|
ผู้หญิงสมัยก่อนที่อ่านออกเขียนได้ แทนที่จะได้รับคำชม กลับถูกตำหนิ ถึงกับมีคำประชดผู้หญิงเมืองเหนือที่เรียนหนังสือว่า อี่หนานยะ-อี่หนานแม่ญิง (หนาน เป็นคำเรียกผู้ชายที่เคยบวชเรียนเป็นพระภิกษุมาก่อน เหมือนกับคำว่า ทิด ในภาคกลาง)
ดร.แดเนียล แมคกิลวารี มิชขันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน เดินทางมาถึงพระนครกรุงสยาม พ.ศ. 2401 เพื่อเผยแพร่คริสตศาสนาด้วยความมุ่งมั่น หลังจากนั้นอีก 2 ปี ได้สมรสกับ โซเฟีย บุตรีของหมอบรัดเลย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เพราะมีคุณูปการต่อแผ่นดินสยาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ วิทยาการด้านการพิมพ์ หรือการออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกในประเทศไทย ชื่อ บางกอกรีคอร์เดอร์ ฯลฯ ดร.แดเนียล แมคกิลวารีและครอบครัวอยู่ประจำที่พระนคร จนกระทั่งปี พ.ศ. 2406 ดร.แดเนียล แมคกิลวารี พร้อมด้วย ดร.โยนาธาน วิลสันได้เดินทางขึ้นมาสำรวจมณฑลพายัพ เพื่อหาลู่ทางในการประกาศพระกิตติคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่สภาพการณ์ทุกอย่างยังไม่พร้อมจึงเดินทางกลับพระนคร
การกลับมาเยือนนครเชียงใหม่อีกครั้งของดร.แดเนียล แมคกิลวารี และโซเฟีย กับลูกเล็ก ๆ อีก 2 คน ในปี พ.ศ. 2410 ตรงกับสมัยของ เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ (เจ้าขีวิตอ้าว)เป็นผู้ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งมีฐานะเป็นประเทศราช ส่งบรรณาการต่อพระนคร แต่มีอิสระในการปกครองภายในอย่างเต็มที่ การเผยแพร่ศาสนาของ ดร.แดเนียล แมคกิลวารี เต็มไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรคนานัปการ เนื่องจากเป็นการเผยแพร่คริสตธรรมในดินแดนลี้ลับที่ชาวพื้นเมืองไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง เรื่องราวของพระเจ้า หรือ พบเห็นชาวตะวันตกมาก่อนในชีวิต แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติภารกิจหลักสำคัญ 3 ประการของมิชชันนารี คือ สอนศาสนา รักษาโรค และก่อตั้งโรงเรียนแบบตะวันตก ต่อมาดร.แดเนียล แมคกิลวารี ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นเนื่องจากได้มีโอกาสรักษาอาการป่วยให้กับชายาของเจ้าหลวง ในปี พ.ศ. 2413 จึงได้รับประทานที่ดินหนึ่งแปลงให้ปลูกบ้านพักอาศัยและการสร้างโรงเรียนสตรีด้วย ซึ่งตั้งอยู่เชิงสะพานนวรัฐตลอดไปจนข้าง โรงพยาบาลจินดา สิงหเนตร (ปัจจุบัน คือ โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน และ คริสตจักรที่หนึ่ง เชียงใหม่)เนื่องจากครอบครัวของผู้เข้ารีตมีเด็กผู้หญิงหลายคนที่มาอาศัยอยู่ด้วยที่บ้าน แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ โซเฟียภรรยาจึงคิดสอนหนังสือแก่เด็กหญิง ทำให้เกิดเป็นโรงเรียนสตรีแห่งแรกในนครเชียงใหม่ ซึ่งเรียกชื่อกันติดปากว่า โรงเรียนสรตีสันป่าข่อย ก่อนที่โซเฟียจะขอพระราชทานนามจากพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ซึ่งพระองค์ทรงขอพระราชทานนามต่อจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นที่มาของมงคลนามว่า โรงเรียนพระราชชายา (ก่อนเปลี่ยนเป็น โรงเรียนดาราวิทยาลัย บริเวณหนองเส้ง ในปัจจุบัน)
แม่ยอดเรือน มณีศักดิ์ เป็นชาวบ้านแม่ดอกแดง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรีของพ่อเฒ่ามากุลา และแม่นางน้อย มีพี่น้อง 7 คน ตามลำดับคือ 1.ครูอุ่น 2.ปู่ทา 3.ปู่ปั๋น 4.แม่แก้ว 5.แม่คำ 6.แม่ยอดเรือน 7.แม่อัด ซึ่งความเด็ดเดี่ยวของแม่ยอดเรือนเป็นเรื่องน่าพิจารณามาก เนื่องจากเด็กผู้หญิงในยุคกว่า 100 ปีก่อน เหตุใดจึงตัดสินใจยอมมาอยู่กับชาวต่างชาติที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ในวัยเพียง 8 ขวบเท่านั้น โดยหวังว่าจะได้เล่าเรียนหนังสือ เนื่องจากเป็นคนใฝ่เรียนและชอบร้องเพลงในโบสถ์วันอาทิตย์ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะแม่ยอดเรือนได้มีโอกาสเล่าเรียนหนังสือ ได้รับการอบรมมารยาท ขนบธรรมเนียมตามแบบชาวตะวันตก มีความสามารถด้านการร้องเพลง และอ่านโน๊ตดนตรีได้ เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของ ดร.แดเนียล แมคกิลวารี และโซเฟียอย่างมาก เมื่อแม่ยอดเรือนเรียนจบชั้นหมู่ 3 ได้ทำหน้าที่เป็นครูที่โรงเรียนพระราชชายา และนับเป็นสตรีไทยคนแรกที่ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ของโรงเรียนพระราชชายาในเวลาต่อมา
แม่ยอดเรือนได้ออกกเรือนแต่งงานเมื่ออายุ 25 ปี กับนายบุญปั๋น มณีศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและผู้ปกครองคริสตจักรบ้านแม่ดอกแดง ที่ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ขุนฉิมพลี เรืองบุญ ซึ่งมีฐานะเป็นพ่อหม้าย ภรรยาเก่าชื่อ แม่จันทร์สม มีลูกติดมาด้วยถึง 3 คน คือ แม่จุ้ม แม่คำปัน แม่ใจ๋ ที่แม่ยอดเรือนได้ให้ความรักความเมตตาอย่างดีตามแบบฉบับครูที่ดี ซึ่งแม่ยอดเรือนได้มีลูกของตนเองกับขุนฉิมพลี รวม 4 คน เป็นชาย 2 คน แต่ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก และมีลูกสาวอีก 2 คน คือ แม่ศรีมุก และแม่ศรีทอง ซึ่งต่อมามีบทบาทในแวดวงคริสจักร
แม่ยอดเรือน ได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่มีความเรียบร้อย มีระเบียบ รักความสะอาด เคยรับจ้างรีดผ้า ราคาผืนละ 3 สตางค์ โดยใช้วิธีลงแป้งบีบจากน้ำข้าวและรีดให้เรียบ ซึ่งสมัยนั้นยังไม่เคยมีมาก่อนจึงได้รับความนิยมมาก สำหรับเครื่องรีดผ้านั้นได้รับมอบมาจาก ดร.วิลเลียม แฮริส ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับขุนฉิมพลี ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นพ่อสื่อที่ช่วยให้ความรักของแม่ยอดเรือนกับขุนฉิมพลีสำเร็จได้ด้วยดี ทั้งที่ฝ่ายชายเป็นพ่อหม้าย และแม่ยอดเรือนก็เป็นสาวงามที่มีผู้ชายมาติดพันหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ครูศรีโอ๊ะ ครูคำอ้าย ส่วนขุนฉิมพลี เรืองบุญ ก็มีหน้าที่ออกบริการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษให้กับชาวบ้านตามคำสั่งของทางราชการ โดยได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 1 แถบรูปี จากความมานะพยายามและขยันหมั่นเพียรของแม่ยอดเรือนและขุนฉิมพลี ทำให้ครอบครัวมีความเป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้น แม่ยอดเรือนจึงเป็นสตรีล้านนาที่มีการศึกษา คอยให้ความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านและทุ่มเทแรงกาย แรงใจให้กับงานของคริสตจักรเป็นอย่างดี ช่วยสืบสานปณิธานของดร.แดเนียล แมคกิลวารี โดย อบรมสั่งสอนทุกคนในครอบครัวให้อธิษฐานพระเจ้าพร้อมกันก่อนนอนเสมอ สอนเกี่ยวกับบัญญัติ 10 ประการ คำสารภาพบาปและหนังสือคำถาม-คำแก้ ฯลฯ แม่ยอดเรือน มณีศักดิ์ ประสบอุบัติเหตุหกล้มขาหัก เมื่ออายุ 86 ปี ต้องนอนรักษาตัวนานถึง 7 ปี โดยเป็นคนไข้ของพ่อเลี้ยงหมอคอร์ท แห่งโรงพยาบาลแมคคอร์มิค และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1968) รวมอายุได้ 93 ปี
เรื่องราวของแม่ยอดเรือนจึงเป็นชีวิตของสตรีล้านนาที่มีหัวก้าวหน้า ใส่ใจเรื่องการศึกษา นับเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้หญิงยุคนี้ได้ ทั้งที่มีเพียงยุคสมัยเท่านั้นเป็นข้อแตกต่าง
โดย บงกช สุทัศน์ ณ อยุธยา ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสืมพิมพ์พลเมืองเหนือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น