จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กว่าง..มาจากแผ่นดินล้านนา (จบ)




บางคนนำกว่างมาจากบ้านเพื่อนำมาเปรียบกับกว่างตัวอื่น ๆ คนที่มาตลาดนี้โดยส่วนใหญ่จะคุยกันอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันมาหลายปี คนที่มีกว่างติดตัวมาก็จะนำกว่างมาเปรียบเทียบสัดส่วนกัน เมื่อเห็นว่าขนาดพอเป็นคู่ต่อสู้กันได้ โดยดูที่ขนาดลำตัว ความยาวและความหนาของเขาบนและเขาล่าง การชนกว่างก็เริ่มขึ้น

ราว 11 โมง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งบอกว่าเป็นคนเมืองแพร่นำกว่างของเธอลงไม้คอนด้านหลังที่นั่งของลุงอ้วน ชายอีกคนทรุดนั่งตรงข้ามปล่อยกว่างฮักลงบนไม้คอนท่อนเดียวกันเท่านั้นเอง หนุ่มน้อยใหญ่ก็เข้าห้อมล้อมโดยอัตโนมัติ

ผลัดเปลี่ยนกันดมกว่างแม่อู้ด เจ้าของกว่างทั้งสองฝ่ายใช้ไม้ผั่นหมุนหน้าเขาซ้ายขวาและหมุนด้านข้างลำตัวเพื่อให้กว่างเดินหน้าถอยหลังและเลี้ยวซ้ายขวา ตลอดจนใช้ไม้ผั่นงัดด้านหน้าของกว่างเพื่อให้กว่างงัดตอบ เป็นการอุ่นเครื่องเหมือนนักมวยและนักกีฬาทั่วไปราว 3-4 นาที ขณะเดียวกันก็เอามือข้างหนึ่งป้องไว้มิให้กว่างอีกตัวเข้ามาชน

จาก นั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น กว่างทั้งสองกางเขาบนล่างออก แล้วหาจังหวะเข้าหนีบฝ่ายตรงข้าม จังหวะฝีมือก็วัดกันตรงนี้ นั่นคือ ตัวที่เก่งกว่าต้องเลือกมุมเข้าหนีบให้ถนัด นั่นคือเขาล่างสอดลึกเข้าไปที่ยอดอกของคู่ต่อสู้ หรือหนีบที่โคนขา กว่างมี 6 ขา ขณะที่เขาหนีบ ก็จะออกแรงดัน ขาหน้าทั้งสองก็จะตะปบขาของคู่ต่อสู้เพื่อเกาะที่มั่นหรือกดขาของคู่ต่อสู้ ไว้

เมื่อทั้งสองสวมเขาเข้าหนีบกันพอดี ๆ เรียกว่ากำลังคามกัน กว่างทั้งสองฝ่ายก็จะออกแรงหนีบและดันกันอย่างดุเดือด พร้อมกับส่งเสียง ซี้ ซ้า… ซ้า…ระหว่างนั้น กติกาคือเจ้าของกว่างทั้งสองฝ่ายจะไม่มีสิทธิใช้ไม้ผั่นไปถูกร่างกายส่วนของกว่าง แต่จะใช้ไม้ผั่นเคาะไม้กอนหรือหมุนไม้ผั่นกับไม้กอน เกิดเสียงดังระรัวปลุกเร้าใจนักสู้ของกว่างและผู้ชม

โดยทั่วไป การต่อสู้จะเริ่มต้นใหม่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถอยไปติดด้านหนึ่งของไม้กอน หรือถูกหนีบ ขาหลุดลอยตัวกลางอากาศแล้วผลัดตกลงจากไม้กอน

การต่อสู้แต่ละครั้งจะนับเป็นคามแลฃะมักจะให้สู้กัน 8 คาม หากไม่มีฝ่ายใดถอยหนี ก็ถือว่าเสมอกันไป แต่บางครั้งเจ้าของอาจจะตกลงกันว่า สู้กันสัก 2-3 คามเป็นการจามกัน (จามแปลว่าการทดลองชนกันเพื่อดูลีลาไม่เอาจริง)

ท่ามกลางเสียงซี้ ซ้า ซี้ ซ้า เสียงไม้ผั่นระรัว และเสียงเฮเป็นระยะของกองเชียร์ผมก็ได้เห็นผู้คนต่อสีนั้น รองสีนี้ หรือเสมอสีนั้น (ตามสีเสื้อของเจ้าของกว่าง) 20, 30, 50, 100 บาท ตามความเข้มข้นของการโรมรันพันตู

เจ้ากว่างซ้งของสาวเมืองแพร่ดูจะหนากว่านิดหน่อย จึงมีคนต่อ 5-4 กระทั่ง 3-2 แต่เมื่อผ่านไป 4 คาม เจ้ากว่างฮักของชายเสื้อสีน้ำเงินก็ยังทะมัดทะแมง ไม่ยอมแพ้ กระทั่งสามารถหนีบกว่างเมืองแพร่ให้ลอยขึ้นกลางอากาศได้ ราคาก็ลดลงมาที่เสมอกันสำหรับคนที่พนันตอนหลัง

แต่แล้วเจ้ากว่างฮักก็ถอยหนีไปในคามที่หกของการต่อสู้

คราวนี้ ก็มีการชนกว่างให้ชมอีกหลายคู่ติดต่อกัน เหมือนกับจะบอกว่ายิ่งถึงเวลาพักเที่ยง ที่จะมีคนมามากขึ้น เวทีนี้รับรองว่าสู้กันมันหยดแน่นอน

แรก ๆ ผมเห็นเขาเอากว่างมาชนกันนึกว่าแถวนี้ ไม่มีการเล่นพนัน ที่ไหนได้ครับสักพักเดียว แบ๊งค์ 20 บาท 50 บาทก็ปลิวว่อน แต่แน่นอนว่า ปริมาณเงินที่พนันกันต้องมีน้อยกว่าที่บ่อนชนกว่างจริง ๆ หลายเท่า

11.50 น. ผมเห็นสามเณร 4 รูปเดินในเพิงขายไม้กอน ผมจึงเข้าไปสังเกตการณ์ที่สุดเณรกลุ่มนี้ก็ซื้อไม้กอนชนิดถูกที่สุด คือ 30 บาทไป 1 ท่อน ผมถามว่ามาจากวัดไหน พวกเณรก็ใจกล้าพอโดยไม่คิดว่าผมจะไปฟ้องเจ้าอาวาส ว่าพวกเขามาจากวัดพระนอนหนองผึ้งสารภี

อืม…นี่ แหละครับ สามเณรในล้านนาอายุ 12-14 ปี พ่อแม่ให้ไปบวชเรียน ธรรมเนียมล้านนาดั้งเดิมไม่เคยเคร่งครัดกับสามแณรอยู่แล้วหลายครั้งโดยเฉพาะ ในอดีต ผมเห็นเณรเดินกลับบ้านไปกินข้าวเย็นร่วมกับพ่อแม่ แล้วก็กลับไปที่วัด

ป้านภาเล่าว่าเธอเริ่มขายอ้อย ขายกว่าง เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่บริเวณริมฝั่งน้ำแม่ปิงใกล้สะพานนวรัฐ ที่นั่นมีคนไปเยี่ยมชม ซื้ออ้อยซื้อกว่าง จามกว่าง ชนกว่าง มีสื่อมวลขนนำไปออกรายการโทรทัศน์ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศและชาวไทยไปชมกันเป็นคณะ ๆ

แต่แล้วฝ่ายบ้านเมืองร่วมกับฝ่ายสภาคริสตจักรที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เข้าไปตกแต่งพื้นที่ริมน้ำแม่ปิงให้สวยงาม และไม่ยอมให้ตลาดกว่างตั้งที่นั่นอีกต่อไป ส่วนใหญ่ของการผลักไสเกิดจากความเห็นของบางฝ่ายที่ว่าการเอากว่างมาเลี้ยงและนำมาชนกันเป็นการทารุณสัตว์ เป็นความป่าเถื่อนอันหนึ่งของสังคมไทย อีกส่วนหนึ่งเห็นว่าการเล่นพนันเป็นอบายมุขที่สังคมไทยไม่ควรอนุญาต ดังนั้น การปล่อยให้มีตลาดกว่าง ณ จุดนั้นจึงเป็นความอับอายของบ้านเมือง บ้านเมืองไม่ควรเปิดเผยจุดด้อยเหล่านี้ให้คนต่างชาติได้เห็น และปล่อยให้มีการเล่นพนัน ซึ่งเป็นการมอมเมาเยาวชน

แต่การเล่นกว่าง ชนกว่าง และการเล่นพนักเล็ก ๆ น้อย ๆ มีมาในล้านนาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว เราจะมีท่าทีต่อปัญหานี้อย่างไรก็ควรจะต้องพิจารณาหลาย ๆ ด้าน

สังคมล้านนามีความเป็นชนบทมาก มีป่าเขามาก มีประชาชนอยู่ในภาคเกษตรเป็นจำนวนมาก กว่างเป็นสัตว์ที่เกิดขึ้นในช่วงหน้าฝน ที่ชาวนารอคอยการเก็บเกี่ยว การเล่นกว่างและชนกว่างจึงเป็นการละเล่นอย่างหนึ่ง

เราควรจะเข้าใจวิถีชีวิตส่วนนี้ของชาวบ้านอย่างไร ใครจะเป็นคนตัดสินให้เขา จะใช้มุมมองแบบตะวันตกเรื่องการทารุณสัตว์ จะต้องปรับระบบการศึกษาอย่างไรให้คนล้านนาเข้าใจ ด้วยเหตุและผล หรือจะควบคุมการละเล่นดังกล่าวให้อยู่ในขอบเขต หรือจะรื้อทิ้งสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องเปิดการประชุมปรึกษาหารือ หรือจะรื้อทิ้งสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องเปิดการประชุมปรึกษาหารือ และถือว่าเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องน่าอาย เป็นปัญหาร้ายแรงหรือเพียงเพราะว่าการชนกว่างและเล่นพนักที่โจ่งแจ้งในสาธารณะจึงต้องกำจัด แต่หากเป็นการผลิตยาบ้าหรือซ่องโสเภณีนั้น ไม่ประเจิดประเจ้อ ก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะจัดการ

และถ้าหากจะมีใครรู้สึกอายฝรั่งก็คงต้องถามว่าประเพณีที่พวกฝรั่งปล่อยวัวกระทิงให้วิ่งไปตามถนน ไล่ขวิดคนที่วิ่งอยู่ในซอยแคบ ๆ ทุกปีนั้น หรือการเอาคนต่อยมวยกัน 12-15 ชก หรือเอาฝรั่งมาเล่นมวยปล้ำ หักแขนหักขากระโดดจากเชือกบนเวทีมวย ลงไปใส่หน้าคู่ต่อสู้ที่กำลังนอนเจ็บอยู่ อย่างนั้น เราเรียกว่าฝรั่งทำทารุณกรรมหรือไม่ สังคมควรจะทำอย่างไร ทว่า…สุดท้าย ถ่อค้าแม่ค้าที่ขวายกว่าง ขายอ้อย ขายไม้ผั่นและไม้กอนเหล่านี้ก็ถูกไล่ไปโดยไม่มีจุดหมาย หลายปีก่อน พวกเขาไปตั้งตลาดริมถนนดอยสะเก็ดเก่าหลังสนามฟุตบอลโรงเรียนปรินส์รอยฯ ซึ่งมีต้นฉำฉาร่มครึมหลายต้นว่ากันว่าในที่สุด โรงเรียนที่อยู่ใกล้ ๆ กับเทศกิจของเทศบาลนครเชียงใหม่ก็ผลักใสอีกครั้ง คราวนี้เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นว่าจุดนั้นอยู่ใกล้โรงเรียนและดึงนักเรียนวัย 8-12 ปี ให้หนีโรงเรียนมาชมกว่างจนไม่เป็นอันเรียนหนังสือ

อีกประเด็นหนึ่งก็คือ การที่เชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ ผู้คนมีกำลังซื้อมาก กว่างจากที่ต่าง ๆ จึงมีราคาสูงในเมืองนี้ และการที่มีบ่อนกว่างถึง 5-6 แห่งไม่ว่าจะเป็นที่แม่ริม แม่กวง และแม่ก๊ะใต้ ดอยสะเก็ด หางดง และบนถนนพร้าวสายใหม่ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในเมื่อกว่างดี ๆ มีราคาถูกส่งเข้ามาขายที่นี่

ป้านภา เธอบกว่าหลายปีมานี้ เอาอ้อยกับกว่างไปวางขายที่ไหนก็ถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจไล่จับ ประเด็นมีว่าในเมื่อแผ่นดินนี้มีทั้งอุปสงค์คือคนที่อยากเล่นกว่างและชอบ ชนกว่างกับอุปทานคือมีกว่าง อ้อย ไม้กอน และไม้ผั่น คอยสนอง จังหวัด เทศบาล และฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวควรดำเนินการอย่างไร สังคมจะจัดสถานที่สักแห่งให้การละเล่นนี้ดำเนินต่อไป

บ่าย 5 โมงวันพฤหัสที่ 26 กันยายน ผมไปเยือนตลาดกว่างอีกครั้ง

แทบไม่น่าเชื่อว่าคราวนี้จะมีคนเดินไปมาเต็มตาด เลิกงานแล้วนั่นเองที่ทำให้คนนิยมกว่างทั้งหลายเดินทางไปที่นั่น มีนักเรียนและนักศึกษาเดินไปมาหลายสิบคน มีผู้หญิงบ้าง แต่เป็นส่วนน้อย

หลังโต๊ะของลุงอ้วน มีคนมุงดูการชนกว่าง 2 กลุ่มใหญ่ แสดงว่ากำลังมีการต่อสู้กันถึง 2 เวที บริเวณเสาของเพิงด้านขวาของลุงอ้วน ผมเพิ่มเห็นประกาศนียบัตรในกรอบสีน้ำตาลเข้ม เขียนว่า สถาบันราชภัฏเชียงรายได้จัดการประชุมและนิทรรศการ เรื่องกว่าง กีฬาพื้นบ้านกับวิถีชีวิตคนล้านนาและแสดงความขอบคุณต่อนายนิยม ชื่นใจดี (ลุงอ้วนของนักนิยมกว่างทั้งหลาย) ที่ได้สนับสนุนการจัดงานครั้งนั้น ประกาศลงวันที่ 23 ตุลาคม 2544

แถมมีลายเซ็นต์ของผศ.พร.มาณพ โฆษิตวิไลธรรม อธิการบดีคนเก่งของสถาบันราชภัฏเชียงราย และนายไพรัช ดิษฐะบำรุง นายกองค์กรกว่างโลก ว้าว…อะไรจะปานนั้น อยู่ที่ไหนนี่

แล้วผมก็เพิ่งมองเห็นรถตู้สีขาวจอดอยู่ข้าร้านของป้านภา รอบรถตู้คันนั้น มีรูปกว่างตัวใหญ่นับสิบตัวติดทั่ว ป้านภาเล่าว่ารถคันนั้นเป็นของเธอ ลุงอ้วนตั้งใจจะขับไปโชว์ที่นิทรรศการเชียงราย แต่ลุงอ้วนไม่สบายเป็นโรคไตเลยอดไป แต่ก็ส่งอุปกรณ์เกี่ยวกับกว่างไปช่วยงาน

แล้วผมก็มองเห็นกล่องพลาสติกแขวนอยู่ที่ร้านป้านภา ข้างในมีกว่างซางตัวเมีย 10 กว่าตัวสีน้ำตาลอ่อนแกมดำกำลังกินอ้อยก็เลยถามว่าเอามาทำไม ป้านภาบอกว่าอุ๊ย ไม่รู้อะไร แกนี่ ญี่ปุ่นมากันที สั่งกว่างซาง กว่างสามเขา และกว่างหนีบอย่างละ 100-200 คู่ “พวกเขามาสั่งกันทุกปี เขาเอาไปทำวิจัย” เธอบอก

หา…นีแปลว่าแล้วกว่างซ้ง กว่างฮัก ที่เป็นนักสู้ชั้นยอดของล้านนาละที่เขาไม่สั่งแปลว่าเขาเคยสั่งหลายปีมาแล้ว และได้ค้นคว้าทำวิจัยจนรู้จักกันหมดแล้วใช่ไหม

นี่แปลว่าที่เรามัวรังเกียจเรื่องทารุณสัตว์และการเล่นพนันและไล่พ่อค้าแม่ค้าขายกว่างขายอ้อย ให้พวกเขาต้องไปเผชิญชะตากรรม โดยฝ่ายบ้านเมืองไม่เคยมีใจคิดจัดหาบริเวณที่เหมาะสมให้เขานั้น ต่างชาติมันเข้ามาทำอะไรเราไปถึงไหนแล้วนี่

แล้วสถาบันอุดมศึกษา 6-7 แห่งในเชียงใหม่รู้จักกว่างกันบ้างไหม…โอ้ บ้านเมืองป้านภาไม่มีเวลาเล่าอีกแล้ว ลูกค้ายืนคอยซื้ออ้อยอยู่นับสิบคน

ผมไปเยี่ยมลุงวรรณ ไม้ผั่นร้อยกว่าอันที่ผมเคยเห็น เหลือ 4-5 อันเท่านั้น ลุงแก้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บอกว่าวันนี้ได้เงิน 600 กว่าบาท ข้าง ๆ ผมมีเด็กผู้หญิงวัย 6-7 ขวบยืนร้องไห้อยู่มีพี่สาววัยราว 10 ขวบยืนข้าง ๆ ในมือมีท่อนอ้อยและกว่าง 1 ตัวเกาะอยู่ สอบถามปรากฎว่าเป็นครอบครัวเกาหลี แม่พามาเพราะเด็กไทยที่โรงเรียนเอากว่างไปอวดเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนอินเตอร์ฯ เด็ก ๆ ต่างอยากได้จนแม่ต้องพามา

แม่มาหาซื้อกว่างที่ราคาถูกที่สุดคนขายกว่างชาวลำพูนคนนั้นบอกว่าเดิมคิดจะขายตัวละ 30 บาท แต่ลดให้แม่บ้านต่างชาติ ขอตัวละ 20 บาทก็แล้วกัน ปรากฏว่าคุณแม่ยังสาวขอซื้อตัวเดียวให้ลูกสาวคนโต เท่านั้นเอง ลูกสาวคนเล็กก็กรีดร้องที่ไม่ได้ของเหมือนพี่

ผมเลยครวญว่าโถ เจ๊ เงินอีก 20 บาทซื้อให้ลูกสาวอีกคนเถอะ ผมคิดจะซื้อให้จริง ๆ ถ้าหล่อนฟังผม พอดี แกยอม และทันทีที่ลูกสาวคนเล็กได้กว่าง เธอก็หยุดร้องทันที

ใกล้หกโมงเย็น ผมต้องมีธุระไปอีกแห่งหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังทำงานให้กองทุนหมู่บ้านก็เข้ามาทักทาย เขามาหาซื้ออ้อยกับไม้ผั่น เขาบอกว่ามีญาติจากกาฬสินธุ์ เอากว่างจากทางโน้นมาให้ 5-6 ตัว เขาบอกว่าคนอีสานไม่รู้จักการชนกว่าง

ผมบอกว่าผมต้องไปแล้ว วันหลังจะกลับมาใหม่ กำลังเดินไปถึงรถ รถตู้ 3 คันก็เข้ามาจอด ผู้ชายหลายสิบคนหน้าตาญี่ปุ่นหรือเกาหลีลงจากรถ มุ่งตรงไปยังโต๊ะขายกว่างแผ่นดินเชียงใหม่หน้าฝนมือครึ้มด้วยเมฆสีเทาทะมึนไปทั่ว แต่กว่างเรื่องเดียวก็น่าจะทำให้สติปัญญาของเราสว่างไสว ไม่ควรจะหม่นมัวเหมือนฟ้าหน้าฝนใช่ไหมครับ…

 
 
ธเนศวร์ เจริญเมืองตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ
 




 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น