จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
บทความที่ได้รับความนิยม
-
ภาพเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง สองภาพแรกภาพเจ้าก้อนแก้วอินแถลงกับราชบุตร ซึ่งเจ้าฟ้าองค์นี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้พม่าประกาศอิสระภาพจากอังกฤษตามสนธิสั...
-
พระเจ้าทิพย์ช้างสุลวะฤาไชยสงคราม ปฐมราชวงค์ ทิพยจักร์ เจ้าพระยาสุลวฤาไชยสงคราม หรือ พ่อเจ้าทิพย์ช้าง มีนามเดิมว่า “ทิพย์จักร” หรือ “หนานทิ...
-
น้ำบ่อ หมายถึง บ่อน้ำสำหรับดื่มกินหรือใช้ และเนื่องจากน้ำมีความสำคัญต่อชีวิต ซึ่งมีวิธีปฏิบัติในการขุด การสร้าง การใช้ การรักษาตลอดจนพิ...
-
ในวาระ : พะเยายุคสร้างเมือง 1 ศักดิ์ ส.รัตนชัย เปิดประเด็นข่าวประวัติศาสตร์ต้องวิเคราะห์ใหม่ ราชวงศ์ลวจังกราช กับข่าวการเสวนาวิชาการ ณ พิพิธ...
-
ดิอิมพอสสิเบิ้ลส์ หนึ่งในตำนานเพลงไทย “ถ้าฉันมีสิบหน้า อย่างทศกัณฐ์ สิบหน้านั้น ฉันจะหัน มายิ้มให้เธอ สิบลิ้น สิบปาก จะฝากคำพร่ำเพ้อ ว่าร...
-
จดหมายเหตุ การปฎิบัติราชการในสงครามมหาเอเซียบูรพา บันทึกจดหมายเหตุของ คุณฉบับ ชูจิตารมย์ ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ปลายสงครามมหา...
-
ช้าวันใด บ้านไหนมีเสียงมีดกระทบเขียงดัง "ปก ๆๆๆ" ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็เป็นอันที่แน่นอนว่าวันนั้น บ้านหลังน...
-
ตุง “ ตุง ” เป็นภาษาล้านนาใช้เรียก “ ธง ” ทุกชนิดว่า ตุง ไม่ว่าจะเป็นแบบผืนยาวๆ ผูกติดยอดเสาปล่อยชายห้อยลงมา หรือ แบบเป็นผืนสามเห...
-
ลงได้เป็นความเชื่อแล้ว ยากนักที่จะตัดสินว่าเป็นเรื่องถูกหรือผิด !! กรณีผ่าจ้างช้างเช่นเดียวกัน สายตาของคนนอกอาจจะมองว่า...
วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554
นาค - พญานาค ตามความเชื่อของล้านนา
นาค เป็นอมนุษย์ มีพละกำลังมหาศาล ทรงอานุภาพด้วยอิทธิฤทธิ์ อาศัยอยู่ใต้บาดาลที่เรียกว่า นาคพิภพ รูปร่างทั่วไปลักษณะคล้ายงู โดยปกตินาคสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่ก็มีข้อยกเว้น คือในเวลา เกิด ตาย นอนหลับ ร่วมเพศและเวลาลอกคราบ การแปลงกายของนาคมิใช่ว่าจะแปลงได้ทุกแห่ง เพราะนาคมี ๒ ประเภท คือนาคที่แปลงกายได้เฉพาะบนบก เรียกว่า ถลชะ และนาคที่แปลงกายได้เฉพาะในน้ำเรียกว่า ชลชะ
ในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงนาคโดยละเอียดไว้มากมาย ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึง แต่จะเชื่อมโยงบทบาททางความเชื่อของคนล้านนา ว่านาคนั้นมีบทบาทใดบ้าง ดังจะได้เสนอเป็นลำดับไป
นาคให้น้ำ
ชาวล้านนาเชื่อว่า ในแต่ละปีน้ำจะน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับจำนวนของนาคที่ขึ้นมาพ่นน้ำให้ฝนตก หากปีใดนาคมีจำนวนน้อย ปีนั้นน้ำจะมีมาก แต่ถ้าปีใดนาคมีจำนวนมากปีนั้นน้ำจะมีน้อย เพราะถ้ามีนาคหลายตัวจะเกี่ยงกันพ่นน้ำ และการจะดูว่าปีไหนนาคจะให้น้ำกี่ตัว ก็มีสูตรในการดูซึ่งมีอยู่หลายตำรา ที่ดูง่ายที่สุด คือดูจากปีนักษัตร อย่างเช่นที่ปรากฏในคัมภีร์พับสาของวัดศรีมงคล อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ได้ระบุจำนวนนาคในแต่ละปีไว้ดังนี้
ปีใจ้ (ชวด) ๘ ตัว
ปีเป้า (ฉลู) ๒ ตัว
ปียี (ขาล) ๕ ตัว
ปีเหม้า (เถาะ) ๔ ตัว
ปีสี (มะโรง) ๓ ตัว
ปีใส้ (มะเส็ง) ๗ ตัว
ปีสะง้า (มะเมีย) ๒ ตัว
ปีเม็ด (มะแม) ๗ ตัว
ปีสัน (วอก) ๔ ตัว
ปีเร้า (ระกา) ๖ ตัว
ปีเส็ด (จอ) ๙ ตัว
ปีใก๊ (กุน) ๓ ตัว
นาครักษา
ในแต่ละปีจะมีการพยากรณ์ในใบประกาศสงกรานต์ที่เรียก "หนังสือปีใหม่" นอกจากจะบอกจำนวนนาคให้น้ำแล้ว ยังปรากฏว่านาคมีหน้าที่รักษาปี รักษาป่า และรักษาน้ำ โดยดูจากตัวเลขเศษจากการนำเอาตัวเลขจุลศักราชหารด้วย ๑๒ หากเศษ ๓ หรือ ๕ นาคจะรักษาปี (บางตำราว่ารักษาป่า) เศษ ๔ หรือ ๙ นาครักษาน้ำ (บางตำราว่ารักษาป่า)
นาคพ่นพิษ
จากตำรา นาคผู่พิษ ของวัดกิตติวงศ์ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวถึงพญานาคตนหนึ่งลำตัวยาวใหญ่กระหวัดรัดโลกมนุษย์ไว้ พอถึงวันและเวลาตามกำหนดจะชูคอขึ้นพ่นพิษลงพื้นโลก ทำให้ผลร้ายบังเกิดแก่มนุษย์ที่ประกอบกิจกรรมในช่วงวันเวลานั้น ๆ เนื้อหาของตำราดังกล่าวพอสรุปได้ว่า
เดือนใดก็ตาม ในวันขึ้น ๔ ค่ำ และขึ้น ๑๐ ค่ำ พญานาคจะพ่นพิษในตอนกลางคืน ผู้ใดแต่งงาน จะเลิกร้างกันในที่สุด
เดือนใดก็ตาม ในวันขึ้น ๙ ค่ำ และขึ้น ๑๕ ค่ำ พญานาคจะพ่นพิษในตอนกลางวัน กระทำการมงคลใดจะกลับกลายเป็นอัปมงคลไปสิ้น
เดือนใดก็ตามในวันแรม ๓ - ๔ ค่ำ และวันเดือนดับ พญานาคจะพ่นพิษในตอนกลางวัน ไม่ควรสร้างบ้านใหม่ ไม่ควรออกเดินทางไปแสวงลาภ ไม่ควรแรกปลูกต้นไม้จะทำให้เกิดความเสียหายตามมา
นาคหันหัว
ในแต่ละเดือน นาคจะหันหัวไปในทิศต่าง ๆ ในการปลูกบ้านจะต้องดูทิศนาคหันหัวก่อน เพื่อเลือกขุดหลุม วางมูลดินและหันปลายเสาให้ถูกต้อง ทั้งนี้ตำราโบราณท่านระบุทิศหัวนาคท้องนาคและหลังนาคพร้อมทิศในการเลือกขุด หลุมเสาเล่มแรก การวางมูลดินและหันปลายเสาไว้ดังนี้
เดือน หัว ท้อง หลัง หลุมเสา มูลดิน ปลายเสา
๓ ๔ ๕ เหนือ ตะวันออก ตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต้ เหนือ ใต้
๖ ๗ ๘ ตะวันตก ใต้ เหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออก ตะวันตก
๙ ๑๐ ๑๑ ตะวันออก เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตก ตะวันออก
๑๒ ๑ ๒ เหนือ ตะวันตก ตะวันออก ตะวันออก ใต้ เหนือ
สมมุติว่าถ้าจะปลูกบ้านในเดือน ๓ ๔ ๕ ให้เลือกขุดหลุมเสาที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ก่อน มูลดินที่ขุดขึ้นมาให้วางไว้ปากหลุมทิศเหนือ วางเสาให้หันปลายเสาไปทางทิศใต้ หากกระทำการดังนี้ พญานาคจะพึงพอใจ และบันดาลให้เจ้าเรือนมีความสมบูรณ์พูนสุข
อนึ่ง การไถนาก็เช่นกัน จะต้องไม่ไถไปทางทิศที่นาคหันหัวไป เพราะถือว่าเป็นการ "เสาะเกล็ดนาค" คือไถย้อนเกล็ดนาค ซึ่งถือเป็นการฝืนหรือต้านอิทธิพลพญานาคผู้ดูแลผืนดิน ผลที่ตามมาคือมักมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เช่นไถหัก วัวควายตื่นกลัว คนไถได้รับอันตรายหรือข้าวกล้าเสียหาย เป็นต้น ส่วนทิศการหันหัวของนาคจะเป็นทิศเดียวกับทิศที่กล่าวข้างต้นหรือไม่ ยังไม่มีข้อสรุป เพราะมีตำรานาคหันหัวสำหรับการไถนาหลายฉบับ กล่าวตรงกันไว้ดังนี้
เดือน ๑ - ๓ หันหัวไปทิศใต้
เดือน ๔ - ๖ หันหัวไปทิศตะวันตก
เดือน ๗ - ๙ หันหัวไปทิศเหนือ
เดือน ๑๐ - ๑๒ หันหัวไปทิศตะวันออก
ขอที่ดินพญานาค
การปลูกเรือนสร้างบ้าน มีพิธีสำคัญอย่างหนึ่งคือการบูชาพญานาค เป็นการขอที่ดินจากพญานาคผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน พิธีนี้จะมีในวันยกเสาเอกหรือเสามงคล โดยเริ่มต้นด้วยการจัดเตรียมใบมะตูม ๗ ใบ ผ้าขาวยาว ๑ ศอก กระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำ ๗ กระบอก กระบอกไม้ไผ่บรรจุทราย ๗ กระบอก กระทงกาบกล้วย (สะตวง) กว้าง ๑ ศอก ภายในกระทงใสอาหารคาวหวาน ข้าว หมาก พลู บุหรี่ กล้วย อ้อย พริก เกลือ ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวตอกดอกไม้ เทียน ๔ เล่ม ตุง ๔ ตัว ช่อ(ธงสามเหลี่ยม) ๔ ผืน เฉพาะตุงและช่อให้สีตามเดือนซึ่งกำหนดไว้ดังนี้
เดือน ๑ - ๓ ใช้สีขาว
เดือน ๔ - ๖ ใช้สีเหลือง
เดือน ๗ - ๙ ใช้สีเขียว
เดือน ๑๐ - ๑๒ ใช้สีแดง
หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว ผู้ประกอบพิธีจะกล่าวคำโองการแล้วเอาผ้าขาวรองก้นหลุมเสามงคล เอาใบมะตูมวางบนผ้าขาวพร้อมเทน้ำและทรายลง ประพรมด้วยน้ำอบน้ำหอมน้ำส้มป่อย เอามูลดินเล็กน้อยใส่กระทงใบพลี ณ ทิศตะวันออก เป็นเสร็จพิธีขอที่ดินจากพญานาค
นาคเข้าบ้วงบาศ
นาคเข้าบ้วงบาศ หมายถึงบ่วงบาศที่เป็นงู เครื่องรางอย่างหนึ่งของชาวล้านนา ที่เชื่อว่าสามารถหายตัวได้คือ "นาคเข้าบ้วงบาศ" เวลาพบเห็นงูสองตัวกำลังกลืนหางกันอยู่มีลักษณะเป็นวงกลมโบราณท่านให้หาแผ่น ไม้หรือแผ่นหินที่มีน้ำหนักไปทับไว้ให้งูตาย แล้วปล่อยทิ้งไว้จนแห้งสนิท บ่วงงูที่กลืนหางกันนี้ หากนำมาสวมศีรษะแล้ว จะทำให้คนอื่นมองไม่เห็นตน
ยันต์รูปนาค
ด้วยความเชื่อและศรัทธาในอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของนาคจึงปรากฏรูปยันต์ที่ เป็นรูปนาคอยู่โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผ้ายันต์ ยันต์ที่ใช้สักบนร่างกาย หรือยันต์ที่ลงในแผ่นโลหะ เพื่อม้วนหรือคลึงเป็นตะกรุด ใช้เป็นเครื่องรางตามความเชื่อ
การอ้างนาคให้ช่วยนำกุศล
ในการทำบุญของชาวล้านนา มักมีการอ้างเอาพญานาคร่วมกับเทพองค์อื่น ๆ ช่วยนำพาเอาส่วนบุญไปส่งให้แก่ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ ในกรณีที่ไม่สามารถมารับได้ ดังปรากฏในคำให้พรของพระสงฆ์ที่ว่า "…แม้ว่าดวงวิญญาณของ….อยู่ที่กวงไกลมาบ่ได้ ขอฝากกับเทพไธ้มเหสิกขา พระญาอินทร์ พระญาพรหม พระญายมราช ครุฑนาคน้ำ ปรไมไอศวร…นำเอากุศลผลทานนี้ไปรอดไปเถิง…"
ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่านาคมีบทบาทสำคัญในเชิงวัฒนธรรมความเชื่อของชาว ล้านนาเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปรากฏรูปของนาคตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะศาสนสถานอันเป็นแหล่งรวมรูปสิ่งอันเนื่องมาจากพื้นฐานของศรัทธา ในเขตล้านนาโดยทั่วไป.
สนั่น ธรรมธิ
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
น้ำบ่อ - บ่อน้ำ ศาสตร์และความเชื่อของล้านนา
น้ำบ่อ หมายถึง บ่อน้ำสำหรับดื่มกินหรือใช้ และเนื่องจากน้ำมีความสำคัญต่อชีวิต ซึ่งมีวิธีปฏิบัติในการขุด การสร้าง การใช้ การรักษาตลอดจนพิธีกรรมตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย สำหรับทางล้านนาแต่ละท้องที่อาจมีวิธีปฏิบัติแตกต่างกันไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกันโดยทั่วไป ทั้งนี้ในเอกสารโบราณ พบว่ามีการเรียก น้ำบ่อ ว่า น้ำส้าง และ น้ำบ่อส้าง อีกด้วย
วิธีหาที่ขุด
เมื่อถึงเดือน ๘ เหนือ คือประมาณเดือนพฤษภาคม ถือว่าเป็นเดือนที่น้ำใต้ดินลดต่ำลงถึงที่สุดแล้ว เป็นเดือนที่เหมาะแก่การขุดบ่อ ทั้งนี้ หากขุดในบริเวณบ้านแล้ว มักจะขุดตรงบริเวณที่มีทิศทางตรงกับ “แขเรือน” (สันหลังคาที่ต่อจากตีนจั่วลงมาหาชายคา) ซึ่งมักกำหนดเอาทิศเหนือ ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จึงจะถือว่าเป็นมงคลตามตำราดังนี้
ขุดน้ำบ่อทิศตะวันออกเฉียงใต้ มักได้เป็นถ้อยคดีความ
ขุดน้ำบ่อทิศใต้ มักได้ทุกข์ยาก
ขุดน้ำบ่อทิศตะวันตก มักได้เสียของ
ขุดน้ำบ่อทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มักฉิบหาย
ขุดน้ำบ่อทิศเหนือ อยู่ดีมีสุข มีโชคลาภ
ขุดน้ำบ่อทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีโชคลาภและชื่อเสียงปรากฏ
ขุดน้ำบ่อทิศตะวันออก มีเกียรติยศชื่อเสียง
ขุดน้ำบ่อในที่ไรนาเรือกสวนก็มักกำหนดเอาทิศเหนือ ทิศตะวันออกหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือเช่นกัน
เมื่อกำหนดทิศแล้วก็ต้องหาที่ขุด มีวิธีเสี่ยงอย่างหนึ่งของโบราณคือการเสี่ยงเบี้ย โดยใช้เบี้ย (เปลือกหอยชนิดหนึ่งที่โบราณใช้ชื้อขายแทนเงินตรา) จำนวน ๑๔ ตัว เป็นสิ่งเสี่ยงทายเพื่อหาที่ขุด โดยมีวิธีคือหว่านเบี้ยลงบนพื้นดินที่คิดว่าจะมีน้ำจำนวน ๗ ตัว กลับเบี้ยที่คว่ำให้อยู่ในลักษณะหงายทั้งหมด แล้วหว่านลงไปอีก ๗ ตัว หากหงายกี่ตัวถือเป็นเศษ ซึ่งมีฝอยทำนายดังนี้
หงาย ๘ ตัว เศษ ๑ ทายว่า น้ำจะตื้นดีแต่เป็นน้ำที่มีสนิมปนมากที่เรียก “น้ำฮาก”
หงาย ๙ ตัว เศษ ๒ ทายว่า น้ำดีแต่ไม่พอใช้
หงาย ๑๐ ตัว เศษ ๓ ทายว่า น้ำมีฤดูฝน หน้าแล้งแห้งไป
หงาย ๑๑ ตัว เศษ ๔ ทายว่า น้ำจืด ไม่มีรส
หงาย ๑๒ ตัว เศษ ๕ ทายว่า น้ำดีมาก
หงาย ๑๓ ตัว เศษ ๖ ทายว่า น้ำตื้นเขินเร็ว ไม่ดี
หงาย ๑๔ ตัว เศษ ๗ ทายว่า เป็นกาลกิณี ไม่ดี
มีอีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย เป็นที่นิยมกันทั่วไปคือหากะลาหรือใบตองมาวางในลักษณะคว่ำลงตามบริเวณที่จะ ขุดวางทิ้งไว้สัก ๑-๒ คืน แล้วหงายดู กะลาหรือใบตองใบไหนมีไอน้ำเกาะอยู่ก็แสดงว่าบริเวณที่กะลาครอบหรือใบไม้ปก นั้นมี “ตาน้ำ” หรือ “สายน้ำ” อยู่ใต้ดิน เมื่อได้ตำแหน่งแล้วจะทำเครื่องหมายไว้รอหาวันดีและฤกษ์ดีต่อไป บ้างก็ใช้ซ้าหวดคือตะกร้าที่ใช้ซาวข้าวหม่า (ข้าวเหนียวแช่ก่อนนึ่ง) มาตักเอาขี้เถ้ากลางเตาไฟไปวางไว้เป็นจุด ๆ ตามบริเวณบ้านในตอนเย็น ครั้งรุ่งเช้าก็ไปสำรวจดู ถ้าขี้เถ้ากองใดชื้น ก็ถือว่าตรงจุดนั้นสายน้ำใต้ดินจะไม่อยู่ลึก คือเหมาะแก่การขุดบ่อ บางตำราว่าเบื้องล่างของจอมปลวกจะให้น้ำดี และบ้างก็สังเกตดูว่าที่ไหนมีหญ้าเขียวในขณะที่แหล่งอื่นแห้งไปแล้ว เบื้องล่างของจุดที่มีหญ้าเขียวนั้นจะให้น้ำได้ดี โดยมากถ้าเนื้อที่อำนวยแล้ว ชาวล้านนามักจะขุดบ่อไว้ถึงสองบ่อ เพื่อเป็นน้ำกินบ่อหนึ่งและเพื่อเป็นน้ำใช้หรือซักล้างอีกบ่อหนึ่ง และโดยนัยนี้ บ่อที่ขุดไว้หน้าบ้านจะเป็นแหล่งที่ชายเจ้าบ้านและชายสูงอายุจะใช้เป็นที่ อาบน้ำ และบ่อน้ำที่อยู่หลังบ้านจะให้สตรีในบ้านใช้เป็นแหล่งอาบน้ำ
การขอน้ำจากแม่ธรณีและพญานาค
เมื่อหาได้วันดี ฤกษ์ดีแล้ว จะทำพิธีขอน้ำจากแม่ธรณีและพญานาค ด้วยเชื่อว่าแม่ธรณีเป็นผู้รักษาดินและพญานาคเป็นผู้รักษาน้ำ พิธีกรรมคือเตรียมสะทวง (กระทงหยวก) กว้างประมาณ ๑ คืบ ใส่ข้าวปลาอาหาร ผลไม้ เมี่ยง หมาก พลู บุหรี่ อย่างละ ๔ เตรียมขันตั้ง (กำนล) ใส่กรวยดอกไม้ ๔ กรวย กรวยหมากพลู ๔ กรวย ข้าวเปลือก ๑ กระทง ข้าวสาร ๑ กระทง ผ้าขาว ผ้าแดงอย่างละชิ้น เทียนเล่มบาท ๑ คู่ เทียนเล่มเฟื้อง ๑ คู่ เทียนน้อย ๔ คู่ ข้าวตอกดอกไม้ใส่พองาม เตรียมน้ำอบ น้ำหอม น้ำส้มป่อย ๑ ขัน แล้วเริ่มพิธีตามขั้นตอนดังนี้
- แผ้วถาง ปัดกวาดบริเวณที่จะขุดให้สะอาด
- ขุดบริเวณที่จะเป็นใจกลางบ่อกว้าง ๑ คืบ ลึก ๑ คืบ
- ยกพานคำนับแล้วกล่าวคำขอน้ำ
- จุดธูปเทียนทำพิธีพลี แล้ววางสะทวงลงก้นหลุม
- ประพรมบริเวณนั้นด้วยน้ำอบ น้ำหอม น้ำส้มป่อย
วิธีขุด
ในการขุดนั้น ให้กะบริเวณกว้างพอประมาณ ส่วนใหญ่จะกว้างประมาณ ๑ วา ขุดเจาะแนวตรงทรงกลมลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบตาน้ำ ซึ่งหมายถึงสายน้ำใต้ดินที่จะมีน้ำให้หล่อเลี้ยงบ่อได้ตลอดไป
เมื่อเลือกได้จุดที่ควรขุดบ่อแล้ว นักขุดก็จะเริ่มขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบน้ำและไม่สามารถวิดน้ำออกได้ทันกับการไหลเข้าแล้วจึงจะหยุดการ ขุด ในช่วงที่ขุดบ่อนั้น ชาวบ้านมักจะช่วยกันขุดหลายคนแต่แบ่งเป็นชุด ๆ คนที่อยู่ก้นบ่อนั้นจะมีเพียงคนเดียวที่ขุดดินและโกยดินใส่ภาชนะให้พวกพ้อง ดึงขึ้นไปทิ้ง เมื่อเหนื่อยแล้วก็จะเปลี่ยนให้อีกคนหนึ่งลงไปขุดเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผลตามต้องการ การขึ้นหรือลงสู่ก้นบ่อนั้น อาจใช้ เกิน (อ่าน – เกิ๋น) คือพะองหรืออาจให้สาวเชือกเอาก็ได้ ความลึกของบ่อจะวัดเป็นถ้วมหรือท่วม ซึ่งวัดจากท่ายืนชูแขนสุดเหยียดของชายร่างปกติ บ่อนั้นลึกกี่ช่วงก็เรียกว่าลึกเท่านั้นเท่านี้ ถ้วม ถ้าขุดลึกลงไปมาก ๆ ยังไม่พบตาน้ำ จะใช้วิธีฅ่วง หรือฅ่วน คือเจาะก้นบ่อลงไปด้วยสว่านขนาดใหญ่ที่เรียก
เหล็กค่วง/เหล็กฅ่วน เพื่อหยั่งดูว่าอีกลึกขนาดไหนจะพบตาน้ำหรือสายน้ำ ถ้าพบตาน้ำหรือสายน้ำแล้วน้ำจะดันพลุ่งขึ้นมาก หากไม่พบเลยอาจเลิกล้มถมเสียแล้วหาที่ขุดใหม่โดยใช้วิธีหาที่ขุดดังเดิม
จากบทความ น้ำบ่อ [วันที่ 18 เมษายน 2548]
โดย สนั่น ธรรมธิ (ภาพประกอบโดย เสาวณีย์ คำวงค์)
ไทยนิวส์ -- มรดกล้านนา
----------------------
[2] : น้ำบ่อ
วิธีกันดินถล่มลงในบ่อ
เมื่อขุดบ่อเสร็จแล้วก็จะดำเนินการกันมิให้ดินถล่มลงไป วิธีการทำนั้นทำได้หลายวิธี เช่น ใช้ไม้ไผ่สานเป็นวงกลมไล่จากก้นบ่อขึ้นมาที่เรียกว่า “เสวียน” ใช้แผ่นไม้กระดานตีกั้นดิน หรือใช้ท่อนไม้ทับเรียงไล่จากก้นบ่อ แต่วิธีที่ใช้กันมากคือ การใช้ก้อนอิฐก่อเรียงจากก้นบ่อขึ้นมาจนเลยระดับพื้นดินโดยให้สูงประมาณ ระดับเอวซึ่งลักษณะของบ่ออาจเป็นรูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม หกเหลี่ยมและทรงกลม โดยที่บ่อทรงกลมเป็นที่นิยมมากที่สุด และเฉพาะทรงกลมนี้ก้อนอิฐที่ใช้ก่อจึงเป็นอิฐที่ทำขึ้นเพื่อการก่อบ่อน้ำโดย เฉพาะ คือขอบด้านนอกอิฐนั้นจะโค้งเข้าและขอบด้านในของก้อนอิฐจะโค้งรับกัน ขอบด้านข้างจะตัดเฉียงเข้าด้านใน ซึ่งอิฐดังกล่าวนี้จำนวนหนึ่งเมื่อเรียงต่อเนื่องกันแล้วจะโค้งเข้ารูปเป็น วงกลมได้ลงตัวพอดีและโดยเฉพาะอิฐที่อยู่ชั้นบนสุดนั้นจะทำให้เป็นสันนูนตรง กลางเพื่อกันมิให้คนนำของสิ่งใดไปวางไว้บนขอบน้ำบ่อนั้น ๆ ด้วย อนึ่ง การสออิฐหรือการที่ทำให้ก้อนอิฐทั้งหมดประสานกันได้นั้น ชาวบ้านจะสอด้วยดิน หรือขุดดินจากจอมปลวกมาเคล้าเข้ากับน้ำให้เป็นโคลนแล้วใช้โคลนนี้แทนปูนใน การประสานก้อนอิฐดังกล่าว ซึ่งผู้มีฐานะอาจใช้ปูนสอและโบกปูนกับอิฐในส่วนที่เลยจากผิวดินขึ้นมาแล้วก็ ย่อมทำได้ ในระยะหลัง เมื่อมีผู้ทำท่อซีเมนต์สำเร็จรูปขาย ชาวบ้านนิยมซื้อท่อซีเมนต์ดังกล่าวไปใช้แทนการกั้นดินถล่มโดยใช้วัสดุในท้อง ถิ่น เพื่อเป็นการเตือนความทรงจำ บางท่านเมื่อโบกปูนที่บ่อน้ำแล้ว ก็มักจะเขียนบอกวันเดือนปีในการสร้างบ่อน้ำนั้นไว้ด้วย
ทั้งนี้ ในการก่ออิฐดังกล่าว มีตำราแบบโบราณไว้ด้วย ว่าการก่ออิฐจะเริ่มก่อจากข้างล่าง แต่ก่อนที่จะก่อมักวางไม้รองอิฐเป็นรูปสี่เหลี่ยมไว้ก้นบ่อที่เรียกว่า แม่ชีไฟ (อ่าน – แม่จีไฟ) ซึ่งแต่ละด้านมักจะลงอาคมไว้และอาจมีหลายตำรา ตัวอย่างเช่นตำราของพ่อหนานเป็ง ไชยวงศ์ บ้านโป่งน้อย ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ให้ลงอาคมไว้สี่ด้าน ด้วยคาถา “ตุ๊สี่ต๋น” (พระสี่รูป) คือ
ทุ สะ นิ มะ
ทุ มะ สะ นิ
ทุ นิ มะ สะ
ทุ สะ มะ นิ
ซึ่งเขียนเป็นอักษรล้านนาได้ดังรูป

หลังจากนั้นจึงเริ่มก่ออิฐขึ้นโดยรอบเพื่อกันการพังทลายของดินรอบบ่อ การก่ออิฐโดยปกติจะก่อตามขนาดความกว้างของบ่อรวดเดียวถึงปากบ่อ แต่บางบ่อมีความลึกมากจึงต้องขยายความกว้างส่วนบนออกอีกขยักหนึ่ง โดยขยายออกประมาณ ๑ คืบ บ่อลักษณะนี้เรียก “น้ำบ่อสองตอน” เมื่อก่อเสร็จจะวาง
“ฅวักธรณี” คือกระทงใบตองใส่อาหาร ข้าวตอกดอกไม้ บอกกล่าวขอให้แม่พระธรณีเจ้าที่รักษาบ่ออย่าให้น้ำมีพิษมีภัย จากนั้นจึงตกแต่งบริเวณปากบ่อคือทำความสะอาด ลาดเทด้วยปูนที่เรียก สะทาย (อ่าน –
สะตาย) ให้เรียบร้อยเพื่อกันน้ำย้อนคืนลงบ่อ
เฉพาะบริเวณ ใกล้บ่อชาวบ้านมักจะทำลานที่ยกสูงขึ้นจากระดับดินเล็กน้อยไว้รอบ บ่อน้ำ เพื่อป้องกันมิให้น้ำจากพื้นดินไหลกลับลงไปในบ่อ ลานนั้นอาจเป็นลานดินอัดแน่น ลานที่ใช้อิฐเรียง หรือลานอิฐโปกปูนก็ได้ ซึ่งย่อมขึ้นกับสถานภาพทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และบนลานรอบน้ำบ่อนี้ อาจใช้เป็นที่ดำเนินกิจกรรมในบ้านได้หลายประการ เช่น ใช้เป็นที่ซักผ้า ใช้เป็นที่ล้างภาชนะจำนวนมากหลังจากงานบุญ ใช้เป็นที่อาบน้ำของเด็ก ๆ หรือพ่อเฒ่า แม่เฒ่า หรือใช้เป็นที่นั่งพักผ่อนก็ได้เช่นกัน
นอกจาก นี้เพื่อเป็นการป้องกันวัสดุต่าง ๆ มิให้ตกลงไปในบ่อน้ำ ชาวบ้านอาจทำฝาปิดด้วยวัสดุต่าง ๆ คือบ่อที่เป็นบ่อสาธารณะหรือบ่อน้ำในวัดนั้น ก็มักจะน้ำบ่อแบบมีหลังคาคลุม และมีหลุกคือกว้านสำหรับตักน้ำขึ้นมาจากบ่อ
ทำเป็นโรงคลุมบ่อน้ำนั้นไว้ บางแห่งอาจใช้ไม้กระดาษทำเป็นฝาปิดบ่อ หรือสานไม้ไผ่ขัดแตะปิดบ่อของตนตามกำลัง
วิธีการนำไปใช้
การนำน้ำขึ้นจากบ่อมาใช้โดยทั่วไปมี ๓ วิธี ได้แก่
๑. ใช้เชือก โดยผูกเชือกกับภาชนะตักน้ำจากบ่อที่เรียก “น้ำถุ้ง” ตักน้ำจากบ่อขึ้นมา
๒. ใช้หลุก คือใช้กว้านหรือล้อหมุนที่เรียก “หลุก” ปั่นเชือกที่ผูกน้ำถุ้งตักน้ำจากบ่อขึ้นมา
๓. ใช้แร้ว คือใช้คันโพง เบ็ดโพง หรือเบ็ดวง ซึ่งหมายถึงคันสำหรับถ่วงน้ำหนักเพื่อให้เบาแรงในการใช้น้ำถุ้ง (โพง) ตักน้ำจากบ่อ
การดูแลรักษา
บริเวณ รอบ ๆ น้ำบ่อ ต้องรักษาให้สะอาดเสมอ พร้อมทั้งคอยดูแลมิให้น้ำข้างบนไหลซึมลงบ่อ กรณีที่ยังไม่ใช้หรือเลิกใช้ต้องปิดปากบ่อด้วยฝาหรือแผ่นกระดานให้มิดชิด เพื่อกันธุลี ใบไม้ หรือสิ่งของที่จะตกลงไปในบ่อ ที่สำคัญจะต้องชักเอาน้ำและสิ่งตกค้างในบ่อหรือก้นบ่อออกอย่างน้อยหนึ่งปี หรือสองปีต่อครั้ง เพื่อให้บ่อสะอาดควรแก่การบริโภค การชักน้ำออกเพื่อทำความสะอาดนี้เรียกว่า “ลางน้ำบ่อ”
ความเชื่อเกี่ยวกับน้ำบ่อเก่า
๑. การถม
น้ำ บ่อที่ขุดใช้กันมานาน กรณีที่เลิกใช้ไม่ว่าจะเลิกใช้ทันทีหรือทิ้งให้ร้างมานานที่เรียกว่า “น้ำบ่อห่าง” จะถมโดยพลการไม่ได้ ด้วยมีความเชื่อว่าจะเกิดความอัปมงคลที่เรียกว่า “ขึด” เข้าข่ายในตำราขึดคือ “ถมสมุทร” ความอัปมงคลจะมีมานานาประการ และที่เชื่อกันทั่วไปคือจะทำให้ตาบอด ฉะนั้นจึงต้องมีพิธีกรรมแก้ขึดก่อนที่จะทำการถมต่อไป
พิธีกรรมดัง กล่าวคือการ “สูตรถอน” หมายถึงการนิมนต์พระมาทำการสวดมนต์เพื่อถอดถอนเอาบ่อคืนจากพญานาคและแม่พระ ธรณี อีกนัยหนึ่งก็เพื่อถอนเอาขึดทั้งมวลออกเสียก่อน โดยมีขั้นตอนดังนี้
๑. เตรียมเครื่องพลีกรรม ได้แก่
- ด้ายดิบ (สายสิญจน์)
- สะตวงใหญ่ (กระทงหยวก) กว้างประมาณ ๒ คืบ จำนวน ๑ กระทง ใส่ข้าวปลาอาหาร ผลไม้ เมี่ยง หมากพลู บุหรี่ อย่างละ ๑๒
- สะตวงเล็ก กว้างประมาณ ๑ คืบ จำนวน ๔ กระทง ใส่ข้าวปลาอาหาร ผลไม้ เมี่ยง หมากพลู บุหรี่ อย่างละ ๔
- เตรียมขันตั้ง (กำนล) ใส่กรวยดอกไม้ ๔ กรวย กรวยหมากพลู ๔ กรวย ข้าวเปลือก ๑ กระทง ข้าวสาร ๑ กระทง ผ้าขาวผ้าแดงอย่างละชิ้น เทียนเล่มบาท ๑ คู่ เทียนเล่มเฟื้อง ๑ คู่ เทียนน้อย ๔ คู่ ข้าวตอกดอกไม้
- น้ำส้มป่อย ๑ ขัน
๒. แผ้วถาง ปัดกวาดบริเวณให้สะอาด
๓. วางสะตวงใหญ่ใจกลางปากบ่อ โดยอาจใช้ไม้แผ่นพาดปากบ่อพอวางได้
๔. วางสะตวงเล็กบนพื้นดิน ๔ มุมของปากบ่อ
๕. ปักเสาล้อมรอบน้ำบ่อ ๔ ด้าน แล้วล้อมด้วยด้ายสายสิญจน์
๖. โยงสายสิญจน์จากสะตวงใหญ่ลงสู่กระทงเล็กทั้ง ๔
๗. นิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูปมาสวดถอน โดยมีพิธีคือ
- จุดเทียน ๑ เล่ม ธูป ๑ ดอก ทุกสะตวง
- พระสงฆ์ผู้เป็นประธานทำพิธี “โยงขันตั้ง” ระลึกถึงครูอาจารย์
- พระสงฆ์สวดมนต์ตามบนสูตรถอน แล้วดับเทียนธูปทั้ง ๔ ด้าน
- พระผู้เป็นประธานร่ายมนต์ถอนสะตวงใหญ่
- ยกสะตวงทั้งหมดออกจากบริเวณแล้วนำไปไว้นอกเขตรั้ว
- พระสงฆ์สวดชยันโตและมนต์อันเป็นมงคล ประพรมน้ำส้มป่อย
- ถวายปัจจัย พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นเสร็จพิธี
เมื่อกระทำการสูตรถอนแล้วจะถมทันทียังมิได้ ต้องคอยกวาดขยะมูลฝอยลงไปเรื่อย ๆ ทุกวันจนกว่าจะตื้นเขินและเต็มไปในที่สุด จึงจะพ้นขึด
๒. การล้าง
น้ำ บ่อเก่าที่เจ้าของไม่ใช้แล้วทิ้งไว้เป็น “น้ำบ่อห่าง” จะ ถมก็ไม่ถม ปล่อยให้ทิ้งไว้หมักหมมอยู่ ทำให้น้ำเน่าเสีย กรณีนี้เชื่อกันว่าหากมีการล้างให้สะอาดแล้วสถาปนาขึ้นใหม่ จะได้อานิสงส์หลายประการ เช่น หายขาดจากโรคภัย ได้โชคลาภ มีความเจริญทางด้านหน้าที่การงาน เป็นต้น การล้างน้ำบ่อในลักษณะนี้ต้องมีการสูตรถอนและทำบุญตามพิธีดังกล่าวข้างต้น เช่นกัน
๓. การปิดปากบ่อ
น้ำบ่อจะใช้อยู่หรือเลิกใช้ก็ตาม ต้องไม่ปิดปากบ่อถาวรโดยเด็ดขาด เพราะโบราณถือว่าเป็นการ
ปิดตาธรณี หากมีความจำเป็นต้องปิดก็ต้องเปิดช่องไว้สักแห่งหนึ่ง มิเช่นนั้นจะเกิดความอัปมงคลที่เรียกว่า ขึด
แหล่ง น้ำที่ขุดสร้างขึ้นเพื่อนำมาบริโภคใช้สอย เป็นของควบคู่กับวิถีชีวิตของมนุษย์มาแต่โบราณกาล ความผูกพันผนวกกับพื้นฐานทางวัฒนธรรมมักก่อให้เกิดเทคนิควิธี พิธีกรรมตามความเชื่อติดตามมา แม้กาลเวลาจะล่วงเลยไปอย่างไร สังคมจะแปรเปลี่ยนขนาดไหน สิ่งที่น่าสังเกตในปัจจุบัน แม้ความสำคัญของน้ำบ่ออาจลดน้อยลงเพราะมีการขุดเจาะน้ำบาดาลมาใช้หรือไม่ก็ ใช้เครื่องปั๊มน้ำดูดจากบ่อเดิมมาใช้ในระบบเดินท่อเปิดก๊อกก็ตาม การขุดเจาะหาแหล่งน้ำก็ยังพยายามให้อยู่ในทิศที่ถือว่าเป็นมงคล ยังมีการบนบานขอน้ำ มีการแก้บนเมื่อพบสายน้ำ การปิดปากบ่อเพื่อใช้ปั๊มน้ำยังต้องมีช่องระบาย (เพื่อมิให้ต้องขึด) การถมและล้างน้ำบ่อเก่ายังมีพิธีสูตรถอน ร่องรอยการปฏิบัติเช่นนี้ ถือเป็นสิ่งบ่งบอกความสำคัญของน้ำบ่อที่น่าจะมีต่อวิถีชีวิตของชาวล้านนาไป อีกนาน
มรดกล้านนา โดย สนั่น ธรรมธิ (ภาพประกอบโดย เสาวณีย์ คำวงค์)
ยันต์เก้ากลุ่ม
ตะกรุด ประเภทหนึ่งของล้านนา ที่ไม่เหมือนกับที่อื่น ได้แก่ "ยันต์เก้ากลุ่ม"(ล้านนาเรียก ตะกรุด ว่า ยันต์) มีลักษณะเป็นตะกรุด ๘ ดอก ถักด้วยด้ายล้อมรอบดอกที่เก้า ซึ่งอยู่ตรงกลาง ด้านบนถักเป็นกระจุก ด้านล่างปล่อยด้ายออกเป็นพู่พองาม
ยันต์เก้ากลุ่ม เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่ามีอานุภาพทางป้องกันภูติผีปีศาจ โดยเฉพาะภูติผีที่ชอบเบียดเบียนเด็กและสตรี แต่จากการศึกษาของท่านพระครูปลัดพยุงศักดิ์ ธีรธัมโม วัดควรค่าม้า อำเภอเมืองเชียงใหม่ พบว่ามียันต์เก้ากลุ่มที่ทรงคุณทางเมตตามหานิยม การทำมาค้าขายตลอดจนแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงอีกด้วย ซึ่งความแตกต่างจะอยู่ที่อักขระที่ใช้จารลงในตะกรุด และเพื่อให้เห็นความแตกต่างจะนำเอาตัวอย่างที่เขียนด้วยลายมือของท่านพระครู มาให้ชมดังนี้
นอกจากนี้ยังปรากฏยันต์เก้ากลุ่มที่เพิ่มรายละเอียดขั้นอีก โดยเพิ่มตะกรุดเล็ก ที่ลงอักขระพุทธคุณทีละตัวในสายสำหรับคล้องคอตั้งแต่ อิ ติ ปิ โส ภะ คะ วา จนถึง ภะ คะ วา ติ เป็นจำนวน ๕๔ ตัวอักขระ จากนั้นลงอักขระถอยหลังตั้งแต่ ติ วา คะ ภะ จนถึง โส ปิ ติ อิ อีก ๕๔ ตัว รวม เป็น ๑๐๘ ตัวอักขระ อักขระดังกล่าวต้องจารด้วยอักษรธรรมล้านนา และเรียกชื่อตะกรุดนี้ว่า "ยันต์เก้ากลุ่มสังวาลย์เป๊ก (สังวาลย์เพชร)"
สำหรับภาพตัวอย่าง ภาพแรกเป็นยันต์เก้ากลุ่มสำหรับกันภูติผีภาพต่อมาเป็นชนิดมหานิยมและค้าขาย และแคล้วคลาด สุดท้ายเป็นยันต์เก้ากลุ่มสังวาลย์เป๊ก
ปัจจุบันยันต์เก้ากลุ่มปรากฏให้เห็นน้อยมาก อาจเป็นเพราะผู้คนหันไปนิยมพระเครื่องเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจเป็นเพราะขาดผู้รู้และผู้ชำนาญในการสร้าง อย่างไรก็ตาม ถ้ากล่าวถึงคุณค่า ถือได้ว่าเป็นสมบัติทางปัญญาที่เป็นมรดกของล้านนาอย่างแท้จริง
สนั่น ธรรมธิ
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ยันต์เก้ากลุ่ม เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่ามีอานุภาพทางป้องกันภูติผีปีศาจ โดยเฉพาะภูติผีที่ชอบเบียดเบียนเด็กและสตรี แต่จากการศึกษาของท่านพระครูปลัดพยุงศักดิ์ ธีรธัมโม วัดควรค่าม้า อำเภอเมืองเชียงใหม่ พบว่ามียันต์เก้ากลุ่มที่ทรงคุณทางเมตตามหานิยม การทำมาค้าขายตลอดจนแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงอีกด้วย ซึ่งความแตกต่างจะอยู่ที่อักขระที่ใช้จารลงในตะกรุด และเพื่อให้เห็นความแตกต่างจะนำเอาตัวอย่างที่เขียนด้วยลายมือของท่านพระครู มาให้ชมดังนี้
นอกจากนี้ยังปรากฏยันต์เก้ากลุ่มที่เพิ่มรายละเอียดขั้นอีก โดยเพิ่มตะกรุดเล็ก ที่ลงอักขระพุทธคุณทีละตัวในสายสำหรับคล้องคอตั้งแต่ อิ ติ ปิ โส ภะ คะ วา จนถึง ภะ คะ วา ติ เป็นจำนวน ๕๔ ตัวอักขระ จากนั้นลงอักขระถอยหลังตั้งแต่ ติ วา คะ ภะ จนถึง โส ปิ ติ อิ อีก ๕๔ ตัว รวม เป็น ๑๐๘ ตัวอักขระ อักขระดังกล่าวต้องจารด้วยอักษรธรรมล้านนา และเรียกชื่อตะกรุดนี้ว่า "ยันต์เก้ากลุ่มสังวาลย์เป๊ก (สังวาลย์เพชร)"
สำหรับภาพตัวอย่าง ภาพแรกเป็นยันต์เก้ากลุ่มสำหรับกันภูติผีภาพต่อมาเป็นชนิดมหานิยมและค้าขาย และแคล้วคลาด สุดท้ายเป็นยันต์เก้ากลุ่มสังวาลย์เป๊ก
ปัจจุบันยันต์เก้ากลุ่มปรากฏให้เห็นน้อยมาก อาจเป็นเพราะผู้คนหันไปนิยมพระเครื่องเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจเป็นเพราะขาดผู้รู้และผู้ชำนาญในการสร้าง อย่างไรก็ตาม ถ้ากล่าวถึงคุณค่า ถือได้ว่าเป็นสมบัติทางปัญญาที่เป็นมรดกของล้านนาอย่างแท้จริง
สนั่น ธรรมธิ
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
น้ำต้นพระเจ้า
ล็ก ๆ งดงาม หนุ่มร่างรูปทรงลงตัว เป็นของดีใกล้ตัวอย่างที่หลายคนอาจมองข้าม มักมีอยู่ตามบ้านเรือนเก่า แถบถิ่นชนบทงดงามบ้านเรา ใช้ใส่น้ำถวายพระพุทธรูป เรียกว่าน้ำต้นพระเจ้า
ใช้ใส่น้ำวางไว้หิ้งผี เรียกว่าน้ำต้นผี
วัตถุสิ่งเดียวกัน บางทีจำแนกตามหน้าที่ คนเหมือนกัน บางครั้งนิยามบท กำหนดจำแนกแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่า คน ๆ นั้นทำหน้าที่อะไร บางคนเป็นครู บางคนเป็นหมอ เป็นพ่อค้า เป็นพระ หรือเป็นคนรกคนเรี่ย (คนฮกคนเฮี่ย) คนเราเอง เราเลื่อนชั้นหรือพูดให้เท่ว่า shift class ได้ด้วยการกระทำ
ทำให้ดี ทำให้ถึง ทำให้เต็มที่ ผลที่ได้อยู่ที่ใจ
ถ้าใจเป็นบุญ ใจก็ยกระดับได้เองโดยไม่ต้องรอให้ใครเลื่อนขั้น
น้ำต้นพรเจ้ามักเป็นวัตถุดินเผา เคยเห็นอยู่บ้างเหมือนกันที่เป็นไม้เคี่ยนไม่ควัก แล้วคว้านเอาเนื้อข้างในออกมา เดี๋ยวนี้ไม่มีการผลิตแล้วเพราะความต้องการหรือดีมานด์ไม่มี เพราะฉะนั้นหากใครมีเก็บไว้ในคอลเล็กชั่นก็โห่ร้องป้องปีกได้เลยละก็แฮ่ ม…ยังไม่สาย หากคุณจะออกไปตามบ้านนอกขอกแดนอันแสนไกล แสนจะทุลักทุเลทุเรศทุรน อย่างไปป่าเหมี้ยงแม่ลายหรือป่าเหมี้ยงปางหลวง เพื่อไปเสาะหาหม้อน้ำพระเจ้าหรือน้ำต้นพระเจ้า ข้อสำคัญอย่าไปกดราคาเขาจนต่ำเตี้ยติดดิน ชาวบ้านจะม่อยกระรอกกันอยู่แล้วพี่น้อยเอ๋ย เผื่อเหลือกันได้ก็เผื่อเหลือไปเถอะ แล้วค่อยไปบวกกำไรส่วนเกินเอาจากลูกค้ามหาเศรษฐีของคุณก็ได้ ว่าเข้าไปโน่น
อย่ามาถามเลยว่าแหล่งผลิตอยู่ที่ไหน ไม่รู้หรอก ตามหมู่บ้านปั้นหม้อปั้นโอ่งพื้นบ้านพื้นเมืองทั้งหลายกระมัง อย่างบ้านน้ำต้น อำเภอแม่วาง บ้านขุนคง บ้านเหมืองกุง อำเภอหางดง หรือหมู่บ้านนั้น ๆ มีปากก็ถามไปซี มีปากบ่ถาม น้ำฮู้บ่แตก คำบ่าเก่าว่าไว้อย่างนั้น แต่สมัยนี้คิดจะไปหาน้ำต้นพระเจ้าหรือน้ำต้นผีตามแหล่งผลิตดั้งเดิมคิดว่าไป หาของอื่นอาจง่ายกว่า อย่างไปหาผางประทีป หาที่หล่อน้ำตีนตู้เป็นต้น ด้วยว่าของเหล่านี้ยังหน้าที่การงานของมันอยู่ แต่น้ำต้นพระเจ้าเหมือนจะหมดหน้าที่เสียแล้ว
เคยดูหน้าพระเจ้าบนหิ้งไหม บางครั้งคล้ายพระเจ้าบ้านเราหน้าหมองนะ ขาดคนเอาใจใส่มานานแล้ว หยากไย่พันใย ผัวไปทาง เมียไปทาง ผัวแล่นขึ้นบก เมียวกลงน้ำ เปล่าหรอก ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้งแล้วแยกทาง แต่หมายถึงสภาพบีบรัดของสังคมปัจจุบันทำให้ผัวเมียต้องช่วยกันหาเงินอุดบัญชีจนไม่มีเวลาอยู่บ้านอยู่จอง จนไม่มีเวลาใส่ใจหิ้งพระ พระเจ้าจึงหน้าหมอง น้ำต้นพระเจ้าแห้งกากตาก ใบหมากผู้เคยเสียบหม้อดอกเขียวสดชุ่มเย็น ก็มาตายแห้งตายซงอยู่บนหิ้งพระนั้นเอง
หาน้ำต้นพรเจ้ามาสักใบ สถาปนาพระเจ้าบ้านเราขึ้นสักองค์ เอาไว้สักการะ เอาไว้ทบทวน เอาไว้เป็นเครื่องเตือนสติรู้หยุด รู้ยั้ง ไม่จะเป็นต้องไหว้พระในความหมายเดิมแบบพ่อแม่เราเคยไหว้ก็ได้ ความหมายมีหลายอย่าง บ้างก็ไหว้ขอหวย บ้างก็ไหว้เพราะกลัวผีหลอก บ้างก็ไหว้ขอเป็นที่พึ่ง
แล้วแต่คน แล้วแต่ว่าจะเป็นบัวเหล่าใด บัวเกิดร่วมกอยังรู้จำแนกเหล่า คนเราก็เหมือนกัน กำเนิดเหมือนกันแต่ยาวสั้นลึกตื้นหนาบางต่างกัน อย่ากลัวจะถูกหาว่าเชยเพราะไหว้พระ เป็นตัวของตัวเองเถอะ เอาแต่เอียงหูฟังหากระแสมันเหนื่อย
กระแสโลกวันนี้เชี่ยวกราก หากขาดสติไม่ไตร่ตรอง หากขาดความยั้งคิดพิจารณา เราจะตกจมในกระแสได้ง่ายเหลือเกิน ชะลอชีวิตลงบ้างเถอะ เอาใจใส่หิ้งพระเสียบ้าง ปัดกวด ชำระ เช็ดถู เติมน้ำใสน้ำต้นพระเจ้า เอาใบหมากผู้ปักเสียบหม้อดอกเสียบ้าง วัน ๆ หาเวลาอยู่กับพระให้ได้สักห้านาที เปิดรับกระแสพระปัญญาธิคุณและพระกรุณาธิคุณให้ได้ คุณปลอดภัยแน่นอน ชีวิตนี้
ใช้ใส่น้ำวางไว้หิ้งผี เรียกว่าน้ำต้นผี
วัตถุสิ่งเดียวกัน บางทีจำแนกตามหน้าที่ คนเหมือนกัน บางครั้งนิยามบท กำหนดจำแนกแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่า คน ๆ นั้นทำหน้าที่อะไร บางคนเป็นครู บางคนเป็นหมอ เป็นพ่อค้า เป็นพระ หรือเป็นคนรกคนเรี่ย (คนฮกคนเฮี่ย) คนเราเอง เราเลื่อนชั้นหรือพูดให้เท่ว่า shift class ได้ด้วยการกระทำ
ทำให้ดี ทำให้ถึง ทำให้เต็มที่ ผลที่ได้อยู่ที่ใจ
ถ้าใจเป็นบุญ ใจก็ยกระดับได้เองโดยไม่ต้องรอให้ใครเลื่อนขั้น
น้ำต้นพรเจ้ามักเป็นวัตถุดินเผา เคยเห็นอยู่บ้างเหมือนกันที่เป็นไม้เคี่ยนไม่ควัก แล้วคว้านเอาเนื้อข้างในออกมา เดี๋ยวนี้ไม่มีการผลิตแล้วเพราะความต้องการหรือดีมานด์ไม่มี เพราะฉะนั้นหากใครมีเก็บไว้ในคอลเล็กชั่นก็โห่ร้องป้องปีกได้เลยละก็แฮ่ ม…ยังไม่สาย หากคุณจะออกไปตามบ้านนอกขอกแดนอันแสนไกล แสนจะทุลักทุเลทุเรศทุรน อย่างไปป่าเหมี้ยงแม่ลายหรือป่าเหมี้ยงปางหลวง เพื่อไปเสาะหาหม้อน้ำพระเจ้าหรือน้ำต้นพระเจ้า ข้อสำคัญอย่าไปกดราคาเขาจนต่ำเตี้ยติดดิน ชาวบ้านจะม่อยกระรอกกันอยู่แล้วพี่น้อยเอ๋ย เผื่อเหลือกันได้ก็เผื่อเหลือไปเถอะ แล้วค่อยไปบวกกำไรส่วนเกินเอาจากลูกค้ามหาเศรษฐีของคุณก็ได้ ว่าเข้าไปโน่น
อย่ามาถามเลยว่าแหล่งผลิตอยู่ที่ไหน ไม่รู้หรอก ตามหมู่บ้านปั้นหม้อปั้นโอ่งพื้นบ้านพื้นเมืองทั้งหลายกระมัง อย่างบ้านน้ำต้น อำเภอแม่วาง บ้านขุนคง บ้านเหมืองกุง อำเภอหางดง หรือหมู่บ้านนั้น ๆ มีปากก็ถามไปซี มีปากบ่ถาม น้ำฮู้บ่แตก คำบ่าเก่าว่าไว้อย่างนั้น แต่สมัยนี้คิดจะไปหาน้ำต้นพระเจ้าหรือน้ำต้นผีตามแหล่งผลิตดั้งเดิมคิดว่าไป หาของอื่นอาจง่ายกว่า อย่างไปหาผางประทีป หาที่หล่อน้ำตีนตู้เป็นต้น ด้วยว่าของเหล่านี้ยังหน้าที่การงานของมันอยู่ แต่น้ำต้นพระเจ้าเหมือนจะหมดหน้าที่เสียแล้ว
เคยดูหน้าพระเจ้าบนหิ้งไหม บางครั้งคล้ายพระเจ้าบ้านเราหน้าหมองนะ ขาดคนเอาใจใส่มานานแล้ว หยากไย่พันใย ผัวไปทาง เมียไปทาง ผัวแล่นขึ้นบก เมียวกลงน้ำ เปล่าหรอก ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้งแล้วแยกทาง แต่หมายถึงสภาพบีบรัดของสังคมปัจจุบันทำให้ผัวเมียต้องช่วยกันหาเงินอุดบัญชีจนไม่มีเวลาอยู่บ้านอยู่จอง จนไม่มีเวลาใส่ใจหิ้งพระ พระเจ้าจึงหน้าหมอง น้ำต้นพระเจ้าแห้งกากตาก ใบหมากผู้เคยเสียบหม้อดอกเขียวสดชุ่มเย็น ก็มาตายแห้งตายซงอยู่บนหิ้งพระนั้นเอง
หาน้ำต้นพรเจ้ามาสักใบ สถาปนาพระเจ้าบ้านเราขึ้นสักองค์ เอาไว้สักการะ เอาไว้ทบทวน เอาไว้เป็นเครื่องเตือนสติรู้หยุด รู้ยั้ง ไม่จะเป็นต้องไหว้พระในความหมายเดิมแบบพ่อแม่เราเคยไหว้ก็ได้ ความหมายมีหลายอย่าง บ้างก็ไหว้ขอหวย บ้างก็ไหว้เพราะกลัวผีหลอก บ้างก็ไหว้ขอเป็นที่พึ่ง
แล้วแต่คน แล้วแต่ว่าจะเป็นบัวเหล่าใด บัวเกิดร่วมกอยังรู้จำแนกเหล่า คนเราก็เหมือนกัน กำเนิดเหมือนกันแต่ยาวสั้นลึกตื้นหนาบางต่างกัน อย่ากลัวจะถูกหาว่าเชยเพราะไหว้พระ เป็นตัวของตัวเองเถอะ เอาแต่เอียงหูฟังหากระแสมันเหนื่อย
กระแสโลกวันนี้เชี่ยวกราก หากขาดสติไม่ไตร่ตรอง หากขาดความยั้งคิดพิจารณา เราจะตกจมในกระแสได้ง่ายเหลือเกิน ชะลอชีวิตลงบ้างเถอะ เอาใจใส่หิ้งพระเสียบ้าง ปัดกวด ชำระ เช็ดถู เติมน้ำใสน้ำต้นพระเจ้า เอาใบหมากผู้ปักเสียบหม้อดอกเสียบ้าง วัน ๆ หาเวลาอยู่กับพระให้ได้สักห้านาที เปิดรับกระแสพระปัญญาธิคุณและพระกรุณาธิคุณให้ได้ คุณปลอดภัยแน่นอน ชีวิตนี้
โดย มาลา คำจันทร์-ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ
แม่ยอดเรือน……..สตรีล้านนารุ่นแรกที่ได้เรียนหนังสือ
|
ผู้หญิงสมัยก่อนที่อ่านออกเขียนได้ แทนที่จะได้รับคำชม กลับถูกตำหนิ ถึงกับมีคำประชดผู้หญิงเมืองเหนือที่เรียนหนังสือว่า อี่หนานยะ-อี่หนานแม่ญิง (หนาน เป็นคำเรียกผู้ชายที่เคยบวชเรียนเป็นพระภิกษุมาก่อน เหมือนกับคำว่า ทิด ในภาคกลาง)
ดร.แดเนียล แมคกิลวารี มิชขันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน เดินทางมาถึงพระนครกรุงสยาม พ.ศ. 2401 เพื่อเผยแพร่คริสตศาสนาด้วยความมุ่งมั่น หลังจากนั้นอีก 2 ปี ได้สมรสกับ โซเฟีย บุตรีของหมอบรัดเลย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เพราะมีคุณูปการต่อแผ่นดินสยาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ วิทยาการด้านการพิมพ์ หรือการออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกในประเทศไทย ชื่อ บางกอกรีคอร์เดอร์ ฯลฯ ดร.แดเนียล แมคกิลวารีและครอบครัวอยู่ประจำที่พระนคร จนกระทั่งปี พ.ศ. 2406 ดร.แดเนียล แมคกิลวารี พร้อมด้วย ดร.โยนาธาน วิลสันได้เดินทางขึ้นมาสำรวจมณฑลพายัพ เพื่อหาลู่ทางในการประกาศพระกิตติคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่สภาพการณ์ทุกอย่างยังไม่พร้อมจึงเดินทางกลับพระนคร
การกลับมาเยือนนครเชียงใหม่อีกครั้งของดร.แดเนียล แมคกิลวารี และโซเฟีย กับลูกเล็ก ๆ อีก 2 คน ในปี พ.ศ. 2410 ตรงกับสมัยของ เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ (เจ้าขีวิตอ้าว)เป็นผู้ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งมีฐานะเป็นประเทศราช ส่งบรรณาการต่อพระนคร แต่มีอิสระในการปกครองภายในอย่างเต็มที่ การเผยแพร่ศาสนาของ ดร.แดเนียล แมคกิลวารี เต็มไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรคนานัปการ เนื่องจากเป็นการเผยแพร่คริสตธรรมในดินแดนลี้ลับที่ชาวพื้นเมืองไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง เรื่องราวของพระเจ้า หรือ พบเห็นชาวตะวันตกมาก่อนในชีวิต แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติภารกิจหลักสำคัญ 3 ประการของมิชชันนารี คือ สอนศาสนา รักษาโรค และก่อตั้งโรงเรียนแบบตะวันตก ต่อมาดร.แดเนียล แมคกิลวารี ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นเนื่องจากได้มีโอกาสรักษาอาการป่วยให้กับชายาของเจ้าหลวง ในปี พ.ศ. 2413 จึงได้รับประทานที่ดินหนึ่งแปลงให้ปลูกบ้านพักอาศัยและการสร้างโรงเรียนสตรีด้วย ซึ่งตั้งอยู่เชิงสะพานนวรัฐตลอดไปจนข้าง โรงพยาบาลจินดา สิงหเนตร (ปัจจุบัน คือ โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน และ คริสตจักรที่หนึ่ง เชียงใหม่)เนื่องจากครอบครัวของผู้เข้ารีตมีเด็กผู้หญิงหลายคนที่มาอาศัยอยู่ด้วยที่บ้าน แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ โซเฟียภรรยาจึงคิดสอนหนังสือแก่เด็กหญิง ทำให้เกิดเป็นโรงเรียนสตรีแห่งแรกในนครเชียงใหม่ ซึ่งเรียกชื่อกันติดปากว่า โรงเรียนสรตีสันป่าข่อย ก่อนที่โซเฟียจะขอพระราชทานนามจากพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ซึ่งพระองค์ทรงขอพระราชทานนามต่อจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นที่มาของมงคลนามว่า โรงเรียนพระราชชายา (ก่อนเปลี่ยนเป็น โรงเรียนดาราวิทยาลัย บริเวณหนองเส้ง ในปัจจุบัน)
แม่ยอดเรือน มณีศักดิ์ เป็นชาวบ้านแม่ดอกแดง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรีของพ่อเฒ่ามากุลา และแม่นางน้อย มีพี่น้อง 7 คน ตามลำดับคือ 1.ครูอุ่น 2.ปู่ทา 3.ปู่ปั๋น 4.แม่แก้ว 5.แม่คำ 6.แม่ยอดเรือน 7.แม่อัด ซึ่งความเด็ดเดี่ยวของแม่ยอดเรือนเป็นเรื่องน่าพิจารณามาก เนื่องจากเด็กผู้หญิงในยุคกว่า 100 ปีก่อน เหตุใดจึงตัดสินใจยอมมาอยู่กับชาวต่างชาติที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ในวัยเพียง 8 ขวบเท่านั้น โดยหวังว่าจะได้เล่าเรียนหนังสือ เนื่องจากเป็นคนใฝ่เรียนและชอบร้องเพลงในโบสถ์วันอาทิตย์ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะแม่ยอดเรือนได้มีโอกาสเล่าเรียนหนังสือ ได้รับการอบรมมารยาท ขนบธรรมเนียมตามแบบชาวตะวันตก มีความสามารถด้านการร้องเพลง และอ่านโน๊ตดนตรีได้ เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของ ดร.แดเนียล แมคกิลวารี และโซเฟียอย่างมาก เมื่อแม่ยอดเรือนเรียนจบชั้นหมู่ 3 ได้ทำหน้าที่เป็นครูที่โรงเรียนพระราชชายา และนับเป็นสตรีไทยคนแรกที่ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ของโรงเรียนพระราชชายาในเวลาต่อมา
แม่ยอดเรือนได้ออกกเรือนแต่งงานเมื่ออายุ 25 ปี กับนายบุญปั๋น มณีศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและผู้ปกครองคริสตจักรบ้านแม่ดอกแดง ที่ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ขุนฉิมพลี เรืองบุญ ซึ่งมีฐานะเป็นพ่อหม้าย ภรรยาเก่าชื่อ แม่จันทร์สม มีลูกติดมาด้วยถึง 3 คน คือ แม่จุ้ม แม่คำปัน แม่ใจ๋ ที่แม่ยอดเรือนได้ให้ความรักความเมตตาอย่างดีตามแบบฉบับครูที่ดี ซึ่งแม่ยอดเรือนได้มีลูกของตนเองกับขุนฉิมพลี รวม 4 คน เป็นชาย 2 คน แต่ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก และมีลูกสาวอีก 2 คน คือ แม่ศรีมุก และแม่ศรีทอง ซึ่งต่อมามีบทบาทในแวดวงคริสจักร
แม่ยอดเรือน ได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่มีความเรียบร้อย มีระเบียบ รักความสะอาด เคยรับจ้างรีดผ้า ราคาผืนละ 3 สตางค์ โดยใช้วิธีลงแป้งบีบจากน้ำข้าวและรีดให้เรียบ ซึ่งสมัยนั้นยังไม่เคยมีมาก่อนจึงได้รับความนิยมมาก สำหรับเครื่องรีดผ้านั้นได้รับมอบมาจาก ดร.วิลเลียม แฮริส ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับขุนฉิมพลี ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นพ่อสื่อที่ช่วยให้ความรักของแม่ยอดเรือนกับขุนฉิมพลีสำเร็จได้ด้วยดี ทั้งที่ฝ่ายชายเป็นพ่อหม้าย และแม่ยอดเรือนก็เป็นสาวงามที่มีผู้ชายมาติดพันหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ครูศรีโอ๊ะ ครูคำอ้าย ส่วนขุนฉิมพลี เรืองบุญ ก็มีหน้าที่ออกบริการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษให้กับชาวบ้านตามคำสั่งของทางราชการ โดยได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 1 แถบรูปี จากความมานะพยายามและขยันหมั่นเพียรของแม่ยอดเรือนและขุนฉิมพลี ทำให้ครอบครัวมีความเป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้น แม่ยอดเรือนจึงเป็นสตรีล้านนาที่มีการศึกษา คอยให้ความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านและทุ่มเทแรงกาย แรงใจให้กับงานของคริสตจักรเป็นอย่างดี ช่วยสืบสานปณิธานของดร.แดเนียล แมคกิลวารี โดย อบรมสั่งสอนทุกคนในครอบครัวให้อธิษฐานพระเจ้าพร้อมกันก่อนนอนเสมอ สอนเกี่ยวกับบัญญัติ 10 ประการ คำสารภาพบาปและหนังสือคำถาม-คำแก้ ฯลฯ แม่ยอดเรือน มณีศักดิ์ ประสบอุบัติเหตุหกล้มขาหัก เมื่ออายุ 86 ปี ต้องนอนรักษาตัวนานถึง 7 ปี โดยเป็นคนไข้ของพ่อเลี้ยงหมอคอร์ท แห่งโรงพยาบาลแมคคอร์มิค และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1968) รวมอายุได้ 93 ปี
เรื่องราวของแม่ยอดเรือนจึงเป็นชีวิตของสตรีล้านนาที่มีหัวก้าวหน้า ใส่ใจเรื่องการศึกษา นับเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้หญิงยุคนี้ได้ ทั้งที่มีเพียงยุคสมัยเท่านั้นเป็นข้อแตกต่าง
โดย บงกช สุทัศน์ ณ อยุธยา ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสืมพิมพ์พลเมืองเหนือ
พระเจ้าไม้
คนล้านนาเรียกขานพระพุทธรูปว่า พระเจ้า ส่วนว่าจะสร้างจะแปลงด้วยวัสดุใด ก็เติมชื่อวัสดุนั้นตามหลัง เช่น พระเจ้าไม้ พระเจ้าตอง พระเจ้าปูน เป็นต้น
พระ เจ้าไม้ เป็นพระเจ้าของชาวเหนือโดยแท้ ล้านนาอุดมด้วยป่าไม้ดงหนาป่าคาดงกว้าง บ้านเรือนและวิหารศาสนสถานต่าง ๆ สร้างแปลงด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งพระพุทธพิมพาสารูปเจ้าที่ศรัทธาหน้าบุญทั้งหลายสร้างถวายวัดเพื่อสืบ ต่อพระศาสนา ชาวบ้านไพร่ฟ้าทั้งหลายมีใจใคร่สร้างพระเจ้าเพื่อถวายวัด จะหาวัสดุสร้างเป็นเงินฅำก่ำเส้าด้วยสำริดทองแข่หรือสลักขวักด้วยแก้วด้วย หินเพื่อให้ได้อานิสงส์มากมายเหมือนเจ้าเหมือนนายนั้นทำได้ยาก ไม้มีมากก็ทำพระเจ้าด้วยไม้ แม้อานิสงส์จะได้น้อยแต่ก็มีใจใสศรัทธา ได้เท่าใดก็เอาเท่านั้นตามประสายาก พระเจ้าไม้จึงเป็นพระเจ้าของคนทุกข์คนยากโดยแท้ และจะพบพระเจ้าไม้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ไม้มีมากหรือคนจนมีมากก็ไม่รู้แน่
แต่เดิมพระเจ้าไม้จะประดิษฐานตามแท่นแก้วหรือตามจ๊อกแจ่งในพระวิหาร แต่ในปี พ.ศ.นี้ พระเจ้าไม้มักจะอยู่ในตู้มีกรงเหล็กล้อม หรืออยู่ตามตู้โชว์ร้านขายของเก่าทั่วไป บางร้านมีพระเจ้าไม้มากกว่าในวัดหลาย ๆ วัดรวมกันเสียอีก ไม้ผุพังได้ง่าย เมื่อรื้อวิหารหลวงพระเจ้าไม้ถูกแดดถูกฝนก็ผุพังคอหักคอหล่อนไปตามกาล ชาวบ้านจึงนำมาฝากไว้ที่ใต้ต้นโพ ฝรั่งดังขอชาวต่างชาติรู้ค่าจึงเก็บรักษาในฐานะเป็นวัตถุโบราณ นาน ๆ ไปพระเจ้าที่ใต้ตนโพหมด ในพระวิหารก็จะหมดตาม จนธุเจ้าสามเณรต้องอาราธนาท่านเข้าประดิษฐานในตู้ลั่นกุญแจ
ไม้ สร้างพระเจ้ามีหลากหลาย คนโบราณนิยมนำไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลและมีชื่ออันเกี่ยวเนื่องกับพุทธตำนานมาส ร้าง ไม้จันทน์หอมไม่ว่าจันทน์ขาวจันทน์แดงเป็นไม้แพงค่าหายากด้วยว่ามีกลิ่นหอม พระเจ้าไม้จันทน์จึงหายาก ในตำนานกล่าวว่า พระเจ้าไม้จันทน์คือพระพุทธรูปองค์แรกที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล ส่วนพระเจ้าที่สร้างจากไม้สักก็พบเป็นจำนวนมาก คงเพราะแกะสลักง่ายและทนปลวกมอดแมง อีกทั้งมีชื่อพ้องกับคำว่าศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์ศรี ก็อาจจะเป็นได้ ในตำนานการสร้างพระเจ้าไม้สมฤทธิ์ฉบับวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ต.ในเวียง อ. เมือง จ. น่าน ที่อาจารย์นิยม สองสีโย ได้กรุณามอบให้ผู้เขียน กล่าวถึงไม้สร้างพระเจ้าไว้ว่า
บุคคละผู้ใดมีสัทธาจักสร้างแปลงพุทธรูปเจ้าสมฤทธิ์นั้น หื้อเอาไม้เท้า ไม้หนุน ไม้บุญนาค ไม้มะมา ไม้ตัน ไม้สรี ไม้พระญายอ มาประสมกัน คือว่า แท่นไม้เท้า ตัวไม้หนุน ใจไม้บุญนาค บ่าทั้ง 2 ไม้แก้ว พระหัตถ์ซ้ายไม้มะมา พระหัตถ์ขวาไม้ทัน พระเศียรไม้สรี พระโมฬี ไม้พระญายอ สร้างเสร็จแล้วอบรมสมโภช ไว้เป็นที่ไหว้สักการะปูชาแก่คนและเทวดา เพื่อสืบศานาดั่งอั้นจักสมคำปรารถนาแห่งท่านชู่ประการเหมือนชื่อพระพุทธรูปนั้นแล
พระสมฤทธิ์คือพระเจ้าไม้ที่สร้างจากไม้หลายชนิดรวมกัน แต่ส่วนมากพระเจ้าไม้ที่พบจะสร้างจากไม้ชนิดเดียวทั้งองค์ หรือมีเพียงส่วนสำคัญ ๆ ที่ใช้ไม้ต่างประเภทกัน เช่น พระเศียร พระหัตถ์ ฐาน เป็นต้น โดยใช้สลักไม้ยึด
เมื่อสลักขวักไม้เป็นสารูปพระเจ้าแล้ว ก็ลงรักลงชาดปิดทอง คำล้านนาว่า ลงฮักลงหางติดฅำ ขั้นตอนต่อมาคือ จารึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ฐานพระ เริ่มด้วยวันเดือนปีที่สร้าง นามผู้สร้าง จุดประสงค์การสร้างและความปรารถนาของผู้สร้าง ดังจะขอยกตัวอย่างคำจารึกฐานพระเจ้าไม้องค์หนึ่ง ซึ่งปรากกฏดังนี้
จุลศักราชได้ 1245 ตัว ปลีกล่าเม็ด เดือน 5 เพ็ง เม็งวันจันทร์ ปฐมมูลศรัทธา หนานสุริยะ เป็นเค้า พร่ำพร้อมกับด้วยภริยาลูกเต้า พ่อแม่พี่น้องชุ่ผู้ชุ่คน ได้ริรังสร้างแปลงยังพุทธรูปเจ้าไม้จันทน์องค์ 1 ไว้ค้ำชูโชตกะศาสนา 5000 พระวัสสา หื้อเป็นที่ไหว้แก่ฅนแลเทวาชู่ผู้ชู่องค์ เมทานํ นิพพานํ ปรมํ สุขํ ข้าขอเอาสุข 3 ประการ อันมีสุขในเมืองฟ้า สุขในเมืองคน มีนิพพานเจ้าเป็นยอด แด่เทิอะ
ขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างพระเจ้าไม้คือการอบรมสมโภช หมายถึงการบวชสารูปพระเจ้าให้เป็นพระพุทธรูปเจ้าโดยสมบูรณ์ ทุกวันนี้ พระเจ้าไม้หายากขึ้นทุกที ใครมีก็เอาไว้ไหว้สา มิใช่ว่าเห็นว่าเป็นไม้ก็ละขว้าง รักชอบพอแต่พระเจ้าโลหะ ผู้เขียนขอฝากพระเจ้าไม้ พระเจ้าของคนทุกข์คนยากไว้บนหิ้งพระ บ้างจิ่มแด่เทิอะ
วิลักษณ์ ศรีป่าซาง
พระ เจ้าไม้ เป็นพระเจ้าของชาวเหนือโดยแท้ ล้านนาอุดมด้วยป่าไม้ดงหนาป่าคาดงกว้าง บ้านเรือนและวิหารศาสนสถานต่าง ๆ สร้างแปลงด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งพระพุทธพิมพาสารูปเจ้าที่ศรัทธาหน้าบุญทั้งหลายสร้างถวายวัดเพื่อสืบ ต่อพระศาสนา ชาวบ้านไพร่ฟ้าทั้งหลายมีใจใคร่สร้างพระเจ้าเพื่อถวายวัด จะหาวัสดุสร้างเป็นเงินฅำก่ำเส้าด้วยสำริดทองแข่หรือสลักขวักด้วยแก้วด้วย หินเพื่อให้ได้อานิสงส์มากมายเหมือนเจ้าเหมือนนายนั้นทำได้ยาก ไม้มีมากก็ทำพระเจ้าด้วยไม้ แม้อานิสงส์จะได้น้อยแต่ก็มีใจใสศรัทธา ได้เท่าใดก็เอาเท่านั้นตามประสายาก พระเจ้าไม้จึงเป็นพระเจ้าของคนทุกข์คนยากโดยแท้ และจะพบพระเจ้าไม้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ไม้มีมากหรือคนจนมีมากก็ไม่รู้แน่
แต่เดิมพระเจ้าไม้จะประดิษฐานตามแท่นแก้วหรือตามจ๊อกแจ่งในพระวิหาร แต่ในปี พ.ศ.นี้ พระเจ้าไม้มักจะอยู่ในตู้มีกรงเหล็กล้อม หรืออยู่ตามตู้โชว์ร้านขายของเก่าทั่วไป บางร้านมีพระเจ้าไม้มากกว่าในวัดหลาย ๆ วัดรวมกันเสียอีก ไม้ผุพังได้ง่าย เมื่อรื้อวิหารหลวงพระเจ้าไม้ถูกแดดถูกฝนก็ผุพังคอหักคอหล่อนไปตามกาล ชาวบ้านจึงนำมาฝากไว้ที่ใต้ต้นโพ ฝรั่งดังขอชาวต่างชาติรู้ค่าจึงเก็บรักษาในฐานะเป็นวัตถุโบราณ นาน ๆ ไปพระเจ้าที่ใต้ตนโพหมด ในพระวิหารก็จะหมดตาม จนธุเจ้าสามเณรต้องอาราธนาท่านเข้าประดิษฐานในตู้ลั่นกุญแจ
ไม้ สร้างพระเจ้ามีหลากหลาย คนโบราณนิยมนำไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลและมีชื่ออันเกี่ยวเนื่องกับพุทธตำนานมาส ร้าง ไม้จันทน์หอมไม่ว่าจันทน์ขาวจันทน์แดงเป็นไม้แพงค่าหายากด้วยว่ามีกลิ่นหอม พระเจ้าไม้จันทน์จึงหายาก ในตำนานกล่าวว่า พระเจ้าไม้จันทน์คือพระพุทธรูปองค์แรกที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล ส่วนพระเจ้าที่สร้างจากไม้สักก็พบเป็นจำนวนมาก คงเพราะแกะสลักง่ายและทนปลวกมอดแมง อีกทั้งมีชื่อพ้องกับคำว่าศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์ศรี ก็อาจจะเป็นได้ ในตำนานการสร้างพระเจ้าไม้สมฤทธิ์ฉบับวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ต.ในเวียง อ. เมือง จ. น่าน ที่อาจารย์นิยม สองสีโย ได้กรุณามอบให้ผู้เขียน กล่าวถึงไม้สร้างพระเจ้าไว้ว่า
บุคคละผู้ใดมีสัทธาจักสร้างแปลงพุทธรูปเจ้าสมฤทธิ์นั้น หื้อเอาไม้เท้า ไม้หนุน ไม้บุญนาค ไม้มะมา ไม้ตัน ไม้สรี ไม้พระญายอ มาประสมกัน คือว่า แท่นไม้เท้า ตัวไม้หนุน ใจไม้บุญนาค บ่าทั้ง 2 ไม้แก้ว พระหัตถ์ซ้ายไม้มะมา พระหัตถ์ขวาไม้ทัน พระเศียรไม้สรี พระโมฬี ไม้พระญายอ สร้างเสร็จแล้วอบรมสมโภช ไว้เป็นที่ไหว้สักการะปูชาแก่คนและเทวดา เพื่อสืบศานาดั่งอั้นจักสมคำปรารถนาแห่งท่านชู่ประการเหมือนชื่อพระพุทธรูปนั้นแล

เมื่อสลักขวักไม้เป็นสารูปพระเจ้าแล้ว ก็ลงรักลงชาดปิดทอง คำล้านนาว่า ลงฮักลงหางติดฅำ ขั้นตอนต่อมาคือ จารึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ฐานพระ เริ่มด้วยวันเดือนปีที่สร้าง นามผู้สร้าง จุดประสงค์การสร้างและความปรารถนาของผู้สร้าง ดังจะขอยกตัวอย่างคำจารึกฐานพระเจ้าไม้องค์หนึ่ง ซึ่งปรากกฏดังนี้
จุลศักราชได้ 1245 ตัว ปลีกล่าเม็ด เดือน 5 เพ็ง เม็งวันจันทร์ ปฐมมูลศรัทธา หนานสุริยะ เป็นเค้า พร่ำพร้อมกับด้วยภริยาลูกเต้า พ่อแม่พี่น้องชุ่ผู้ชุ่คน ได้ริรังสร้างแปลงยังพุทธรูปเจ้าไม้จันทน์องค์ 1 ไว้ค้ำชูโชตกะศาสนา 5000 พระวัสสา หื้อเป็นที่ไหว้แก่ฅนแลเทวาชู่ผู้ชู่องค์ เมทานํ นิพพานํ ปรมํ สุขํ ข้าขอเอาสุข 3 ประการ อันมีสุขในเมืองฟ้า สุขในเมืองคน มีนิพพานเจ้าเป็นยอด แด่เทิอะ
ขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างพระเจ้าไม้คือการอบรมสมโภช หมายถึงการบวชสารูปพระเจ้าให้เป็นพระพุทธรูปเจ้าโดยสมบูรณ์ ทุกวันนี้ พระเจ้าไม้หายากขึ้นทุกที ใครมีก็เอาไว้ไหว้สา มิใช่ว่าเห็นว่าเป็นไม้ก็ละขว้าง รักชอบพอแต่พระเจ้าโลหะ ผู้เขียนขอฝากพระเจ้าไม้ พระเจ้าของคนทุกข์คนยากไว้บนหิ้งพระ บ้างจิ่มแด่เทิอะ
วิลักษณ์ ศรีป่าซาง
เป้งล้านนา
นง้างฟ้าห่าหลวงมาอิ่มโลก อันใดที่เคยเหี่ยวแห้งกลับพรึบเขียวอยู่ถ้วนทั่ว ทั้งกอหญ้าต้นไม้และใจคน ฝนปีนี้มาแปลกตกชนิดที่ไม่มีฟ้าร้องฟ้าผ่า เห็ดถอบออกไวก็แก่ไว หน่วยใดในขาวลิตรละร้อยแปดสิบ แพงกว่าเนื้อแดงสันนอก เห็ดไข่ห่านไข่เหลืองซ้ำถูก กองละห้าบาทบานเต็มตลาดประตูเชียงใหม่ เอาแกงใส่ยอดมะขามกลืนลื่นคอแท้ เดือนม่วนฝนฉ่ำยามนี้ จะพาไปแอ่ว พิพิธภัณฑ์บ้านฝิ่นที่เชียงแสน ดินแดนแห่งน้ำฝนล้นฟ้า แล
เจ้าของพิพิธภัณฑ์ใจดี นาม พัชรี ศรีมัธยกุล ประจงเก็บเรื่องราวหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับดินแดนสามเหลี่ยมทองฅำแล้วนำมารวมกัน และที่มีชื่อเสียงเห็นจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ฝิ่น ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นของมีค่าที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ของมีค่าบรรดามี เช่น กล้องสูบฝิ่นราคาแพงเท่ารถยนต์มือสองมีอยู่หลายร้อยอัน รวมทั้งอุปกรณ์สุขารมณ์ต่าง ๆ ก็มีเป็นพัน ๆ ชิ้น และที่สำคัญที่จะเขียนถึงในวันนี้คือ เป้ง มีมากมายจนนับไม่ถ้วน กลายเป็นเรื่องโดนใจให้เขียนงานสนุก ๆ มาฝากแฟน ๆ
เป้ง หรือ ลูกเป้ง หมายถึงตัวถ่วงน้ำหนักที่ใช้กับเครื่องชั่งโบราณหรือตราชู คนล้านนาเรียกชั่งชนิดนี้ว่า ยอย ด้านหนึ่งมีจานใส่ของเรียกผางยอย ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นที่ใส่ตัวถ่วงน้ำหนัก คือ เป้ง ลูกเป้งทำจากโลหะส่วนมากเป็นสำริดที่เป็นทองเหลืองก็มี มีหลายขนาด ทำเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น นก เป็ด หงส์และสัตว์ตามปีนักษัตร หรือทำเป็นลูกกลม ๆ ไม่ตกแต่งลวดลาย
เป้งบางตัวมีเนื้อตะกั่วเติมเข้าไปเพื่อให้ได้น้ำหนักครบตามจำนวน
ความสำคัญของลูกเป้งนั้น นอกจากจะเป็นเครื่องถ่วงน้ำหนักดังกล่าวแล้ว คนล้านนายังใช้ลูกเป้งแทนค่าได้อีกหลายนัย
นัยแรกแทนค่าเป็นทรัพย์สินเช่นเดียวกับเงินตรา เช่นในขันตั้งอย่างล้านนาที่ใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ จะใส่ลูกเป้งในขันนั้นด้วย ถือเป็นของมีค่ามีราคาแทนทรัพย์สิน นัยต่อมา ลูกเป้งรูปนักษัตร หรือเป้งสิบสองราศี ใช้ใส่ขันตั้งเพื่อให้ขันตั้งนั้นเกิดสัมฤทธิผลมากขึ้น เพราะฤทธีของลูกเป้งสามารถปราบแพ้ขึดหรือเสนียดจัญไรได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะขันตั้งในพิธีกรรมสำคัญ ๆ เช่น การสืบชาตาบ้านเมือง เป็นต้น อีกนัยหนึ่งนั้น ลูกเป้งหมายถึงตัวนำโชค ทำนองเดียวกับเครื่องราง แต่เป็นเครื่องรางที่ใช้งานได้
นอกจากนี้ยังเรียกถุงผ้าขนาดเล็กมีหูรูดที่ใช้ใส่เงินพกติดเอวโดยเหน็บกับเข็มขัด เรียกว่า ถงเป้ง หรือ ถุงเป้ง ส่วนถุงที่ใส่ลูกเป้งโดยตรงนั้นเท่าที่เคยเห็นจะใช้ผ้าเย็บทำเป็นถุงลักษณะคล้ายร่มชูชีพ ใส่ลูกเป้งหลาย ๆ ตัว ส่วนยอยเครื่องชั่งตราชูจะใส่ในตลับไม้ซึ่งต้องออกแบบให้ใส่เครื่องชั่งได้พอดี
ลูกเป้งพบทั่วไปในล้านนา แต่เนื่องจากมีเครื่องชั่งอื่น ๆ ที่เหมาะสมและใช้ได้สะดวกกว่าจึงเลิกนิยมกัน ปัจจุบันลูกเป้งมีผู้นิยมเก็บสะสมเป็นชุด ๆ เข้าชุดกัน เรียงตามลำดับน้ำหนัก หรือเก็บตามรูปแบบอื่น ๆ เช่น เป็นสัตว์นักษัตร เป็นต้น ลูกเป้งจึงกลายเป็นของสะสมที่มีราคาในที่สุด ในอดีตนั้นลูกเป้งและถุงเป้ง มีความสัมพันธ์กับความเชื่อของคนล้านนาที่สอดคล้องกับคำทำนายหรือที่เรียกว่า หนังสือพรหมชาติล้านนาหลายฉบับที่กล่าวถึงคำทำนายโชคชะตาในด้านต่าง ๆ จะมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเป้งและถุงเป้งอยู่หลายตอน เช่น
คนเกิดปีใดควรพกลูกเป้งกับถุงเป้งใดเพื่อให้เป็นมงคลกับตัว ดังนี้
คนเกิดปีใจ้ (ชวด) ให้ใช้เป้งรูปหนู ใช้ถุงเป้งลายเหลือง
คนเกิดปีเปล้า (ฉลู) ให้ใช้เป้งรูปวัว ถุงเป้งสองชั้น นอกขาวในเหลือง
คนเกิดปียี (ขาล) ให้ใช้ เป้งรูปเสือ ถุงเป้งสามชั้น ในเหลือง กลางขาว นอกดำ
คนเกิดปีเหม้า ( เถาะ) ให้ใช้เป้งรูปกระต่าย ถุงเป้งสองชั้น นอกขาวในเหลือง สายแดง
คนเกิดปีสี ( มะโรง) ให้ใช้เป้งรูปนาค ถุงเป้งสองชั้น ในแดงนอกดำ
คนเกิดปีใส้ (มะเส็ง) ให้ใช้เป้งรูปงู ถุงเป้งสองชั้น นอกเขียวในขาว
คนเกิดปีสะง้า ( มะเมีย) ให้ใช้เป้งรูปม้า ถุงเป้งสามชั้นในแดงกลางเหลือง นอกขาว
คนเกิดปีเม็ด ( มะแม) ให้ใช้เป้งรูปแพะ ถุงเป้งสองชั้น ในหม่นนอกขาว
คนเกิดปีสัน (วอก) ให้ใช้เป้งวอก ถุงเป้งสามชั้น นอกแดง กลางขาว ในเหลือง
คนเกิดปีเร้า (ระกา) ให้ใช้เป้งรูปไก่ ถุงเป้งสองชั้นนอกหม่นในขาวสายเหลือง
คนเกิดปีเส็ด (จอ) ให้ใช้เป้งรูปหมา ถุงเป้งสองชั้น นอกเหลืองในขาว
คนเกิดปีไก๊ (กุน) ให้ใช้เป้งช้าง ถุงเป้งสองชั้น ในขาวนอกเหลือง สายเขียวหรือแดง
ไม่น่าเชื่อว่า เป้ง เครื่องถ่วงน้ำหนักชั่งจะผนวกเอาความเชื่อของคนล้านนาเข้าไปด้วย โดยเฉพาะ เป้งสิบสองราศี บ้านใครเรือนใดมีเป้งก็เก็บรักษาไว้เน้อ เอาใส่ถุงเป้งพกติดตัวจะได้ริมาค้าขึ้น หรือเป็นมรดกพกห่อให้แก่ลูกหลานให้สมกับเกิดมาเป็นคนล้านนา หรือใครใคร่เห็นเป้งเป็นพัน ๆ ชิ้น ลองไปแอ่วที่พิพิธภัณฑ์บ้านฝิ่นที่เชียงแสน รับรองว่าม่วนขนาด แลท่านเฮย
วิลักษณ์ ศรีป่าซาง
เจ้าของพิพิธภัณฑ์ใจดี นาม พัชรี ศรีมัธยกุล ประจงเก็บเรื่องราวหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับดินแดนสามเหลี่ยมทองฅำแล้วนำมารวมกัน และที่มีชื่อเสียงเห็นจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ฝิ่น ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นของมีค่าที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ของมีค่าบรรดามี เช่น กล้องสูบฝิ่นราคาแพงเท่ารถยนต์มือสองมีอยู่หลายร้อยอัน รวมทั้งอุปกรณ์สุขารมณ์ต่าง ๆ ก็มีเป็นพัน ๆ ชิ้น และที่สำคัญที่จะเขียนถึงในวันนี้คือ เป้ง มีมากมายจนนับไม่ถ้วน กลายเป็นเรื่องโดนใจให้เขียนงานสนุก ๆ มาฝากแฟน ๆ
เป้ง หรือ ลูกเป้ง หมายถึงตัวถ่วงน้ำหนักที่ใช้กับเครื่องชั่งโบราณหรือตราชู คนล้านนาเรียกชั่งชนิดนี้ว่า ยอย ด้านหนึ่งมีจานใส่ของเรียกผางยอย ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นที่ใส่ตัวถ่วงน้ำหนัก คือ เป้ง ลูกเป้งทำจากโลหะส่วนมากเป็นสำริดที่เป็นทองเหลืองก็มี มีหลายขนาด ทำเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น นก เป็ด หงส์และสัตว์ตามปีนักษัตร หรือทำเป็นลูกกลม ๆ ไม่ตกแต่งลวดลาย
เป้งบางตัวมีเนื้อตะกั่วเติมเข้าไปเพื่อให้ได้น้ำหนักครบตามจำนวน
ความสำคัญของลูกเป้งนั้น นอกจากจะเป็นเครื่องถ่วงน้ำหนักดังกล่าวแล้ว คนล้านนายังใช้ลูกเป้งแทนค่าได้อีกหลายนัย
นัยแรกแทนค่าเป็นทรัพย์สินเช่นเดียวกับเงินตรา เช่นในขันตั้งอย่างล้านนาที่ใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ จะใส่ลูกเป้งในขันนั้นด้วย ถือเป็นของมีค่ามีราคาแทนทรัพย์สิน นัยต่อมา ลูกเป้งรูปนักษัตร หรือเป้งสิบสองราศี ใช้ใส่ขันตั้งเพื่อให้ขันตั้งนั้นเกิดสัมฤทธิผลมากขึ้น เพราะฤทธีของลูกเป้งสามารถปราบแพ้ขึดหรือเสนียดจัญไรได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะขันตั้งในพิธีกรรมสำคัญ ๆ เช่น การสืบชาตาบ้านเมือง เป็นต้น อีกนัยหนึ่งนั้น ลูกเป้งหมายถึงตัวนำโชค ทำนองเดียวกับเครื่องราง แต่เป็นเครื่องรางที่ใช้งานได้
นอกจากนี้ยังเรียกถุงผ้าขนาดเล็กมีหูรูดที่ใช้ใส่เงินพกติดเอวโดยเหน็บกับเข็มขัด เรียกว่า ถงเป้ง หรือ ถุงเป้ง ส่วนถุงที่ใส่ลูกเป้งโดยตรงนั้นเท่าที่เคยเห็นจะใช้ผ้าเย็บทำเป็นถุงลักษณะคล้ายร่มชูชีพ ใส่ลูกเป้งหลาย ๆ ตัว ส่วนยอยเครื่องชั่งตราชูจะใส่ในตลับไม้ซึ่งต้องออกแบบให้ใส่เครื่องชั่งได้พอดี
ลูกเป้งพบทั่วไปในล้านนา แต่เนื่องจากมีเครื่องชั่งอื่น ๆ ที่เหมาะสมและใช้ได้สะดวกกว่าจึงเลิกนิยมกัน ปัจจุบันลูกเป้งมีผู้นิยมเก็บสะสมเป็นชุด ๆ เข้าชุดกัน เรียงตามลำดับน้ำหนัก หรือเก็บตามรูปแบบอื่น ๆ เช่น เป็นสัตว์นักษัตร เป็นต้น ลูกเป้งจึงกลายเป็นของสะสมที่มีราคาในที่สุด ในอดีตนั้นลูกเป้งและถุงเป้ง มีความสัมพันธ์กับความเชื่อของคนล้านนาที่สอดคล้องกับคำทำนายหรือที่เรียกว่า หนังสือพรหมชาติล้านนาหลายฉบับที่กล่าวถึงคำทำนายโชคชะตาในด้านต่าง ๆ จะมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเป้งและถุงเป้งอยู่หลายตอน เช่น
คนเกิดปีใดควรพกลูกเป้งกับถุงเป้งใดเพื่อให้เป็นมงคลกับตัว ดังนี้
คนเกิดปีใจ้ (ชวด) ให้ใช้เป้งรูปหนู ใช้ถุงเป้งลายเหลือง
คนเกิดปีเปล้า (ฉลู) ให้ใช้เป้งรูปวัว ถุงเป้งสองชั้น นอกขาวในเหลือง
คนเกิดปียี (ขาล) ให้ใช้ เป้งรูปเสือ ถุงเป้งสามชั้น ในเหลือง กลางขาว นอกดำ
คนเกิดปีเหม้า ( เถาะ) ให้ใช้เป้งรูปกระต่าย ถุงเป้งสองชั้น นอกขาวในเหลือง สายแดง
คนเกิดปีสี ( มะโรง) ให้ใช้เป้งรูปนาค ถุงเป้งสองชั้น ในแดงนอกดำ
คนเกิดปีใส้ (มะเส็ง) ให้ใช้เป้งรูปงู ถุงเป้งสองชั้น นอกเขียวในขาว
คนเกิดปีสะง้า ( มะเมีย) ให้ใช้เป้งรูปม้า ถุงเป้งสามชั้นในแดงกลางเหลือง นอกขาว
คนเกิดปีเม็ด ( มะแม) ให้ใช้เป้งรูปแพะ ถุงเป้งสองชั้น ในหม่นนอกขาว
คนเกิดปีสัน (วอก) ให้ใช้เป้งวอก ถุงเป้งสามชั้น นอกแดง กลางขาว ในเหลือง
คนเกิดปีเร้า (ระกา) ให้ใช้เป้งรูปไก่ ถุงเป้งสองชั้นนอกหม่นในขาวสายเหลือง
คนเกิดปีเส็ด (จอ) ให้ใช้เป้งรูปหมา ถุงเป้งสองชั้น นอกเหลืองในขาว
คนเกิดปีไก๊ (กุน) ให้ใช้เป้งช้าง ถุงเป้งสองชั้น ในขาวนอกเหลือง สายเขียวหรือแดง
ไม่น่าเชื่อว่า เป้ง เครื่องถ่วงน้ำหนักชั่งจะผนวกเอาความเชื่อของคนล้านนาเข้าไปด้วย โดยเฉพาะ เป้งสิบสองราศี บ้านใครเรือนใดมีเป้งก็เก็บรักษาไว้เน้อ เอาใส่ถุงเป้งพกติดตัวจะได้ริมาค้าขึ้น หรือเป็นมรดกพกห่อให้แก่ลูกหลานให้สมกับเกิดมาเป็นคนล้านนา หรือใครใคร่เห็นเป้งเป็นพัน ๆ ชิ้น ลองไปแอ่วที่พิพิธภัณฑ์บ้านฝิ่นที่เชียงแสน รับรองว่าม่วนขนาด แลท่านเฮย
วิลักษณ์ ศรีป่าซาง
ครูบาฯอุ๊กแก็ส
ดือนเก้า เดือนหมาเฒ่านอนน้ำ ตามคำโบราณว่าไว้ แดดร้อนแสบไหม้ ท้องฟ้าใสสอาด ปราศจากดินแดงฝุ่นมุกค้างกลางหาว เพราะโดนฝนหัวปีชะล้างจนหมดสิ้นแล้ว ตะวันจึงแผดจ้าอบใบไม้ป่งใหม่ไหม้ม้าน ช่วงปีใหม่สงกรานต์คนต่างถิ่นมาแอ่วเชียงใหม่เมืองพิงค์กันหลวงหลายเต็มบ้านเต็มเมือง ฝ่ายทางการท่องเที่ยวแถลงข่าวว่า คนน้อยกว่าทุกปี น้อยจนรถยนต์รอบคูเมืองไม่ติดขัด ซึ่งน่าจะติดค้างดับแช่เหมือนทุกปีที่ผ่านมา ปีนี้อุตส่าห์ขุดลอกคูเมืองเติมน้ำจนเต็มปริ่มเพื่อให้ลงเล่นม่วน โรงแรมและบรรดาสรรพสินค้าที่หวังหากินกับแขกต่างบ้านก็ผิดหวังค้างเคิ้น ทั้ง ๆ ที่น่าจะทำใจว่า เชียงใหม่เมืองพิงค์มันเปลี่ยนแปลงจากยุคสาวเครือฟ้าบัวบาน มาเป็นสาวสายเดี่ยวเที่ยวผับกันแล้ว อันที่เคยดีเคยงามเป็นธรรมชาติเป็นเมืองโบราณ ผองเราก็ละเลยล่มม้างเสียหมดสิ้น เฮ้ย กำลังบ่นส้ามอยู่นะ
ตั้งใจจะพูดเรื่องพระเรื่องเจ้าอยู่แท้ ๆ แวดหวันมาสู่เรื่องโลกาภิวัฒน์จนได้ ก็เพราะช่วงปีใหม่สงกรานต์เจ้าเพื่อนชาวไทยใต้ มิตรเดียวเสี่ยวแพงของผู้เขียนขึ้นมาแอ่วแล้วก็พูดถึงเมืองเชียงใหม่ว่าเหมือนอยู่ใจกลางกรุงเทพฯไม่ผิดเพี้ยน มีแต่วัดวาอารามบางแห่งยังเป็นมนต์เสน่ห์ล้านนาอยู่ จึงเที่ยวแต่ในวัด ไปวัดแห่งหนึ่งพบคำว่าครูบา เลยถามผู้เขียนว่าคำนี้คืออะไร ไหนอธิบายมาซิ จึงได้เค้าเข้าจังหวะหาเรื่องมาเขียนฝาก เรื่องครูบา ๆ เป็นครูบาอุ๊กแก็ส แล
คำเรียกขานพระสงฆ์องค์เจ้าที่จะเขียนเล่าต่อไปนี้กำหนดเงื่อนไขเฉพาะความรู้เท่าที่มีของผู้เขียนเท่านั้นเน้อ ไม่เกี่ยวกับราชบัณฑิตทั้งหลาย รู้น้อยก็เขียนน้อยไม่ว่ากันนะ
คำว่า ธุ หรือ ตุ๊ หรือ ธุเจ้า หมายถึงพระภิกษุสงฆ์โดยทั่วไป ส่วนคำว่า พระ หมายถึง เณร ถ้าเป็นเณรน้อย เรียกว่า พระหน้อย ไม่มี ธุหน้อย มีแต่คำว่า ธุหลวง ซึ่ง หมายถึง เจ้าอาวาส คำอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับธุเจ้านั้น เมื่อบวกกับการเรียกขานตามตำแหน่งของการลำดับญาติ จะเป็นดังนี้ ธุพี่ ธุน้า ธุลุง ธุพ่อ ธุปู่ ธุอุ๊ย บางองค์บวชเมื่ออายุมากแล้ว หรือเคยครองเรือนมีลูกมีหลานได้เป็นลุงเป็นพ่อเป็นปู่ ก็เรียกขานกันตามนั้น ส่วนคำว่า ธุป้า เป็นคำเรียกขานเชิงล้อเลียนเท่านั้น ความเป็นจริงคงไม่มี
คำต่อไปนี้น่าจะเป็นคำยืมจากถิ่นอื่นมาใช้ เช่น หลวงพ่อ หลวงลุง หลวงปู่ พระอาจารย์ พระธุดงค์ คำหลังนี้คนเมืองเรียกธดุงค์เฉย ๆ ไม่มี พระ และทั้งหมดทั้งมวลนี้จะใช้คำลักษณนามว่า ต๋น กับ องค์ ไม่ใช้ รูป คำว่า องค์ นิยมใช้กับธุเจ้าหรือพระพุทธรูป เช่น ธุเจ้า 2 องค์ หรือ 2 ต๋น พระพุทธ 2 องค์ คนล้านนาเรียกพระพุทธรูปว่า พระเจ้า เช่น พระเจ้าฝนแสนห่า พระเจ้าเก้าตื้น
พระเจ้าไม้ เป็นต้น พระเครื่อง คนเมืองเรียก พระ เฉย ๆ คนไทยกลางเรียกขานพระพุทธรูปบางองค์ เป็นหลวงพ่อ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง เป็นต้น ที่นี้คำว่าครูบาที่เพื่อนชาวไทยใต้สงสัยล่ะ หมายถึงใคร
ครู บา คือคำที่ใช้เรียกขานพระเถระผู้เป็นที่เคารพนับถือ ซึ่งมักจะมีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป ครูบา ไม่ใช่คำที่กำหนดขึ้นเพื่อเรียกขานตัวเอง ผู้ที่จะเป็นครูบานั้นมีเงื่อนไขอยู่ 3 ข้อ คือ 1. เป็นพระสงฆ์ที่มีอายุพรรษามาก (ทั้งอายุและอายุการบวช) 2. ต้องปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ (ตลอดอายุการบวช) และ 3. สร้างสิ่งดีสิ่งงามกับพระศาสนาซึ่งอาจหมายถึงศาสนสถานหรือ หรืออื่น ๆ พูดแบบชาวบ้านคือ ถ้าอายุมาก บวชมานาน แต่ไม่มีคุณสมบัติตามข้อ 2 และ 3 จะเรียกขานว่า ตุ๊ หรือ ธุ เฉย ๆ อาจเติมคำว่า ลุง ปู่ หรือ พ่อ ตามหลัง เช่น ธุลุงคำ ธุปู่เป็ง ธุพ่อแก้ว เป็นต้น หรือมีเพียงข้อ 2 และ ข้อ 3 ไม่มีข้อ 1 ก็ไม่นิยมเรียกว่าครูบา ถึงแม้จะได้รับการเล่าขานกันว่า เป็นครูบาเจ้าศรีวิชัยมาเกิดก็ตาม ผู้คนจึงล้อเลียนครูบาหนุ่ม ๆ เหล่านี้ว่า ครูบาอุ๊กแก็ส ( อุ๊กแก็ส หมายถึง บ่มด้วยแก็สเพื่อให้สุกก่อนกำหนด เช่น กล้วยอุ๊กแก็ส คือกล้วยที่บ่มด้วยแก็สเพื่อให้สุก มิใช่กล้วยที่สุกขำเครือ เป็นต้น ) ครูบาอุ๊กแก็สบางองค์ มิได้เรียกขานตัวท่านเอง หากแต่ศรัทธาญาติโยมที่เคารพนบไหว้ทั้งหลายต่างยกตำแหน่งครูบาให้ บางองค์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพียงแต่อายุยังน้อย คือได้เป็นครูบาตั้งแต่ยังหนุ่ม ถือเป็น หน่อดีจ๋าวงาม ในวงการสงฆ์ (ถ้าบ่หลุล้มม้างไปเสียก่อน) ท่านเหล่านี้มักนุ่งห่มให้มีลักษณะเช่นเดียวกับครูบาเจ้าศรีวิชัย เช่น มีผ้ามัดอก สวมลูกประคำ ใช้พัดขนนกยูง มีไม้เท้า และที่สำคัญเป็นพระนักอนุรักษ์รังสรรค์แบบล้านนานิยม
ครูบา ยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ เป็นคำเรียกขานตำแหน่งพระสงฆ์ของชาวไทเขินเชียงตุงอีกด้วย ตำแหน่งสูงกว่าสวามี ต่ำกว่าอาชญาธรรม ส่วนคำว่า ครูบาเจ้า นั้น เป็นคำยกย่องในฐานะนักบุญ หรือตนบุญ( คำว่า ตนบุญนี้ ต้องอธิบายยาวค่อยติดตามในตอนหลัง) เช่นครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา เป็นต้น และอีกความหมายหนึ่งตามที่บัณฑิตทางอักขระล้านนาบางท่านกล่าวว่า หมายถึงครูบาที่เป็นเจ้า คือมีเชื้อทางเจ้านายฝ่ายเหนือ เช่น ครูบาเจ้าเกษม เขมโก เป็นต้น เขียนไปเขียนมาก็ยาวอีกแล้ว ขอจบเรื่องพระเรื่องเจ้าแบบห้วน ๆ แค่นี้ แล.
ตั้งใจจะพูดเรื่องพระเรื่องเจ้าอยู่แท้ ๆ แวดหวันมาสู่เรื่องโลกาภิวัฒน์จนได้ ก็เพราะช่วงปีใหม่สงกรานต์เจ้าเพื่อนชาวไทยใต้ มิตรเดียวเสี่ยวแพงของผู้เขียนขึ้นมาแอ่วแล้วก็พูดถึงเมืองเชียงใหม่ว่าเหมือนอยู่ใจกลางกรุงเทพฯไม่ผิดเพี้ยน มีแต่วัดวาอารามบางแห่งยังเป็นมนต์เสน่ห์ล้านนาอยู่ จึงเที่ยวแต่ในวัด ไปวัดแห่งหนึ่งพบคำว่าครูบา เลยถามผู้เขียนว่าคำนี้คืออะไร ไหนอธิบายมาซิ จึงได้เค้าเข้าจังหวะหาเรื่องมาเขียนฝาก เรื่องครูบา ๆ เป็นครูบาอุ๊กแก็ส แล
คำเรียกขานพระสงฆ์องค์เจ้าที่จะเขียนเล่าต่อไปนี้กำหนดเงื่อนไขเฉพาะความรู้เท่าที่มีของผู้เขียนเท่านั้นเน้อ ไม่เกี่ยวกับราชบัณฑิตทั้งหลาย รู้น้อยก็เขียนน้อยไม่ว่ากันนะ
คำว่า ธุ หรือ ตุ๊ หรือ ธุเจ้า หมายถึงพระภิกษุสงฆ์โดยทั่วไป ส่วนคำว่า พระ หมายถึง เณร ถ้าเป็นเณรน้อย เรียกว่า พระหน้อย ไม่มี ธุหน้อย มีแต่คำว่า ธุหลวง ซึ่ง หมายถึง เจ้าอาวาส คำอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับธุเจ้านั้น เมื่อบวกกับการเรียกขานตามตำแหน่งของการลำดับญาติ จะเป็นดังนี้ ธุพี่ ธุน้า ธุลุง ธุพ่อ ธุปู่ ธุอุ๊ย บางองค์บวชเมื่ออายุมากแล้ว หรือเคยครองเรือนมีลูกมีหลานได้เป็นลุงเป็นพ่อเป็นปู่ ก็เรียกขานกันตามนั้น ส่วนคำว่า ธุป้า เป็นคำเรียกขานเชิงล้อเลียนเท่านั้น ความเป็นจริงคงไม่มี
คำต่อไปนี้น่าจะเป็นคำยืมจากถิ่นอื่นมาใช้ เช่น หลวงพ่อ หลวงลุง หลวงปู่ พระอาจารย์ พระธุดงค์ คำหลังนี้คนเมืองเรียกธดุงค์เฉย ๆ ไม่มี พระ และทั้งหมดทั้งมวลนี้จะใช้คำลักษณนามว่า ต๋น กับ องค์ ไม่ใช้ รูป คำว่า องค์ นิยมใช้กับธุเจ้าหรือพระพุทธรูป เช่น ธุเจ้า 2 องค์ หรือ 2 ต๋น พระพุทธ 2 องค์ คนล้านนาเรียกพระพุทธรูปว่า พระเจ้า เช่น พระเจ้าฝนแสนห่า พระเจ้าเก้าตื้น
พระเจ้าไม้ เป็นต้น พระเครื่อง คนเมืองเรียก พระ เฉย ๆ คนไทยกลางเรียกขานพระพุทธรูปบางองค์ เป็นหลวงพ่อ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง เป็นต้น ที่นี้คำว่าครูบาที่เพื่อนชาวไทยใต้สงสัยล่ะ หมายถึงใคร
ครู บา คือคำที่ใช้เรียกขานพระเถระผู้เป็นที่เคารพนับถือ ซึ่งมักจะมีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป ครูบา ไม่ใช่คำที่กำหนดขึ้นเพื่อเรียกขานตัวเอง ผู้ที่จะเป็นครูบานั้นมีเงื่อนไขอยู่ 3 ข้อ คือ 1. เป็นพระสงฆ์ที่มีอายุพรรษามาก (ทั้งอายุและอายุการบวช) 2. ต้องปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ (ตลอดอายุการบวช) และ 3. สร้างสิ่งดีสิ่งงามกับพระศาสนาซึ่งอาจหมายถึงศาสนสถานหรือ หรืออื่น ๆ พูดแบบชาวบ้านคือ ถ้าอายุมาก บวชมานาน แต่ไม่มีคุณสมบัติตามข้อ 2 และ 3 จะเรียกขานว่า ตุ๊ หรือ ธุ เฉย ๆ อาจเติมคำว่า ลุง ปู่ หรือ พ่อ ตามหลัง เช่น ธุลุงคำ ธุปู่เป็ง ธุพ่อแก้ว เป็นต้น หรือมีเพียงข้อ 2 และ ข้อ 3 ไม่มีข้อ 1 ก็ไม่นิยมเรียกว่าครูบา ถึงแม้จะได้รับการเล่าขานกันว่า เป็นครูบาเจ้าศรีวิชัยมาเกิดก็ตาม ผู้คนจึงล้อเลียนครูบาหนุ่ม ๆ เหล่านี้ว่า ครูบาอุ๊กแก็ส ( อุ๊กแก็ส หมายถึง บ่มด้วยแก็สเพื่อให้สุกก่อนกำหนด เช่น กล้วยอุ๊กแก็ส คือกล้วยที่บ่มด้วยแก็สเพื่อให้สุก มิใช่กล้วยที่สุกขำเครือ เป็นต้น ) ครูบาอุ๊กแก็สบางองค์ มิได้เรียกขานตัวท่านเอง หากแต่ศรัทธาญาติโยมที่เคารพนบไหว้ทั้งหลายต่างยกตำแหน่งครูบาให้ บางองค์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพียงแต่อายุยังน้อย คือได้เป็นครูบาตั้งแต่ยังหนุ่ม ถือเป็น หน่อดีจ๋าวงาม ในวงการสงฆ์ (ถ้าบ่หลุล้มม้างไปเสียก่อน) ท่านเหล่านี้มักนุ่งห่มให้มีลักษณะเช่นเดียวกับครูบาเจ้าศรีวิชัย เช่น มีผ้ามัดอก สวมลูกประคำ ใช้พัดขนนกยูง มีไม้เท้า และที่สำคัญเป็นพระนักอนุรักษ์รังสรรค์แบบล้านนานิยม
ครูบา ยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ เป็นคำเรียกขานตำแหน่งพระสงฆ์ของชาวไทเขินเชียงตุงอีกด้วย ตำแหน่งสูงกว่าสวามี ต่ำกว่าอาชญาธรรม ส่วนคำว่า ครูบาเจ้า นั้น เป็นคำยกย่องในฐานะนักบุญ หรือตนบุญ( คำว่า ตนบุญนี้ ต้องอธิบายยาวค่อยติดตามในตอนหลัง) เช่นครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา เป็นต้น และอีกความหมายหนึ่งตามที่บัณฑิตทางอักขระล้านนาบางท่านกล่าวว่า หมายถึงครูบาที่เป็นเจ้า คือมีเชื้อทางเจ้านายฝ่ายเหนือ เช่น ครูบาเจ้าเกษม เขมโก เป็นต้น เขียนไปเขียนมาก็ยาวอีกแล้ว ขอจบเรื่องพระเรื่องเจ้าแบบห้วน ๆ แค่นี้ แล.
วิลักษณ์ ศรีป่าซาง
ความเป็นตัวเองคือความเป็นเลิศ
หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งของอิตาลี ทำเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า การรักษาวัฒนธรรม และความเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องวิ่งตามกระแสโลกาภิวัตน์ ก็สามารถสร้างความโดดเด่น ให้กับตัวเอง
ที่นั่นเขาต่อต้านอาหาร "แดกด่วน" หรือ fast food และไม่ยอมให้ร้านขายปลีกยักษ์ๆ เข้ามาตั้งสาขา เพราะเขาต้องการให้เอกลักษณ์แห่งเมืองเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยความเป็น อิตาเลียนเป็นจุดเด่นที่ "ขาย" ตัวเอง
นักท่องเที่ยวต้องการไปหมู่บ้านแห่งนี้ เพราะได้เห็นความเป็นชนบทและวิถีชีวิตท้องถิ่นอย่างแท้จริง เพราะส่วนอื่นๆ ของอิตาลี ได้ถูกความทันสมัยของโลกสมัยใหม่กลืนกินจนเกือบจะไม่มีใครแตกต่างไปจากใครอีกแล้ว
หมู่บ้านแห่งนี้ชื่อ Greve อยู่ในบริเวณ Chianti ของอิตาลี อยู่ไปทางเหนือของกรุงโรม และอยู่ใต้จากเมืองฟลอเรนซ์
คนที่เป็นหัวหอกที่ต้องการสร้างความแปลกของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ คือ นายกเทศมนตรีที่ชื่อ เพาโล ซาทูร์นินิ ของเมืองนี้มาแล้ว 13 ปี
เขาร่วมมือกับชาวบ้านในการรณรงค์ให้คงความเป็นเมืองเก่าแก่ และมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและไม่เร่งร้อนอย่างได้ผล
ที่อื่นเขามี Fast food แต่ที่เมืองนี้เขามี "Slow food" ซึ่งหมายถึงการมีความสุขอยู่กับการกินอาหารอย่างละเมียดละไม ไม่ยัดเยียดอาหารโหลที่ต้องรีบกินให้อิ่มๆ เพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ
ขบวนการกินข้าวปลาอาหารอย่างเอร็ดอร่อยโดย (ตรงกันข้ามกับ "อาหารขยะ") ของคนอิตาเลียนกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นเกือบ 20 ปีก่อนมาแล้ว
ตอนที่พวกอาหาร "แดกด่วน" บุกไปตั้งร้านรวงกันอย่างคึกคักในเมืองต่างๆ ของอิตาลีนั้น ผู้คนกลุ่มนี้ก็รวมตัวกันแสดงการต่อต้านด้วยการตั้งโต๊ะข้างถนน และส่งเสิร์ฟอาหารจานเก่าแก่ของอิตาเลียน เช่น ปาสต้า เรียกร้องให้ชาวบ้านที่ผ่านไปมานั่งกินอาหารจานพื้นบ้านของอิตาเลียนเองอย่างสุขสม ใช้เวลาเป็นชั่วโมงละเลียดรสชาติอาหารอย่างไม่สนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองต่างๆ
ที่บริเวณ Tuscany อันเป็นเขตที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศแห่แหนกันไปชื่นชมกับธรรมชาติของอิตาลี นั้น ก็เกิดความเคลื่อนไหวใหม่ที่เรียกว่า long lunches ซึ่งหมายถึงการกินอาหารเที่ยงอย่างยืดยาวและแนบเนียน
เขา เน้นความสุขของการกิน และส่งเสริมให้เห็นว่าวัฒนธรรมของการรับประทานอาหารเที่ยงที่ยาวนานเป็น ชั่วโมงนั้นเป็นศิลป์แห่งการเสพเพื่อความหรรษาแห่งชีวิตซึ่งหาไม่ได้ในหลาย ประเทศ
อเมริกามี Fast food แต่อิตาลีสู้ด้วย long lunch
ใคร "แดกด่วน" ก็ให้ไปหาที่เมืองอื่นๆ แต่ถ้าจะสัมผัสกับความเป็นท้องถิ่นและธรรมชาติของคนอิตาเลียนในชนบทอย่างแท้จริง ก็ให้มาที่นี่
เมือง Greve เล็กๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นตัวแทนของความเป็นอิตาเลียนดั้งเดิมอย่างแท้จริง
หลังจากมี Slow food และ long lunch แล้ว นายกเทศมนตรีคนนี้ก็ประกาศตั้งเครือข่ายแห่ง "slow cities" ซึ่งหมายถึงเมืองเล็กๆ ที่ไม่ยอมทำตัวเหมือนเมืองสับสนชุลมุนวุ่นวายทั้งหลาย
หลายๆ เมืองในอิตาลีจึงรวมตัวกันเพื่อสร้างความแปลกแยกด้วยการรักษาเมืองให้เหมือนสมัยโบราณ ตอกย้ำให้สถาปัตยกรรมเก่าเหมือนเดิม อาหารจานเก่าแก่ของ อิตาเลียนก็จะหาได้แต่ในเมืองเหล่านี้ อีกทั้งยังจะให้ปลอดจากความจอแจของเมืองใหญ่ๆ
เมืองเกรฟวันนี้จึงกลายเป็นเมืองเล็กๆ ของอิตาเลียนที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศแย่งกันมาชม เพราะความไม่เหมือนใคร
ผู้ คนมีงานทำมากขึ้น ธุรกิจเล็กๆ ที่เคยสู้ยักษ์ใหญ่จากข้างนอกไม่ได้ก็มีความคึกคัก และที่สำคัญคือการสร้างความภาคภูมิใจของคนท้องถิ่นกับความเป็นคนอิตาเลียน ของตนเอง
เมื่ออิตาลีเข้าสู่โลกาภิวัตน์ ต้องสั่งหมูจากเนเธอร์แลนด์ และเนื้อวัวจากเดนมาร์ก เพราะสองประเทศนั้นผลิตได้ถูกกว่า คนที่เมืองเกรฟแห่งนี้ก็รื้อฟื้นการเลี้ยงหมูพันธุ์ท้องถิ่นที่เกือบจะสูญพันธุ์ใหม่ มีรสชาติที่แตกต่างและพิเศษเฉพาะของที่นี่เท่านั้น
เอามาทำ salami คือ ไส้กรอกหมูปนเนื้อวัว และแฮมที่มีรสเฉพาะของตัวเอง เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง
ชาวบ้านที่นั่นบอกว่า "เราใส่จิตวิญญาณเข้าไปใน salami ของเรา..."
นี่คือ ความสำเร็จของการสร้างความเป็นเอกลักษณ์โดยไม่ต้องแห่ตามกระแส และยึดเอาวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นจุดขายอันดีเยี่ยม
เมืองไทยเรามีโอกาสสร้างความแปลกแตกต่างอย่างนี้มากมาย ขาดก็แต่ผู้นำที่สามารถระดมให้ผู้คนร่วมมืออย่างเต็มที่ และเปิดโอกาสให้ความริเริ่มท้องถิ่นได้เกิดอย่างแท้จริงเท่านั้น
จากคอลัมภ์ "กาแฟดำ" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ที่นั่นเขาต่อต้านอาหาร "แดกด่วน" หรือ fast food และไม่ยอมให้ร้านขายปลีกยักษ์ๆ เข้ามาตั้งสาขา เพราะเขาต้องการให้เอกลักษณ์แห่งเมืองเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยความเป็น อิตาเลียนเป็นจุดเด่นที่ "ขาย" ตัวเอง
นักท่องเที่ยวต้องการไปหมู่บ้านแห่งนี้ เพราะได้เห็นความเป็นชนบทและวิถีชีวิตท้องถิ่นอย่างแท้จริง เพราะส่วนอื่นๆ ของอิตาลี ได้ถูกความทันสมัยของโลกสมัยใหม่กลืนกินจนเกือบจะไม่มีใครแตกต่างไปจากใครอีกแล้ว
หมู่บ้านแห่งนี้ชื่อ Greve อยู่ในบริเวณ Chianti ของอิตาลี อยู่ไปทางเหนือของกรุงโรม และอยู่ใต้จากเมืองฟลอเรนซ์
คนที่เป็นหัวหอกที่ต้องการสร้างความแปลกของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ คือ นายกเทศมนตรีที่ชื่อ เพาโล ซาทูร์นินิ ของเมืองนี้มาแล้ว 13 ปี
เขาร่วมมือกับชาวบ้านในการรณรงค์ให้คงความเป็นเมืองเก่าแก่ และมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและไม่เร่งร้อนอย่างได้ผล
ที่อื่นเขามี Fast food แต่ที่เมืองนี้เขามี "Slow food" ซึ่งหมายถึงการมีความสุขอยู่กับการกินอาหารอย่างละเมียดละไม ไม่ยัดเยียดอาหารโหลที่ต้องรีบกินให้อิ่มๆ เพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ
ขบวนการกินข้าวปลาอาหารอย่างเอร็ดอร่อยโดย (ตรงกันข้ามกับ "อาหารขยะ") ของคนอิตาเลียนกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นเกือบ 20 ปีก่อนมาแล้ว
ตอนที่พวกอาหาร "แดกด่วน" บุกไปตั้งร้านรวงกันอย่างคึกคักในเมืองต่างๆ ของอิตาลีนั้น ผู้คนกลุ่มนี้ก็รวมตัวกันแสดงการต่อต้านด้วยการตั้งโต๊ะข้างถนน และส่งเสิร์ฟอาหารจานเก่าแก่ของอิตาเลียน เช่น ปาสต้า เรียกร้องให้ชาวบ้านที่ผ่านไปมานั่งกินอาหารจานพื้นบ้านของอิตาเลียนเองอย่างสุขสม ใช้เวลาเป็นชั่วโมงละเลียดรสชาติอาหารอย่างไม่สนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองต่างๆ
ที่บริเวณ Tuscany อันเป็นเขตที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศแห่แหนกันไปชื่นชมกับธรรมชาติของอิตาลี นั้น ก็เกิดความเคลื่อนไหวใหม่ที่เรียกว่า long lunches ซึ่งหมายถึงการกินอาหารเที่ยงอย่างยืดยาวและแนบเนียน
เขา เน้นความสุขของการกิน และส่งเสริมให้เห็นว่าวัฒนธรรมของการรับประทานอาหารเที่ยงที่ยาวนานเป็น ชั่วโมงนั้นเป็นศิลป์แห่งการเสพเพื่อความหรรษาแห่งชีวิตซึ่งหาไม่ได้ในหลาย ประเทศ
อเมริกามี Fast food แต่อิตาลีสู้ด้วย long lunch
ใคร "แดกด่วน" ก็ให้ไปหาที่เมืองอื่นๆ แต่ถ้าจะสัมผัสกับความเป็นท้องถิ่นและธรรมชาติของคนอิตาเลียนในชนบทอย่างแท้จริง ก็ให้มาที่นี่
เมือง Greve เล็กๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นตัวแทนของความเป็นอิตาเลียนดั้งเดิมอย่างแท้จริง
หลังจากมี Slow food และ long lunch แล้ว นายกเทศมนตรีคนนี้ก็ประกาศตั้งเครือข่ายแห่ง "slow cities" ซึ่งหมายถึงเมืองเล็กๆ ที่ไม่ยอมทำตัวเหมือนเมืองสับสนชุลมุนวุ่นวายทั้งหลาย
หลายๆ เมืองในอิตาลีจึงรวมตัวกันเพื่อสร้างความแปลกแยกด้วยการรักษาเมืองให้เหมือนสมัยโบราณ ตอกย้ำให้สถาปัตยกรรมเก่าเหมือนเดิม อาหารจานเก่าแก่ของ อิตาเลียนก็จะหาได้แต่ในเมืองเหล่านี้ อีกทั้งยังจะให้ปลอดจากความจอแจของเมืองใหญ่ๆ
เมืองเกรฟวันนี้จึงกลายเป็นเมืองเล็กๆ ของอิตาเลียนที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศแย่งกันมาชม เพราะความไม่เหมือนใคร
ผู้ คนมีงานทำมากขึ้น ธุรกิจเล็กๆ ที่เคยสู้ยักษ์ใหญ่จากข้างนอกไม่ได้ก็มีความคึกคัก และที่สำคัญคือการสร้างความภาคภูมิใจของคนท้องถิ่นกับความเป็นคนอิตาเลียน ของตนเอง
เมื่ออิตาลีเข้าสู่โลกาภิวัตน์ ต้องสั่งหมูจากเนเธอร์แลนด์ และเนื้อวัวจากเดนมาร์ก เพราะสองประเทศนั้นผลิตได้ถูกกว่า คนที่เมืองเกรฟแห่งนี้ก็รื้อฟื้นการเลี้ยงหมูพันธุ์ท้องถิ่นที่เกือบจะสูญพันธุ์ใหม่ มีรสชาติที่แตกต่างและพิเศษเฉพาะของที่นี่เท่านั้น
เอามาทำ salami คือ ไส้กรอกหมูปนเนื้อวัว และแฮมที่มีรสเฉพาะของตัวเอง เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง
ชาวบ้านที่นั่นบอกว่า "เราใส่จิตวิญญาณเข้าไปใน salami ของเรา..."
นี่คือ ความสำเร็จของการสร้างความเป็นเอกลักษณ์โดยไม่ต้องแห่ตามกระแส และยึดเอาวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นจุดขายอันดีเยี่ยม
เมืองไทยเรามีโอกาสสร้างความแปลกแตกต่างอย่างนี้มากมาย ขาดก็แต่ผู้นำที่สามารถระดมให้ผู้คนร่วมมืออย่างเต็มที่ และเปิดโอกาสให้ความริเริ่มท้องถิ่นได้เกิดอย่างแท้จริงเท่านั้น
จากคอลัมภ์ "กาแฟดำ" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ตุงใจ
แต่เดิมตุงน่าจะออกเสียงว่าตง เพราะในศิลาจารึกวัดพระยืนที่กล่าวถึงการต้อนรับพระมหาสุมนะเขียนว่า "ทง" ดังข้อความว่า
"…ให้ถือช่อทง เข้าตอกดอกไม้ไต้เทียน ตีพาดดัง พิณ ค้อง กลอง…"
ถ้าไม่ออกเสียงว่า ตง ก็น่าจะออกเสียงว่า ทง นั่นเอง รูปคำทางเสียงดูน่าใกล้เคียงกับคำว่า ธง ในภาษาไทยกลางมาก ดูห่างจากตะข่อนในภาษาไทใหญ่ หรือตำข่อนในภาษาพม่ามากมาย
ในทางรูปคำ ล้านนาอาจไม่เอาคำนี้มาจากไทใหญ่หรือพม่า
ในทางหน้าที่ใช้สอย อาจรับมา แต่ก็ยังไม่แน่อีกเช่นกัน
เราจะทิ้งเรื่องวิชาการไว้ตรงนี้ก่อน มีงานเขียนเรื่องตุงอยู่ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ ู้อ่านที่อยากรู้ลึกให้ไปเปิดอ่านเอาเองก็แล้วกัน
ตุงเป็นของดีใกล้ตัว เป็นของดีของงามบ้านเฮาที่ควรหวงแหนรักษาไว้ ตุงมีหน้าที่หรือมีประโยชน์ใช้สอยมากมายหลายอย่าง จำแนกประเภทออกได้มากมายหลายอย่าง ที่เอารูปมาลงให้ดูแต่ไม่สามารถจะเก็บภาพได้เต็มผืนรูปนี้เรียกว่า ตุงไจ (ตัวเขียนจะเขียนว่า ทุงไชย ตรงกับธงชัย ในภาคกลาง) บางทีก็เรียกว่า ตุงใย
ตุงไจใช้แขวนปลายเสาไม้ไผ่ แล้วเอาไปปักขนาบเรียงรายสองข้างทาง อยู่เปล่าอยู่ดาย ไม่มีปอยม่วนงันสันเล้า ไม่มีใครเอาตุงไจไปปักหรอก จะปักแขวนสูง พยุงยกค้าง กลางเปล่งกว้างลมทอ…ก็ต่อเมื่อมีปอยหลวง เวลาเราไปตามบ้านนอก จะเห็นตุงไจปักขนาบสองข้างทาง พึงรู้เถอะว่าหมู่บ้านนั้นๆ มีปอยหลวง เขาจะแต่งแต่ปากทางเข้าหมู่บ้านไปถึงประตูวัดเหนือในวัดโน่น ปอยหลวงผ่านไปแล้วก็ไม่รื้อออกง่ายๆ หรอก มักจะปล่อยทิ้งไว้ ฟ้ามาฝนมา ลมและฝนจะค่อยปลิดผืนตุงลงจากเสาค้าง
แต่เดิมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมกินง่ายจ่ายโอ่ย (สุร่ยสุร่าย) กันอย่างนี้ ตุงไจผืนหนึ่งกว่าจะประดิษฐ์ ตกแต่งจนแล้วเสร็จต้องใช้เวลาและแรงงานมากมาย แต่เอามาใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเลยถือว่าไม่คุ้ม น่าจะปลดลงมาพบทบใส่ก้นหีบ เก็บไว้ใช้ได้อีกในคราวหน้าและคราวต่อไป
เพิ่งมาเข้าใจเมื่อไม่นานนี่เอง เมื่อพ่อน้อย สิงห์แก้ว มโนเพชร พูดในวงเสวนาอะไรสักอย่าง พ่อน้อยพูดว่า ลูกผู้ชายข้าวนึ่งแต่ก่อนมักแรนรอมห่างเรือนเป็นเดือนเป็นปี ไปค้าขายบ้าง ไปเป็นลูกจ้างต่างแดนบ้าง ไปเสาะหาวิชาความรู้บ้าง
ลูกแม่ระมิงค์ ลูกแม่อิง แม่กก แม่วัง แม่วาง ลูกแม่ยม แม่น่าน แม่ส้าน แม่สูน…ลูกอีแม่ทั้งหลายจะไปจากเรือน เมื่อได้ข้าวขึ้นยุ้ง ตีเสียว่าราวเดือนห้า หรือราวเดือนกุมภาพันธ์ อาจกลับบ้านครั้งหนึ่งช่วงปีใหม่เมือง
ลูกผู้ชายกลับบ้าน ได้เห็นแค่หางตุงไจปลิวไหวก็ใจดีแล้ว
ถึงบ้านแล้วไม่มีที่ไหนอีกแล้ว นอกจากล้านนาบ้านเฮาที่จะมีตุงไจปลิวไหวไกวลม
ได้ยินพ่อน้อยว่าอย่างนี้จึงเข้าใจ สว่างไสวอะไรอีกตั้งมากมาย ตุงไจผืนหนึ่ง คุณค่าไม่ได้อยู่ที่เอาไว้ใช้สอยในปอยหลวงเท่านั้น ยังมีคุณค่าแฝงเร้นอย่างอื่นอยู่ด้วย
เราใช้มาตรฐานของเราเข้าจับ แล้วด่วนสรุปเกินไป เราเองต่างหากที่คับแคบ…
มาลา คำจัน
"…ให้ถือช่อทง เข้าตอกดอกไม้ไต้เทียน ตีพาดดัง พิณ ค้อง กลอง…"
ถ้าไม่ออกเสียงว่า ตง ก็น่าจะออกเสียงว่า ทง นั่นเอง รูปคำทางเสียงดูน่าใกล้เคียงกับคำว่า ธง ในภาษาไทยกลางมาก ดูห่างจากตะข่อนในภาษาไทใหญ่ หรือตำข่อนในภาษาพม่ามากมาย
ในทางรูปคำ ล้านนาอาจไม่เอาคำนี้มาจากไทใหญ่หรือพม่า
ในทางหน้าที่ใช้สอย อาจรับมา แต่ก็ยังไม่แน่อีกเช่นกัน
เราจะทิ้งเรื่องวิชาการไว้ตรงนี้ก่อน มีงานเขียนเรื่องตุงอยู่ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ ู้อ่านที่อยากรู้ลึกให้ไปเปิดอ่านเอาเองก็แล้วกัน
ตุงเป็นของดีใกล้ตัว เป็นของดีของงามบ้านเฮาที่ควรหวงแหนรักษาไว้ ตุงมีหน้าที่หรือมีประโยชน์ใช้สอยมากมายหลายอย่าง จำแนกประเภทออกได้มากมายหลายอย่าง ที่เอารูปมาลงให้ดูแต่ไม่สามารถจะเก็บภาพได้เต็มผืนรูปนี้เรียกว่า ตุงไจ (ตัวเขียนจะเขียนว่า ทุงไชย ตรงกับธงชัย ในภาคกลาง) บางทีก็เรียกว่า ตุงใย
ตุงไจใช้แขวนปลายเสาไม้ไผ่ แล้วเอาไปปักขนาบเรียงรายสองข้างทาง อยู่เปล่าอยู่ดาย ไม่มีปอยม่วนงันสันเล้า ไม่มีใครเอาตุงไจไปปักหรอก จะปักแขวนสูง พยุงยกค้าง กลางเปล่งกว้างลมทอ…ก็ต่อเมื่อมีปอยหลวง เวลาเราไปตามบ้านนอก จะเห็นตุงไจปักขนาบสองข้างทาง พึงรู้เถอะว่าหมู่บ้านนั้นๆ มีปอยหลวง เขาจะแต่งแต่ปากทางเข้าหมู่บ้านไปถึงประตูวัดเหนือในวัดโน่น ปอยหลวงผ่านไปแล้วก็ไม่รื้อออกง่ายๆ หรอก มักจะปล่อยทิ้งไว้ ฟ้ามาฝนมา ลมและฝนจะค่อยปลิดผืนตุงลงจากเสาค้าง
แต่เดิมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมกินง่ายจ่ายโอ่ย (สุร่ยสุร่าย) กันอย่างนี้ ตุงไจผืนหนึ่งกว่าจะประดิษฐ์ ตกแต่งจนแล้วเสร็จต้องใช้เวลาและแรงงานมากมาย แต่เอามาใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเลยถือว่าไม่คุ้ม น่าจะปลดลงมาพบทบใส่ก้นหีบ เก็บไว้ใช้ได้อีกในคราวหน้าและคราวต่อไป
เพิ่งมาเข้าใจเมื่อไม่นานนี่เอง เมื่อพ่อน้อย สิงห์แก้ว มโนเพชร พูดในวงเสวนาอะไรสักอย่าง พ่อน้อยพูดว่า ลูกผู้ชายข้าวนึ่งแต่ก่อนมักแรนรอมห่างเรือนเป็นเดือนเป็นปี ไปค้าขายบ้าง ไปเป็นลูกจ้างต่างแดนบ้าง ไปเสาะหาวิชาความรู้บ้าง
ลูกแม่ระมิงค์ ลูกแม่อิง แม่กก แม่วัง แม่วาง ลูกแม่ยม แม่น่าน แม่ส้าน แม่สูน…ลูกอีแม่ทั้งหลายจะไปจากเรือน เมื่อได้ข้าวขึ้นยุ้ง ตีเสียว่าราวเดือนห้า หรือราวเดือนกุมภาพันธ์ อาจกลับบ้านครั้งหนึ่งช่วงปีใหม่เมือง
ลูกผู้ชายกลับบ้าน ได้เห็นแค่หางตุงไจปลิวไหวก็ใจดีแล้ว
ถึงบ้านแล้วไม่มีที่ไหนอีกแล้ว นอกจากล้านนาบ้านเฮาที่จะมีตุงไจปลิวไหวไกวลม
ได้ยินพ่อน้อยว่าอย่างนี้จึงเข้าใจ สว่างไสวอะไรอีกตั้งมากมาย ตุงไจผืนหนึ่ง คุณค่าไม่ได้อยู่ที่เอาไว้ใช้สอยในปอยหลวงเท่านั้น ยังมีคุณค่าแฝงเร้นอย่างอื่นอยู่ด้วย
เราใช้มาตรฐานของเราเข้าจับ แล้วด่วนสรุปเกินไป เราเองต่างหากที่คับแคบ…
มาลา คำจัน
จากคอลัมน์ ของดีใกล้ตัว หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์พลเมืองเหนือปีที่2 ฉบับที่ 16 ประจำวันที่ 4-10 กุมภาพันธ์ 2545
ลาบตนเมือง (ภาคจบ)
4.และแล้วทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยประมาณเวลา 9 โมงเช้า ได้เวลาที่มวลสมาชิกจะนั่งล้อมวงกันกินลาบ ควันลอยขึ้นมาจากลาบคั่วและข้าวเหนียวร้อน ๆ กลิ่นลาบคั่วหอมกรุ่นคลุกเคล้าด้วยกลิ่นผักชนิดต่าง ๆ และเพื่อให้แต่ละคนได้กินอย่างสะดวก จึงมีการแบ่งเป็นวงเล็ก ๆ 4-5 วงนั่งอยู่ติดกัน เสียงคุยกันสนุกสนานผสมกับเสียงร้องเชิญเพื่อนบ้านที่ผ่านไปมาให้มากินร่วมกัน แม้ลาบดิบไม่มีควันลอยและกลิ่นหอมกรุ่นแต่ไกล แต่นั่นคืออาหารหลักของมื้อนั้น ในความเย็นของลาบดิบ เนื้อลาบที่คลุกกับน้ำพริกและเครื่องเทศเมื่อได้กินกับผักหลายรส (กับเหล้าหลายจอก) ก็ไม่มีใครบรรยายความร้อนแรงของลาบดิบได้ นอกจากต้องกินเอง ว่ากันว่าปริมาณของเครื่องเทศในลาบของคนเมือง มีมากพอที่จะทำลายพยาธิทั้งหลายในเนื้อดิบได้หมด คนเมืองถึงได้อยู่รอดมาจนถึงวันนี้ แต่ฝ่ายวิชาการด้านอาหารเห็นด้วยหรือไม่ เมื่อลาบเป็นสุดยอกอาหาร วิธีการกินก็หลากหลาย เช่นเวลาลุงแก้วมากินลาบที่บ้านของสิงห์คำ ลุงแก้วจะต้องนั่งกินคนเดียว ลุงแก้วถือว่าลาบเป็นของสูง แกจึงไม่กินข้าวเหนียวกับลาบ แต่จะกินลาบอย่างเดียวเท่านั้น ลุงแก้วกินลาบกับผักต่าง ๆ เต็มกะละมังใหญ่ พร้อมด้วยเหล้าขาว 1 ขวด แกจะนั่งกินทุกอย่างจนหมด และจะไม่กินอะไรอีกเลยในวันนั้น สิงห์คำชอบนั่งกับวงผู้ใหญ่ผู้ชาย สิงห์คำชอบดูใบหน้าอันเปี่ยมสุขของพ่อและลุงอาทั้งหลาย แต่บ้านนี้ไม่เห็นใครกินหลู้ สิงห์คำสอบถามแล้ว พ่อกับลุงอาชอบกินหลู้เวลาไปกินที่ร้านขายลาบ-หลู้-เหล้า แต่ไม่ชอบทำเองเพราะเสียเวลา จึงทำแต่ลาบอย่างเดียว ผู้หญิงหลายคนก็กินลาบดิบ บางคนก็ขอบกินลาบคั่ว แม่ของสิงห์คำชอบกินลาบคั่ว และไม่เคยกินลาบดิบ แม้แม่จะนั่งกินอีกวงหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรแม่ก็ยังคงเป็นแม่ที่ดีเลิศ ขณะที่ทุกคนทำส่วนประกอบขอบลาบ แม่จะจัดเวลาปิ้งตับ หรือ "จิ้นปิ้ง" แม่ยังทำจอผักกาด หรือแกงปลี ฯลฯ เพื่อให้ลูกหลานและผู้หญิงได้กินกับข้าวหลายอย่าง และแน่นอน ที่ขาดไม่ได้คือการทำลาบคั่ว แล้วแม่ก็แบ่งกับข้าวเหล่านั้นมาให้สิงห์คำ สิงห์ คำจดจำภาพที่พ่อกับลุงอาร่วมกันทำลาบอย่างมีความสุข เช่นเดียวกับภาพของแม่และญาติผู้หญิงทั้งหลายที่ช่วยกันทำให้งานสำคัญนี้ ลุล่วงไปได้ด้วยดี สิงห์คำชอบลาบดิบของพ่อมากพอ ๆ กับลาบคั่วของแม่ ลาบดิบไม่มีกลิ่นเครื่องเทศฉุนแตะจมูก แต่รสชาติเข้มข้นและร้อนแรงเฉียบขาด ส่วนลาบคั่วที่ร้อน ๆ จากกระทะนั้น ทั้งหอมเครื่องเทศและรสเผ็ดสุดยอดอร่อยยิ่งได้ข้าวเหนียวร้อน ๆ และมีผักหลาย ๆ ชนิด ได้กินลาบที่บ้านก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า เวลาที่ตักลาบเข้าปากนั่นแหละ ถึงรู้ว่านั่นคือมันอร่อยทั้งที่ลิ้นและที่ใจที่รู้ว่านั่นเป็นผลพวงของฝีมือรวมหมู่ที่ทุก ๆ คนช่วยกันทำงานลงแรงตั้งแต่เช้ามืด มันอร่อยเสียจนสิงห์คำกินตับปิ้ง จอผักกาด กับแกงปลีเพียงคำ 2 คำเท่านั้น เพื่อไม่ให้แม่เป็นห่วงสิงห์คำชอบการทำลาบช่วงหน้าหนาวเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็น ได้กินเครื่องในทอดกรอบที่กำลังร้อน กินลาบที่รสจัด เครื่องเทศและผักบางชนิดที่ทำให้ร้อนไปทั้งสิ้น และท่ามกลางญาติพี่น้อง บรรยายคึกคัก ทำให้ร่างกายอบอุ่น คลายหนาว กินอิ่มแล้ว สิงห์คำกับน้องและลูกพี่ลูกน้องอีก 5-6 คน ยังนั่งล้อมวงดูลุงแก้วกินลาบกับผัก 1 กะละมังใหญ่ ลุงแก้วยังกินไม่อิ่ม ลาบยังไม่หมด ผักก็เพิ่งพร่องไปไม่ถึงครึ่งกะละมัง เหล้ายังมีอีกครึ่งขวด แต่สายตาของลุงแก้วบอกชัดว่าของดี ๆ อย่างนี้ต้องค่อย ๆ กิน และกว่าทุกอย่างจะหายเข้าไปในท้องของลุงแก้วก็เกือบเที่ยงวันโน่น 5.เมื่อสิงห์คำเรียนจบและถึงเวลารับปริญญา พ่อกับแม่และน้อง ๆ ก็ลงไปร่วมงานที่เมืองหลวง สิงห์คำพาทุกคนไปกินไก่ย่างและลาบอีสานข้างสนามมวยบนถนนราชดำเนิน นั่นเป็นครั้งแรกที่แม่และน้องสาว (และทุกคนยกเว้นสิงห์คำ) ได้กินลาบอีสานก่อนสิ้นทศวรรษที่ 2510 แม่กับน้องสาวชมแล้วชมอีกว่าลาบอีสานอร่อยแท้ ทั้งเผ็ด ทั้งเปรี้ยวถึงใจสตรีชาวเหนือ พ่อไม่พูดอะไร แต่ก็ค้อนให้หลายวง สิงห์คำรู้ใจพ่อดี แม้พ่อจะกินไก่ย่างกับลาบอีสานอย่างเรียบร้อยไม่มีปัญหา แต่สิงห์คำก็รู้ดีว่าพ่อคิดถึงอะไร สิงห์คำคิดว่าลาบอีสานก็อร่อยโดยเฉพาะรสเปรี้ยวด้วยมะนาว ที่ลาบของคนเมืองไม่มี แต่สำหรับเขากับพ่อ ไหนเลยจะสู้ลาบเมืองที่พรั่งพร้อมด้วยเครื่องเทศ เครื่องในที่กรอบและมัน หนักที่รสเผ็ด เค็มมัน และรสและกลิ่นของผักนานาชนิดได้ แน่นอน คนอีสานย่อมบอกว่าลาบของตนเองอร่อยที่สุด ถูกต้องแล้ว ความอร่อยของอาหารในแต่ละถิ่นย่อมวัดจากการลงทุนลงแรงของชีวิต เลือดเนื้อและการหลอมรวมวัฒนธรรมของบ้านตัวเองที่สั่งสมและสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน บ้านใครบ้านมัน 6.วันนี้ไม่มีพ่อกับแม่อีกแล้ว ลุงแก้วก็จากไปแล้ว พี่น้องต่างแยกย้ายกันไปตามหน้าที่การงานและครอบครัวของแต่ละคน แต่อายังอยู่อีกหลายคน สิงห์คำเสนอว่าอย่างน้อยญาติพี่น้องได้จัดเวลาพบปะกัน ร่วมกันทำลาบและกินลาบด้วยกันปีละครั้งในหน้าหนาวก็ยังดี แผ่น ดินล้านนาเวลานี้มีร้านขายลาบ-หลู้เยอะแยะ ไม่เหมือนหลายสิบปีก่อนที่แทบจะไม่มีร้านขายลาบ-หลู้ ไม่ว่าที่ไหน เศรษฐกิจสินค้าที่เติบโตในสังคมปัจจุบันทำให้สตรีคนเมืองจำนวนมากทำลาบดิบ ขาย รสชาติอร่อยมากไม่แพ้ฝีมือผู้ชายคนเมืองในอดีต เดินเข้าไปในตลาด เลือกเอาเลยว่าจะซื้อลาบแบบใด ลาบลอ ลาบดิบ ลาบคั่ว ลาบเป็ด ลาบเห็ด ลาบอีสาน กระทั่งมีคนนำเอาลาบดิบมาทอดเป็นลูกกลม ๆ ขายแบบลูกชิ้น หรือจะขับรถไปที่ร้านขายลาบ-หลู้ มีหลายร้านที่ทำลาบเมืองได้อร่อยนัก เมื่อทุกวันนี้ มีลาบ-หลู้คอยสนองความต้องการของผู้บริโภคเป็นจำนวนมากทุกวัน ทั้งที่ในตลาดและตามร้านขายลาบ-หลู้ทั้งหลาย กิจกรรมการทำลาบร่วมกันในหมู่สมาชิกครอบครัวจึงหมดไป การตั้งวงใหญ่เพื่อทำลาบและกินลาบก็หมดความจำเป็น เพราะเวลานี้ คนเดียวหรือ 2-3 คนก็กินลาบได้ทุกวัน ทุกมื้อ จะไปที่ไหนก็หาซื้อลาบมากินได้ทันที และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตลาดและร้านขายอาหารเมืองจะอยู่และเฟื่องฟูต่อไปเพื่อรับใช้ความต้องการของคนเมืองในสังคมปัจจุบัน เพียงแต่ว่าอย่าลืมชักชวนพี่น้องของเราให้ได้พบปะกันบ้าง ซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างมาร่วมกันทำลาบที่บ้าน แล้วก็อย่าลืมทำสวนครัวปลูกผักหลาย ๆ ชนิดไว้กินกับลาบที่ครอบครัวช่วยกันทำเอง หรือจะเก็บผักจากสวนครัวมากินกับลาบที่ซื้อมาจากตลาดก็ได้ ว่าแต่ว่า วันนี้ คุณกับครอบครัวยังกินลาบเมืองกันบ้างหรือเปล่า หรือว่ากินไม่เป็นแล้ว โดย ธเนศวร์ เจริญเมือง ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ | ||
![]() |
ลาบคนเมือง (ภาคแรก)
ช้าวันใด บ้านไหนมีเสียงมีดกระทบเขียงดัง "ปก ๆๆๆ" ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็เป็นอันที่แน่นอนว่าวันนั้น บ้านหลังนั้นกำลังทำลาบ และจะกินลาบเป็นอาหารเช้า ซึ่งแปลว่าบ้านนั้นกำลังมีวาระพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง ลาบเป็นอาหารอันดับหนึ่งของคนเมือง หรือที่เคยเรียกกันว่าคนยวน หรือโยน หรือโยนก ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณ 8 จังหวัดของภาคเหนือตอนบนของไทย นอกจากนี้ยังมีคนเมืองกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ในบางอำเภอของจังหวัดใกล้เคียง เช่น ตาก อุตรดิตถ์ และสุโขทัย ในอดีต คนเมืองกินลาบในงานเทศกาล งานประเพณีสำคัญ หรือโอกาสพิเศษ เช่น ญาติมิตรมาเยือน
ที่ว่าลาบคือ สุดยอดอาหารของคนเมือง ก็เพราะ
1.ลาบ เป็นคำที่พ้องเสียงกับคำว่า ลาภ ซึ่งมีความหมายเป็นศิริมงคล
2.ลาบในอดีตทำด้วยเนื้อสัตว์ใหญ่ โดยเฉพาะวัวควายซึ่งเป็นสัตว์สำคัญ คนเมืองกินข้าว ปลา น้ำพริก และผักทุกวัน แต่มิได้กินเนื้อวัวควาย หรือเนื้อหมูบ่อย ๆ โดยเฉพาะลาบซึ่งใช้เนื้อมากเป็นพิเศษ 3.ลาบเป็นอาหารที่ใช้เครื่องเทศมากและผักนานาชนิด เครื่องเทศและผักซึ่งเป็นยารักษาโรค ป้องกันโรค และบำรุงร่างกาย เนื้อที่สับละเอียด เครื่องเทศกับผักแปลก ๆ มากมายเมื่อแยกทั้ง 3 สิ่งออกจากกันก็ไม่มีรสชาติใด ๆ น่าสนใจ กระทั่งกินไม่ได้ ต่อเมื่อมาทำเป็นลาบและกินรวมกัน จึงได้อาหารรสเลิศ
4.ลาบดิบใช้เนื้อดิบ และเลือดสด ๆ ดังนั้น คนเมืองเพศชายจึงถือลาบดิบเป็นอาหารแห่งศักดิ์ศรีของพวกเขา
5.กระบวนการทำลาบมีหลายขั้นตอน ใช้เวลานาน ค่อนข้างยุ่งยาก ส่งผลให้คนจำนวนมากเข้ามาร่วมกันทำ ได้นั่งพูดคุยปรึกษากัน กลายเป็นกิจกรรมร่วมของคนในตระกูล และของดีที่ได้มาด้วยความยากลำบาก ของนั้นก็ยิ่งสูงค่า และ
6.ลาบเพียงอย่างเดียวมีทั้งเนื้อ น้ำพริก เครื่องเทศ และผัก และมีรสชาติยอดเยี่ยม ทั้งเค็ม มัน เผ็ด และหอมกลิ่นเครื่องเทศ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ลาบเป็นกับข้าวอย่างเดียว ที่มีอาหารทุกประเภทอยู่ในนั้น
ลาบ จึงเป็น อาหารระดับคลาสสิคของคนเมือง โดยเฉพาะผู้ชายคนเมืองจะได้รับการถ่ายทอดให้ภาคภูมิใจยิ่งนักในอาหารประเภท นี้ ลาบไม่ใช่อาหารแบบสุกเอาเผากิน หรือทำอย่างลวก ๆ และขาดแคลนอุปกรณ์ ลาบเป็นของสูง ลาบเมืองคือวัฒนธรรมสำคัญของคนเมือง น่าเชื่อว่าวัฒนธรรมลาบหลู้ (หลู้คือเลือดสดที่คลุกกับน้ำพริกลาบและมีเนื้อลาบคลุกด้วยเล็กน้อย กลายเป็นอาหารประเภทเหลวเพื่อตักซด) ได้ผ่านกระบวนการดัดแปลงและสืบสานมาเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปีในดินแดนล้าน นา)
ลาบ มีหลายชนิด เช่น ลาบดิบ คือลาบที่ผ่านกระบวนการทำดังที่กล่าวมา กินได้เลย ลาบคั่ว คือลาบดิบซึ่งนำไปผัดให้สุกบนกระทะด้วยน้ำต้มหรือน้ำมัน โรยด้วยกระเทียมเจียว ลาบลอ คือลาบเนื้อหมูผสมวัวหรือควาย ลาบเก๊าหรือลาบใกล้แจ้ง คือลาบที่ทำครั้งแรกโดยใช้เนื้อที่เพิ่งชำแหละในตอนย่ำรุ่ง ลาบเหนียว คือลาบดิบที่เหนียวเป็นพิเศษ เนื่องจากผสมกับมะเขือขื่นเผาไฟ, เปลือกไม้จากต้นลำใย หรือต้นมะกอก หรือต้นเพกา ซึ่งโขลกผสมลงไป
ลาบหมูต่างจากลาบวัว-ควายตรงที่เนื้อหมูไม่มีกลิ่น ดังนั้นจึงมีการทอดเครื่องในหั่นทั้งหมดให้กรอบและต้มมันหมูกับลาบ อีกส่วนใช้โรยบนลาบเมื่อพร้อมเสิร์ฟ ส่วนเนื้อวัว-ควายมีกลิ่นหอมอยู่แล้ว จึงต้มเครื่องในทั้งหมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งคลุกกับลาบและอีกส่วนหนึ่งเป็นของแกล้มลาบ นอกจากเนื้อที่กล่าวมา คนเมืองอาจใช้ไก่ ปลาหรือเนื้อฟาน (เก้ง) ทำลาบด้วย
ส่วนใครจะทำลาบกินตอนเช้าหรือสายหรือตอนเย็นก็ได้ทั้งนั้น คนเมืองส่วนใหญ่กินลาบตอนเช้าก็เพราะเขาฆ่าสัตว์ตอนเช้ามืด จึงต้องการเนื้อใหม่สดทำลาบ แต่หากมีการล้มวัวควายตอนบ่าย แน่นอน ก็ต้องทำลาบเป็นอาหารมื้อเย็น
ช่วงเวลานี้เอง ที่ญาติพี่น้องจะทยอยเข้ามาสมทบ ช่วยกันต้มหรือทอดและหั่นเครื่องใน หมกหรือปิ้งอุปกรณ์ทำน้ำพริกลาบ ตำน้ำพริกลาบ อีกส่วนหนึ่งออกไปเก็บผักรอบบ้าน ล้างผัก และจัดผักใส่จานหรือกะละมัง อีกส่วนหนึ่งทำหน้าที่นึ่งข้าว คนที่คุมเขียงทำหน้าที่ลาบทั้ง 3-4 เขียงก็คือพ่อกับลุงอาทั้งหลาย และบางครั้งก็มีลุงอาคนอื่นสลับเข้ามา ขณะที่ลาบเสียงดังปก ๆๆๆ เซ็งแซ่ ก็คุยกันไป จิบเหล้ากันไป นาน ๆ ก็มีอาผู้ชายนำเอาเลือดและมะเขือหมกไฟไปผสมกับลาบบนเขียง พ่อลาบไปก็บัญชาการไป สั่งว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลัง พวกผู้หญิงแม่บ้าน ลูกหลานก็เดินไปมาปฏิบัติการตามคำสั่งเหล่านั้น คุยกันไป หัวเราะกันไป ลูกหลานวิ่งไปมาเพื่อช่วยงานของผู้ใหญ่ แอบหยิบกินเครื่องในบ้าง บางทีก็วิ่งมาดูผู้ใหญ่ลาบไม่นาน ย่าก็เดินลงมาจากเรือน มานั่งคุยกับกองบัญชาการที่ยังลาบไม่เสร็จ
นี่ไม่ใช่เพียงกิจกรรมของครอบครัว หากเป็นกิจกรรมที่ผู้ชายบัญชาการและควบคุมปฏิบัติการต่าง ๆ ด้านอาหารอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าใครจะช่วยงานด้านใด สิงห์คำไม่เคยเห็นผู้หญิงคนใดได้เข้ามานั่งลาบเนื้อแทนที่ผู้ชายแม้แต่คนเดียว นี่คือลาบ ลาบเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวที่ผู้ชายคนเมืองเป็นคนทำและลงมือทำด้วยชีวิตและหัวใจ ลาบที่ผู้ชายคนเมืองเป็นพระเอกหรือผู้หญิงที่ครองฐานะสำคัญในสังคมล้านนามาตลอดยอมปล่อยให้ผู้ชายได้เป็นพระเอกสักมื้อ
แต่ละวันที่ผ่านไปโดยไม่มีลาบ สิงห์คำไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ ที่ผู้ชายลงมาทำอาหารอย่างกระตือรือร้นและแข็งขัน สิงห์คำได้พบว่าพ่อดูมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อได้ทำลาบและมีญาติพี่น้องมากมายช่วยกันทำงาน เดินเข้าเดินออก
การยำลาบเป็นกิจกรรมขั้นสุดท้ายที่ต้องอาศัยฝีมือ นั่นคือยำลาบอย่างไรให้ลาบเหนียวข้นพอเหมาะ ไม่เหนียวเกินไปและไม่อ่อนเละเกินไป จะใส่น้ำพริกลาบ เครื่องใน น้ำต้มเครื่องใน เกลือ และน้ำปลามากเท่าใดเพื่อให้ได้รสชาติทุกอย่างกำลังพอดี
พิจารณาจากกระบวนการทั้งหลาย แน่นอนทุกอย่างสำคัญหมด แต่ปัจจัยหลักดูจะอยู่ที่กิจกรรม 3 อย่างได้แก่ การลาบให้เนื้อละเอียดและเหนียว การทำน้ำพริกที่มีรสชาติดีและการยำให้ลาบให้เหนียวพอเหมาะและมีรสชาติเข้มข้น
ฝีมือเหล่านี้ต่างกัน นาน ๆ เข้า แต่ละคนก็รู้ว่าใครมีฝีมือยอดเยี่ยมในสกุลนี้ โดยเฉพาะการทำน้ำพริกลาบ ที่เรียกกันว่า "เครื่องถึง" มิน่าเล่า ผู้คนถึงได้นิยมงานประกวดลาบกันนัก
(จบตอนแรก รออ่านตอนต่อไปได้อาทิตย์หน้าครับ)
ที่ว่าลาบคือ สุดยอดอาหารของคนเมือง ก็เพราะ
1.ลาบ เป็นคำที่พ้องเสียงกับคำว่า ลาภ ซึ่งมีความหมายเป็นศิริมงคล
2.ลาบในอดีตทำด้วยเนื้อสัตว์ใหญ่ โดยเฉพาะวัวควายซึ่งเป็นสัตว์สำคัญ คนเมืองกินข้าว ปลา น้ำพริก และผักทุกวัน แต่มิได้กินเนื้อวัวควาย หรือเนื้อหมูบ่อย ๆ โดยเฉพาะลาบซึ่งใช้เนื้อมากเป็นพิเศษ 3.ลาบเป็นอาหารที่ใช้เครื่องเทศมากและผักนานาชนิด เครื่องเทศและผักซึ่งเป็นยารักษาโรค ป้องกันโรค และบำรุงร่างกาย เนื้อที่สับละเอียด เครื่องเทศกับผักแปลก ๆ มากมายเมื่อแยกทั้ง 3 สิ่งออกจากกันก็ไม่มีรสชาติใด ๆ น่าสนใจ กระทั่งกินไม่ได้ ต่อเมื่อมาทำเป็นลาบและกินรวมกัน จึงได้อาหารรสเลิศ
4.ลาบดิบใช้เนื้อดิบ และเลือดสด ๆ ดังนั้น คนเมืองเพศชายจึงถือลาบดิบเป็นอาหารแห่งศักดิ์ศรีของพวกเขา
5.กระบวนการทำลาบมีหลายขั้นตอน ใช้เวลานาน ค่อนข้างยุ่งยาก ส่งผลให้คนจำนวนมากเข้ามาร่วมกันทำ ได้นั่งพูดคุยปรึกษากัน กลายเป็นกิจกรรมร่วมของคนในตระกูล และของดีที่ได้มาด้วยความยากลำบาก ของนั้นก็ยิ่งสูงค่า และ
6.ลาบเพียงอย่างเดียวมีทั้งเนื้อ น้ำพริก เครื่องเทศ และผัก และมีรสชาติยอดเยี่ยม ทั้งเค็ม มัน เผ็ด และหอมกลิ่นเครื่องเทศ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ลาบเป็นกับข้าวอย่างเดียว ที่มีอาหารทุกประเภทอยู่ในนั้น
ลาบ จึงเป็น อาหารระดับคลาสสิคของคนเมือง โดยเฉพาะผู้ชายคนเมืองจะได้รับการถ่ายทอดให้ภาคภูมิใจยิ่งนักในอาหารประเภท นี้ ลาบไม่ใช่อาหารแบบสุกเอาเผากิน หรือทำอย่างลวก ๆ และขาดแคลนอุปกรณ์ ลาบเป็นของสูง ลาบเมืองคือวัฒนธรรมสำคัญของคนเมือง น่าเชื่อว่าวัฒนธรรมลาบหลู้ (หลู้คือเลือดสดที่คลุกกับน้ำพริกลาบและมีเนื้อลาบคลุกด้วยเล็กน้อย กลายเป็นอาหารประเภทเหลวเพื่อตักซด) ได้ผ่านกระบวนการดัดแปลงและสืบสานมาเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปีในดินแดนล้าน นา)
ในอดีต ครั้งที่ระบบตลาดและการผลิตเพื่อขายและลัทธิบริโภคนิยมยังไม่แพร่หลายมากมายเช่นปัจจุบัน กระบวนการผลิตและบริโภคลาบเป็นกิจกรรมครอบครัวและกิจกรรมเพื่อนฝูงรวมทั้งเป็นกิจกรรมทางสังคมที่สำคัญของหมู่บ้านเริ่มตั้งแต่ 1.การฆ่าวัวหรือควายซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ เป็นสัตว์ใช้งานในภารกิจสำคัญยิ่งของชาวบ้านคือการทำเกษตร ดังนั้นแต่ละปีจึงมีการฆ่าแกงสัตว์ประเภทนี้น้อย 2.การลาบเนื้อที่มีปริมาณมากและต้องใช้เวลานานเพื่อให้เนื้อแหลกละเอียด 3.การทอดกรอบหรือต้มเครื่องใน เสร็จแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4.การทำน้ำพริกลาบ ซึ่งจะต้องหมกกระเทียม หอมแดง ข่า ตะไคร้ กะปิ มะเขือขื่น การปิ้งพริกแห้ง การคั่วเครื่องเทศ ซึ่งประกอบด้วยดีปลี ดอกจันทร์ ยี่หร่า พริกไทยดำ กระวาน ลูกผักชี ลูกละมาด (มะแขว่น) เสร็จแล้วจึงตำอุปกรณ์ทั้งหมด ได้น้ำพริกลาบ หรือบางแห่งเรียกว่าน้ำพริกดำ 5.การเก็บผักเท่าที่หาได้ในบริเวณบ้านและสวนราว 20-40 ชนิด เช่น ผักที่มีรสขม (เช่น ผักแปม ยอดมะเฟือง มะแว้ง) ผักที่มีกลิ่นหอมฉุน (เช่น ผักสะระแหน่ หอมด่วนหลวง ผักคาวตอง ผักไผ่ ผักชี ผักชีฝรั่ง ใบอ่อนของมะนาวและมะกรูดทอดกรอบ) ผักที่มีรสเปรี้ยวฝาด (เช่น ยอดมะม่วง ยอดมะกอก ยอดมะยม) และผักอื่น ๆ เช่น ต้นหอม ผักกาด กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เล็บครุฑ แตงกวา ถั่วฝักยาว กระถิน ยอดโกสน ยอดกุหลาบ ถั่วพู คอกแค ชะอม มะเขือ มะเขือพวง มะเขือเทศ ใบบัวบก ฝักเพกาหมกไฟ และพริกขี้หนู เป็นต้น 6.การน้ำเนื้อลาบมาคลุกเคล้ากับน้ำพริกลาบ และเครื่องใน การคลุกเรียกว่า "ยำลาบ" คนยำจะต้องทำให้เนื้อกับน้ำพริกเข้ากันอย่างดี โดยใช้น้ำต้มเครื่องในผสมด้วย แต่มิให้เหนียวหรือแฉะเกินไป สำหรับลาบวัวและลาบควาย คนเมืองมักนิยมให้มีรสขม จึงใช้น้ำเพี้ย หรือน้ำดี (กากอาหารที่ติดค้างอยู่ในกระเพาะวัว-ควาย) คลุกกับลาบ
ลาบ มีหลายชนิด เช่น ลาบดิบ คือลาบที่ผ่านกระบวนการทำดังที่กล่าวมา กินได้เลย ลาบคั่ว คือลาบดิบซึ่งนำไปผัดให้สุกบนกระทะด้วยน้ำต้มหรือน้ำมัน โรยด้วยกระเทียมเจียว ลาบลอ คือลาบเนื้อหมูผสมวัวหรือควาย ลาบเก๊าหรือลาบใกล้แจ้ง คือลาบที่ทำครั้งแรกโดยใช้เนื้อที่เพิ่งชำแหละในตอนย่ำรุ่ง ลาบเหนียว คือลาบดิบที่เหนียวเป็นพิเศษ เนื่องจากผสมกับมะเขือขื่นเผาไฟ, เปลือกไม้จากต้นลำใย หรือต้นมะกอก หรือต้นเพกา ซึ่งโขลกผสมลงไป
ลาบหมูต่างจากลาบวัว-ควายตรงที่เนื้อหมูไม่มีกลิ่น ดังนั้นจึงมีการทอดเครื่องในหั่นทั้งหมดให้กรอบและต้มมันหมูกับลาบ อีกส่วนใช้โรยบนลาบเมื่อพร้อมเสิร์ฟ ส่วนเนื้อวัว-ควายมีกลิ่นหอมอยู่แล้ว จึงต้มเครื่องในทั้งหมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งคลุกกับลาบและอีกส่วนหนึ่งเป็นของแกล้มลาบ นอกจากเนื้อที่กล่าวมา คนเมืองอาจใช้ไก่ ปลาหรือเนื้อฟาน (เก้ง) ทำลาบด้วย
ส่วนใครจะทำลาบกินตอนเช้าหรือสายหรือตอนเย็นก็ได้ทั้งนั้น คนเมืองส่วนใหญ่กินลาบตอนเช้าก็เพราะเขาฆ่าสัตว์ตอนเช้ามืด จึงต้องการเนื้อใหม่สดทำลาบ แต่หากมีการล้มวัวควายตอนบ่าย แน่นอน ก็ต้องทำลาบเป็นอาหารมื้อเย็น
ผู้ชายกับผู้หญิงชาวเหนือในอดีตช่วยกันทำงานทุกชนิดในบ้านและที่ทุ่งนา แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่สิงห์คำไม่เคยเห็นพ่อหรือลุงอาทำเลย นั่นคือผู้ชายไปจ่ายตลาด ตลาดของล้านนาในอดีตจึงเป็นบริเวณของสตรีเป็นส่วนใหญ่ มีผู้ชายที่เป็นพ่อค้าและคนไปซื้อกับข้าวน้อยรายเหลือเกินแต่เมื่อพ่อกับลุงอาตกลงกันว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะ "ลาบจิ้น" เท่านั้นแหละ พวกผู้ใหญ่ผู้ชายทั้งหลายก็จะกลับกลายเป็นคนละคน นั่นคือ เช้ามืดวันรุ่งขึ้น พวกเขาจะออกไปตลาด ไปซื้อเนื้อและเครื่องในด้วยตัวเองเพื่อคัดเลือกเอาส่วนที่ดีที่สุด บางคนก็แยกย้ายไปซื้อเครื่องเทศ และคัดเลือกผักแปลก ๆ บางส่วนก็มอบหมายให้ผู้หญิงไปซื้อ จากนั้น พ่อกับลุงอาก็จะกลับมาหั่นเนื้อและเครื่องใน ลงมือลาบ ทอดหรือต้มเครื่องใน และทำน้ำพริกลาบซึ่งล้วนกินเวลานาน
ช่วงเวลานี้เอง ที่ญาติพี่น้องจะทยอยเข้ามาสมทบ ช่วยกันต้มหรือทอดและหั่นเครื่องใน หมกหรือปิ้งอุปกรณ์ทำน้ำพริกลาบ ตำน้ำพริกลาบ อีกส่วนหนึ่งออกไปเก็บผักรอบบ้าน ล้างผัก และจัดผักใส่จานหรือกะละมัง อีกส่วนหนึ่งทำหน้าที่นึ่งข้าว คนที่คุมเขียงทำหน้าที่ลาบทั้ง 3-4 เขียงก็คือพ่อกับลุงอาทั้งหลาย และบางครั้งก็มีลุงอาคนอื่นสลับเข้ามา ขณะที่ลาบเสียงดังปก ๆๆๆ เซ็งแซ่ ก็คุยกันไป จิบเหล้ากันไป นาน ๆ ก็มีอาผู้ชายนำเอาเลือดและมะเขือหมกไฟไปผสมกับลาบบนเขียง พ่อลาบไปก็บัญชาการไป สั่งว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลัง พวกผู้หญิงแม่บ้าน ลูกหลานก็เดินไปมาปฏิบัติการตามคำสั่งเหล่านั้น คุยกันไป หัวเราะกันไป ลูกหลานวิ่งไปมาเพื่อช่วยงานของผู้ใหญ่ แอบหยิบกินเครื่องในบ้าง บางทีก็วิ่งมาดูผู้ใหญ่ลาบไม่นาน ย่าก็เดินลงมาจากเรือน มานั่งคุยกับกองบัญชาการที่ยังลาบไม่เสร็จ
นี่ไม่ใช่เพียงกิจกรรมของครอบครัว หากเป็นกิจกรรมที่ผู้ชายบัญชาการและควบคุมปฏิบัติการต่าง ๆ ด้านอาหารอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าใครจะช่วยงานด้านใด สิงห์คำไม่เคยเห็นผู้หญิงคนใดได้เข้ามานั่งลาบเนื้อแทนที่ผู้ชายแม้แต่คนเดียว นี่คือลาบ ลาบเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวที่ผู้ชายคนเมืองเป็นคนทำและลงมือทำด้วยชีวิตและหัวใจ ลาบที่ผู้ชายคนเมืองเป็นพระเอกหรือผู้หญิงที่ครองฐานะสำคัญในสังคมล้านนามาตลอดยอมปล่อยให้ผู้ชายได้เป็นพระเอกสักมื้อ
แต่ละวันที่ผ่านไปโดยไม่มีลาบ สิงห์คำไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ ที่ผู้ชายลงมาทำอาหารอย่างกระตือรือร้นและแข็งขัน สิงห์คำได้พบว่าพ่อดูมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อได้ทำลาบและมีญาติพี่น้องมากมายช่วยกันทำงาน เดินเข้าเดินออก
การยำลาบเป็นกิจกรรมขั้นสุดท้ายที่ต้องอาศัยฝีมือ นั่นคือยำลาบอย่างไรให้ลาบเหนียวข้นพอเหมาะ ไม่เหนียวเกินไปและไม่อ่อนเละเกินไป จะใส่น้ำพริกลาบ เครื่องใน น้ำต้มเครื่องใน เกลือ และน้ำปลามากเท่าใดเพื่อให้ได้รสชาติทุกอย่างกำลังพอดี
พิจารณาจากกระบวนการทั้งหลาย แน่นอนทุกอย่างสำคัญหมด แต่ปัจจัยหลักดูจะอยู่ที่กิจกรรม 3 อย่างได้แก่ การลาบให้เนื้อละเอียดและเหนียว การทำน้ำพริกที่มีรสชาติดีและการยำให้ลาบให้เหนียวพอเหมาะและมีรสชาติเข้มข้น
ฝีมือเหล่านี้ต่างกัน นาน ๆ เข้า แต่ละคนก็รู้ว่าใครมีฝีมือยอดเยี่ยมในสกุลนี้ โดยเฉพาะการทำน้ำพริกลาบ ที่เรียกกันว่า "เครื่องถึง" มิน่าเล่า ผู้คนถึงได้นิยมงานประกวดลาบกันนัก
(จบตอนแรก รออ่านตอนต่อไปได้อาทิตย์หน้าครับ)
โดย ธเนศวร์ เจริญเมือง ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ
กว่าง..มาจากแผ่นดินล้านนา (จบ)
| ||||||
![]() |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)