิดจาก "เจ้าแม่เมือง" (อัครมเหสี) แม่เจ้าปทุมมหาเทวี (ธิดาเจ้าเมืองสิง) (คนเชียงตุงเรียกเจ้าแม่เมือง มีอำนาจมาก) คือเจ้าฟ้าพรหมลือ ต่อมาได้มีสายสัมพันธ์รักกับเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง (พ.ศ. ๒๔๔๖-๒๕๓๒) หลานสาวของเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าหลวงลำปางองค์ที่ ๑๓ (มารดาคือเจ้าหญิงฝนห่าแก้วเป็นธิดาเจ้าหลวงลำปาง)

เจ้าฟ้าพรหมลือเป็นเจ้านายชั้นสูงของเชียงตุงที่สามารถกางสัปทนและนั่งเสลี่ยงได้ซึ่งมีเพียง ๓ พระองค์คือ ๑. เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลง เจ้าหอคำ ๒. เจ้าฟ้ากองไท (รัชทายาท) ๓. เจ้าฟ้าพรหมลือ (โอรสเจ้าแม่เมือง) เจ้านายคนอื่นใช้ได้แค่ "จ้องคำ" (ร่มทอง) (ดู ความทรงจำที่เมืองเชียงตุงของเจ้านางสุคันธา อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๖)

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลสยามได้เชียงตุงจัดตั้งเป็นสหรัฐไทยเดิม ร.๘ โปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าพรหมลือเป็นเจ้าฟ้าสิริสุวรรณราชยศสรพรหมลือ ครองสหรัฐไทยเดิม แต่เมื่อสิ้นสงครามรัฐบาลสยามต้องมอบเชียงตุงคืนสหประชาชาติ เจ้าฟ้าพรหมลือต้องพาครอบครัวเข้าไทยพำนักที่กลางเวียงเชียงใหม่จนพิราลัยใน พ.ศ. ๒๔๙๘ (ปัจจุบันคือที่ตั้งศาลาธนารักษ์ ของกรมธนารักษ์) (ดู อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง ๒๗ มกราคม ๒๕๓๓)

๒. ลูกชายคนหนึ่งที่เกิดจาก "นางฟ้า" เจ้านางจามฟองคือ เจ้าขุนศึก ต่อมาได้สมรสกับนางสาวธาดา พัฒนถาบุตร ธิดาของแม่บัวจันทร์และนายดาบแดง พัฒนถาบุตร (๒๔๓๐-๒๕๒๓) คหบดีบ้านวัวลาย เชียงใหม่ (ดู ชีวิตเจ้าฟ้า อนุสรณ์งานประชุมเพลิงเจ้าฟ้าขุนศึก เม็งราย ๔ มีนาคม ๒๕๓๘)

๓. ธิดาคนหนึ่งที่เกิดจาก "นางฟ้า" เจ้านางทิพย์หลวงหรือเจ้านางบัวทิพย์หลวง คือ เจ้านางสุคันธา ต่อมาได้สมรสกับ เจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ ราชบุตรของพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ ๙

๔. เจ้านางคนสุดท้าย

แห่งราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุง

เจ้านางสุคันธาพระธิดาแห่งเจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลงเจ้าหอคำเชียงตุง กับเจ้านางทิพย์หลวงหรือเจ้านางบัวทิพย์หลวง เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ในหอหลวงเมืองเชียงตุง เจ้านางเรียกเจ้าพ่อว่า "ฟ้าหม่อม" (ดู ความทรงจำที่เมืองเชียงตุงของเจ้านางสุคันธา อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๖) มีพี่น้องร่วมมารดา ๕ คนคือ ๑. เจ้านางแว่นแก้ว ๒. เจ้านางสุคันธา ๓. เจ้านางแว่นทิพ ๔. เจ้าสิงห์ไชย ๕. เจ้าแก้วเมืองมา ได้เสกสมรสกับเจ้าชายแห่งราชสำนักเชียงใหม่คือเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ ราชบุตรพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่ ณ หอคำเชียงตุง โดยมีเจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลงเจ้าหอคำ เจ้านางปทุมมหาเทวีเป็นเจ้าภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ มีร้อยเอกโรแบรด์ ข้าหลวงอังกฤษผู้กำกับราชการนครเชียงตุงร่วมเป็นเกียรติในงานมงคลสมรส (ดู อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง หน้า ๑๑๓)

เจ้านางสุคันธาและเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ จึงเป็นสายใยแห่งความรักของราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุงรุ่นลูก "เจ้าหลวง" สองราชสำนักรุ่นสุดท้าย และบัดนี้เจ้านางคนสุดท้ายแห่งราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุงก็ได้คืนสู่สวรรคาลัย นับเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ล้านนาคนหนึ่งที่ชาวล้านนาเพิ่งรู้จักและให้การเคารพ โดยเฉพาะชาวเขินในล้านา เพิ่งรับรู้ว่าเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ คือเจ้านางแห่งนครเชียงตุง ขัตติยนารีของชาวเขินที่มีสายสัมพันธ์รักกับเจ้าชายแห่งราชสำนักเชียงใหม่ ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายในนครเชียงใหม่ตราบสิ้นลมหายใจ

อย่างไรก็ดี ก่อนเจ้านางสุคันธาจะสิ้นลมหายใจ ทายาทคนหนึ่งของเจ้านางสุคันธาและเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ คือเจ้าวิไลวรรณ ณ เชียงใหม่ ได้พบกับลูกหลานไทเขินบ้านนันทารามเมื่อ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๕ เพื่อแนะนำการแต่งกายแบบไทเขินและเป็นประธานเปิดนิทรรศการ "กาดคัวฮักคัวหาง คัวเงิน" ที่วัดนันทาราม เมื่อ ๓ มกราคม ๒๕๔๖ ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างลูกหลานไทเขินที่บรรพบุรุษได้มาอยู่ในเชียงใหม่แน่นแฟ้นขึ้นอีกวาระหนึ่ง

ขอเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๕๔๖) สายใยรักแห่งสองราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุงคืนสู่สวรรคาลัยด้วยปีติเทอญ
                                           เจ้าพิริยะเทพวงศ์ เจ้าหลวงเมืองแพร่องค์สุดท้าย



แม่เจ้าบัวไหล ชายาเจ้าพิริยะเทพวงศ์ เจ้าหลวงเมืองแพร่